“นครปัตตานี” นักการเมืองจบแล้ว แต่คนพื้นที่ยังไม่จบ
ปรัชญา โต๊ะอิแต
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
แม้แนวคิดว่าด้วย “นครปัตตานี” ดูเหมือนจะจบไปแล้วในกระแสการเมืองที่พลิกผันเร็วเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อไอเดียที่นำเสนอโดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เที่ยวนี้ ถูกบิดเป็นข้อเสนอการตั้ง “นครรัฐ” ในลักษณะ autonomy หรือแยกตัวออกเป็นอิสระจากรัฐไทย จนถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยจากผู้กุมอำนาจฝ่ายบริหารอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
แต่นั่นคือกระแสเฉพาะในส่วนกลางหรือภาคส่วนอื่นๆ ของประเทศ แต่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้...เรื่องนี้ยังไม่จบ
นอกจากการพูดคุยถกเถียงกันอย่างกว้างขวางตามร้านน้ำชาแล้ว ประเด็นนี้ยังถูกยกระดับสู่เวทีเสวนา เมื่อเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม 25 องค์กร ภายใต้ชื่อ "กลุ่มการเมืองภาคพลเมืองเพื่อท้องถิ่น" ซึ่งมี พล.ต.ต.จำรูญ เด่นอุดม ประธานมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้ เป็นแกนหลัก ได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นในเรื่องนี้ในหัวข้อ "การกระจายอำนาจและการปกครองพิเศษ" ที่สมาคมจันทร์เสี้ยว อ.เมือง จ.ยะลา โดยรูปแบบของเวทีคล้ายกับการประชาพิจารณ์ย่อยๆ
วงเสวนามีการตั้งประเด็นให้แสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวางรวม 5 ประเด็นคือ 1.ปัญหาโครงสร้างการเมืองการปกครองในปัจจุบัน 2.หลักการกระจายอำนาจในพื้นที่ที่ควรจะเป็นในอนาคต 3.โครงสร้างการปกครองที่ต้องการจะเห็นในอนาคต 4.แนวทางการขับเคลื่อน และ 5.ความท้าทาย
ประเด็นแรก ปัญหาโครงสร้างการเมืองการปกครองในปัจจุบัน สรุปความเห็นที่น่าสนใจได้ดังนี้
- การปกครองส่วนภูมิภาคขณะนี้ถือว่าล่มสลายแล้ว ไม่ใช่เฉพาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เป็นทั่วประเทศ เนื่องจากไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอไม่ใช่คนในพื้นที่ จึงไม่เข้าใจประชาชน และเมื่อผู้ว่าฯกับนายอำเภอได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลาง จึงตอบโจทย์เฉพาะส่วนกลางเท่านั้น ไม่ตตอบโจทย์ของคนท้องถิ่น
- กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทำงานเพื่อนายอำเภอไม่ใช่ชาวบ้าน แม้ก่อนเลือกตั้งจะเป็นผู้แทนของประชาชน แต่พอเลือกตั้งเสร็จแล้วก็กลายเป็นคนของรัฐบาลหรือเป็นข้าราชการไป ซึ่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คือกลไกของการปกครองส่วนภูมิภาค
- บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังไม่มากพอ ส่วนใหญ่ทำหน้าที่แค่เก็บขยะกับทำถนน อย่างอื่นแทบทำไม่ได้เลย
- การเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในพื้นที่ งบประมาณของหน่วยงานเหล่านี้และจากส่วนกลางไม่ถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง
- คนสามจังหวัดถูกรุกทางวัฒนธรรมมาก ขณะที่การรวมศูนย์อำนาจการปกครองไว้ที่ส่วนกลางเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว
ประเด็นที่ 2 หลักการกระจายอำนาจในพื้นที่ที่ควรจะเป็นในอนาคต สรุปความเห็นได้ดังนี้
- ให้คนพื้นที่ดูแลกันเอง เพราะเมื่อมีปัญหาขัดแย้งกันก็จะไม่ใช้ความรุนแรงถึงขั้นเข่นฆ่ากัน
- ก่อนจะคิดรูปแบบการปกครองท้องถิ่นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ควรค้นหาความต้องการที่แท้จริงของคนในพื้นที่ก่อน โดยเฉพาะเรื่องวิถีชีวิตว่าต้องการวิถีชีวิตอย่างไร เช่น จะเรียนวันไหน รับประทานอาหารอะไร พูดภาษาอะไร จะหยุดวันศุกร์เสาร์ได้หรือไม่ แล้วค่อยจัดรูปแบบการปกครองให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตเหล่านี้
- พื้นที่นี้มีความแตกต่างทางอัตลักษณ์และวัฒนธรรม รูปแบบการปกครองใดก็ตามต้องให้ชาวบ้านดำรงอัตลักษณ์อยู่ได้ ต้องเปิดโอกาสให้เรียนรู้ภาษาแม่ของตัวเอง
- ท้องถิ่นต้องสามารถจัดการศึกษาเองได้ เช่น เปิดหลักสูตรภาษามลายูถิ่น เพราะที่ผ่านมาคนในพื้นที่ถูกบอนไซเรื่องการใช้ภาษามลายูมาเป็นร้อยปีแล้ว จนเหลือแต่ภาษาพูด แทบจะเขียนกันไม่ได้
- หากจะจัดรูปแบบการปกครองใหม่ในพื้นที่สามจังหวัด น่าจะใช้ศาสนาอิสลามเป็นตัวกำหนด โดยไม่ลิดรอนสิทธิของคนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาพุทธ
- การกระจายอำนาจต้องเน้นให้ชัดว่าเป็นการกระจายอำนาจที่สมบูรณ์และครอบคลุมเรื่องหลักๆ ทุกด้าน กล่าวคือให้ท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการพื้นที่ของตนเอง ทั้งเรื่องการคลัง การจัดการศึกษา การออกกฎหมาย และการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในซึ่งไม่ใช่เรื่องความมั่นคงของรัฐ ทั้งนี้ เชื่อว่าหากมีการกระจายอำนาจแล้ว ท้องถิ่นจะสามารถจัดการปัญหาของตัวเองได้กว่าร้อยละ 80 และประหยัดงบประมาณจากส่วนกลางได้มาก
- ต้องมีตัวแทนของคนสามจังหวัดในรัฐบาลกลาง
- ต้องสร้างความเข้มแข็งของภาคประชาชน
ประเด็นที่ 3 โครงสร้างการปกครองที่ต้องการเห็นในอนาคต มีประเด็นที่น่าสนใจคือ
- โครงสร้างการปกครองที่จะเกิดขึ้นต้องไม่กระทบกระเทือนกับคนส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างประเทศนิวซีแลนด์ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอะไรมากมาย แต่ใช้การกระจายอำนาจแบบเข้มข้น ทั้งภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม ให้มีผู้แทนเป็นรัฐมนตรีหนึ่งคน ให้โทรทัศน์หนึ่งช่อง เลือกผู้นำของตัวเองได้ ฉะนั้นแม้ระบบโครงสร้างการปกครองใหม่จะยึดโยงกับรัฐไทย แต่ก็น่าจะเปิดโอกาสให้พูดสองภาษาได้ หรือมีสถานีโทรทัศน์ของตนเองได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเชื่อว่าขบวนการที่เคลื่อนไหวก่อเหตุรุนแรงจะฝ่อไปเอง
- ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องมาจากการเลือกตั้งของคนในพื้นที่
- มีการแสดงความเห็นให้ยกเลิกการปกครองส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นบางระดับ แล้วแบ่งอำเภอเป็นเขตแทน ในลักษณะเหมือนกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) อย่างไรก็ดี ก็มีความเห็นอีกด้านหนึ่งว่า น่าจะใช้โครงสร้างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีอยู่เดิม คือ อบต. กับ อบจ. แต่ต้องกระจายอำนาจลงมาอย่างเต็มรูปแบบ เช่น ถ้าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดการศึกษาเองที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นได้ ใครจะกล้าเผาโรงเรียน เป็นต้น
- ข้าราชการในพื้นที่ต้องพูดได้ทั้งภาษามลายูและภาษาไทย
- ถ้าจัดรูปแบบการปกครองให้สอดคล้องกับความต้องการของคนในพื้นที่ จะทำให้กลุ่มที่เคลื่อนไหวก่อเหตุรุนแรงอยู่หันกลับมาสู่ระบบ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องไปก่อเหตุรุนแรง
- โครงสร้างการปกครองของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องอิงหลักศาสนา และรวมสามจังหวัดเป็นหนึ่งเขตการปกครอง
ประเด็นที่ 4 แนวทางการขับเคลื่อนต่อไป สรุปความเห็นที่น่าสนใจได้ดังนี้
- การปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองอาจไม่ใช่เป็นเขตปกครองพิเศษ เพียงแต่ต้องหาจุดร่วมของประชาชนว่ารูปแบบการปกครองใดที่สามารถตอบสนองความต้องการและแก้ปัญหาของคนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง ส่วนรายละเอียดต้องพิจารณาร่วมกันต่อไป
- คนในพื้นที่ต้องร่วมกันสร้างโมเดล (รูปแบบ) ขึ้นมา แล้วเปิดเผยต่อสาธารณชน จากนั้นก็จัดรับฟังความคิดเห็น ให้นักวิชาการตลอดจนประชาคมที่เป็นชาวรากหญ้าได้ร่วมวงพูดคุยแลกเปลี่ยนด้วยอย่างกว้างขวางที่สุด จากนั้นค่อยสรุปและนำไปเสนอรัฐบาล
- น่าจะมีการศึกษารูปแบบการปกครองในต่างประเทศ เพื่อนำมาเปรียบเทียบและพิจารณาข้อดีข้อเสีย จุดเด่นจุดด้อย โดยให้นักวิชาการดำเนินการในส่วนนี้
ประเด็นสุดท้าย ความท้าทายในอนาคต สรุปความเห็นที่น่าสนใจได้ดังนี้
- ข้อเสนอเรื่องรูปแบบการปกครองต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากส่วนกลางและฝ่ายการเมืองอย่างแน่นอน
- เชื่อว่ารูปแบบการปกครองแบบพิเศษจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะเป็นประเด็นที่พูดกันมานาน
มติของเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม 25 องค์กร สรุปว่าจะจัดเวทีสาธารณะ หรือ public talk อีกครั้งที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) ในราววันที่ 10 ธ.ค. โดยจะเชิญนักการเมืองมาร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นด้วย จากนั้นจะจัดเวทีรับฟังความเห็นเพิ่มเติมใน จ.นราธิวาส ต่อไป เพื่อสรุปเป็นข้อเสนอจากคนในพื้นที่ให้รัฐบาลพิจารณา
ทั้งหมดนี้คือกระแสและการแสดงความคิดเห็นในระบอบประชาธิปไตยที่น่ารับฟัง แม้บางข้อเสนอจะยังไม่ตกผลึก แต่ก็ถือว่าเป็นความรู้สึกแท้ๆ ส่วนหนึ่งของคนในพื้นที่ เป็นโจทย์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจกว่าโจทย์เดิมๆ ว่าด้วยความรุนแรง
และน่าจะเป็นประโยชน์กับรัฐบาลที่กำลังควานหาแนวทางดับไฟใต้!