ยังคงมีความเห็นอย่างหลากหลายเกี่ยวกับนโยบายดับไฟใต้โดยใช้แนวทางจัดการปกครองท้องถิ่นรูปแบบใหม่ ซึ่งพรรคเพื่อไทยเสนอโมเดล “นครปัตตานี” ส่วนเครือข่ายภาคประชาสังคมในพื้นที่เสนอ “ปัตตานีมหานคร”
“รัฐจะต้องให้ความเป็นอิสระแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักแห่งการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น และส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำบริการสาธารณะ และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ท้องถิ่นใดมีลักษณะที่จะปกครองตนเองได้ ย่อมมีสิทธิจัดตั้งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ”
ปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ปะทุความรุนแรงรอบใหม่ในรูปแบบการก่อเหตุร้ายรายวันที่ยืดเยื้อยาวนานมากว่า 7 ปี ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึง “ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้” ว่าถูกต้องตรงตามสมมติฐาน ถูกทิศถูกทาง และถูกฝาถูกตัว ตามที่รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงกล่าวอ้างมาตลอดหรือไม่
นอกจากนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยเรื่อง "ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท" และ "เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท" ที่กำลังถูกตั้งคำถามอย่างกว้างขวางแล้ว นโยบายอีกด้านหนึ่งที่เป็นเสมือน "แผลเป็น" รักษาไม่หายของพรรคเพื่อไทยตั้งแต่สมัยยังใช้ชื่อพรรคไทยรักไทยก็คือ นโยบายแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันทั่วไปทั้งในและนอกสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกี่ยวกับการผลักดันนโยบาย “ดับไฟใต้” ของว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ที่น่าจะนำโดยพรรคเพื่อไทย ว่าจะเดินหน้ากันอย่างไรกับจุดขายที่เคยหาเสียงเอาไว้ คือ “นครปัตตานี” หรือการปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่ให้รวมพื้นที่สามจังหวัด คือปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เป็นเขตปกครอง แล้วให้ประชาชนเลือกตั้ง “ผู้ว่าการนคร” โดยตรง
การเลือกตั้งใหญ่ที่เพิ่งจะผ่านพ้นไปก่อให้เกิดสิ่งใหม่ๆ และท้าทายขึ้นในบ้านเมืองหลายประการ โดยเฉพาะการมีว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ด้วยวัยเพียง 44 ปี และทำงานการเมืองจริงๆ แค่ไม่ถึง 8 สัปดาห์ แต่กลับต้องเข้ามาแบกรับสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยปัญหาในห้วงเวลาเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของประเทศ
เมื่อไม่นานมานี้ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดเวทีสานเสวนาเรื่อง "พลเมืองกับการเลือกตั้งที่เที่ยงธรรมสู่การดับไฟใต้" ที่โรงแรมซี.เอส. ปัตตานี เพื่อหวังขับเคลื่อนนโยบายดับไฟใต้ที่สอดคล้องกับความต้องการของคนในพื้นที่ และนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง โดยอาศัยช่วงจังหวะที่พรรคการเมืองกำลังรณรงค์หาเสียงและให้สัญญาประชาคมกับพี่น้องประชาชนเป็นแรงบวก
สนามเลือกตั้งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จะมี ส.ส.ในระบบแบ่งเขตเพียง 11 ที่นั่ง แต่พรรคการเมืองกว่าสิบพรรคก็ประกาศตัวและขับเคี่ยวแข่งขันกันอย่างถึงพริกถึงขิง โดยเฉพาะสองพรรคใหญ่อย่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งเดิมพันไม่ใช่แค่อำนาจบริหาร ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังหมายถึงแนวนโยบายดับไฟใต้ที่แตกต่างกันชนิดหน้ามือกับหลังมืออีกด้วย
สนามเลือกตั้งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้คงมิอาจมองข้ามความแข็งแกร่งของพรรคประชาธิปัตย์ แม้การเลือกตั้งเที่ยวล่าสุดเมื่อปี 2550 พรรคจะได้ ส.ส.มาเพียง 5 ที่นั่งจาก 11 ที่นั่ง ลดฮวบจาก 9 ที่นั่งใน 10 ที่นั่งเมื่อการเลือกตั้งปี 2548 แต่ถึงกระนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังถือว่ามี ส.ส.มากที่สุดในพื้นที่นี้
ในห้วงเวลาที่ปี่กลองเลือกตั้งเริ่มอึกทึก พรรคการเมืองกำลังคึกเรียงแถวกันออกมาเสนอนโยบายมัดใจชาวบ้าน แน่นอนว่าการแก้ไขสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ย่อมเป็น "วาระแห่งชาติ" ประการหนึ่งที่หลายพรรคชูขึ้นเป็นประเด็นหาเสียงเพื่อแย่งชิงเก้าอี้ ส.ส. 11 ที่นั่งในสามจังหวัดปลายสุดด้ามขวาน