- Home
- South
- สัมภาษณ์พิเศษ ศูนย์ข่าวภาคใต้
- นิพนธ์ บุญญามณี...จ่าเพียร ศชต. และสิทธิประโยชน์ของตำรวจชายแดนใต้
นิพนธ์ บุญญามณี...จ่าเพียร ศชต. และสิทธิประโยชน์ของตำรวจชายแดนใต้
สุเมธ ปานเพชร
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
ผ่าน 100 วันการเสียชีวิตของ “จ่าเพียร” พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีตผู้กำกับการ สภ.บันนังสตา จ.ยะลา ไปแล้ว (ครอบครัวจัดงานไปเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.) แต่ดูหมือนกระบวนการเสาะหาคนผิดที่ทำให้ “จ่าเพียร” ไม่ได้ย้ายออกจากพื้นที่ ยังแทบไม่มีความคืบหน้า
ขณะที่อีกด้านหนึ่งคือการพิจารณาเพิ่ม "สิทธิประโยชน์" ให้กับข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จะมีการคลอดหลักเกณฑ์ออกมาถึง 14 ข้อ รอการอนุมัติขั้นสุดท้ายจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) แต่ก็ยังมีคำถามจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะหลักเกณฑ์ที่ “ดูดี” จะฝ่าด่านระบบอุปถัมภ์ เส้นสาย เงินใต้โต๊ะ และข้ออ้างว่าด้วยการโยกย้าย “ข้ามภาค” ที่เป็นข้อยกเว้นได้หรือไม่
หรือว่าจะต้องย้อนกลับไปทบทวนกันถึงการตั้งศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศชต. แยกออกมาจากกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 (บช.ภ.9) เสมือนหนึ่งเป็น บช.ภาค 10 กันเลยทีเดียว?!?
นิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการติดตามงบประมาณแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ทีมข่าวอิศรา” ในเรื่องนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจ
O ปัญหาที่เกิดขึ้น มองว่าเป็นเรื่องโครงสร้าง ศชต.เลยใช่หรือไม่?
ผมว่าต้นตอปัญหาอยู่ที่ตรงนั้น วันนี้ต้องมาดูกันว่าการมี ศชต.ได้ดำเนินไปตามเจตนารมณ์ที่ให้มีการจัดตั้งหน่วยนี้ขึ้นมาหรือไม่ เพราะหากเราไม่พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว วันหนึ่งข้างหน้าผมคิดว่าหน่วยงานนี้จะสร้างปัญหาด้านกำลังพล ก่อให้เกิดปัญหาด้านการปฏิบัติ ตลอดจนขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงและกระบวนการยุติธรรม
โดยเฉพาะในมิติของกระบวนการยุติธรรมพื้นฐาน หน้าที่ของตำรวจในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะต้องดูแลเรื่องการสอบสวนและการแสวงหาข้อเท็จจริงที่ยากกว่าพื้นที่อื่นๆ เพื่อเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้ ถ้าพนักงานสอบสวนมีขีดความสามารถไม่เพียงพอหรือไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่พัฒนาก้าวไปไกลมาก การเอาคนผิดมาลงโทษก็จะเกิดปัญหา
เพราะฉะนั้นเรื่องการพัฒนาขีดความสามารถในการแสวงหาพยานหลักฐานจึงเป็นเรื่องจำเป็น และต้องทำอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาคือที่ผ่านมาได้ทำกันหรือยัง
ตรงนี้เองมันจะเชื่อมโยงไปถึงเรื่องกำลังพลที่อยู่ในพื้นที่มาอย่างยาวนานและมีความเหนื่อยล้าจากการปฏิบัติงาน ซึ่งพวกเขาเหล่านี้อยู่จำเจมานานมาก เขาต้องมีโอกาสได้ปรับเปลี่ยน และเอาคนใหม่เข้าไปแทนที่พวกเขา เอาคนที่ตั้งใจจะปฏิบัติหน้าที่และไม่มีความอ่อนล้าเข้าไปทดแทน แต่หากเรามาดูโครงสร้างในปัจจุบัน หลักก็คือไม่สามารถโยกย้ายข้ามภาคได้ จุดนี้เคยเกิดปัญหามาแล้วในกรณี พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ถามว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ปรับแก้หลักเกณฑ์นี้เป็นการเฉพาะแล้วหรือยัง
ผมคิดว่าเรื่องนี้ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) หรือผู้มีอำนาจในหน่วยงานตำรวจต้องหันมาให้ความสำคัญ และต้องลงไปติดตามปัญหาอย่างใกล้ชิด และกำหนดนโยบายออกมาให้ชัดเจน
O ล่าสุดทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดหลักเกณฑ์เพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้บ้างแล้ว เช่น ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับรองผู้บังคับการ สารวัตร ลงไปจนถึงผู้บังคับหมู่ สามารถขอย้ายออกจากพื้นที่ได้หากทำงานครบตามเวลาที่กำหนด เช่น 3 ปี หรือ 5 ปี...
ผมคิดว่ามันยังไม่ใช่แนวทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เพราะยังไม่ชัดเจนว่าการโยกย้ายข้ามภาคยังเป็นข้อยกเว้นต่อไปหรือไม่ ที่สำคัญที่สุดคือจะดูแลไม่ให้เกิดการวิ่งเต้น หรือการย้ายลงไปกินตำแหน่งเพื่อรับผลประโยชน์ แล้วกลับมาดำรงตำแหน่งสูงขึ้นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจลงไปทำงานจริงๆ ได้อย่างไร
ผมเสนอว่า รรท.ผบ.ตร.ต้องเดินทางลงไปยังพื้นที่เพื่อดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง จะต้องมีคณะทำงานหรือคณะอะไรก็แล้วแต่เพื่อทำหน้าที่ติดตามแก้ไขปัญหา ซึ่งก็เป็นอำนาจของ รรท.ผบ.ตร.ที่จะดำเนินการได้อยู่แล้ว
O สรุปก็คือต้องให้ความสำคัญกับการสับเปลี่ยนกำลังพล และต้องเกิดขึ้นได้จริงๆ ไม่ใช่เป็นแค่ระเบียบหรือหลักเกณฑ์อยู่ในกระดาษเท่านั้น…
ใช่ครับ โดยเฉพาะในพื้นที่อ่อนไหว เต็มไปด้วยอันตราย และมีความตึงเครียดสูงเช่นนี้ การมีนโยบายสับเปลี่ยนกำลังพลหรือหมุนเวียนกำลังพลอย่างชัดเจน ทั้งหน่วยงานด้านปราบปรามและสอบสวน จะเป็นหัวใจสำคัญในการคลี่คลายสถานการณ์ วันนี้หากเรายังคงอยู่ในสภาพเดิม คือใช้กำลังพลเหมือนเดิม วงจรปัญหาก็จะซ้ำเดิม ไม่มีใครอยากทำงาน อยู่กันแบบซังกะตาย หรืออยู่ไปวันๆ ไม่มีอนาคต ไม่มีจิตใจทุ่มเทให้กับการทำงาน จุดนี้ที่ผมเสนอให้เร่งแก้ไขโดยด่วน
สิ่งสำคัญที่สุดที่จะขาดไม่ได้สำหรับกำลังพลที่ทำงานอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือเรื่องของขวัญกำลังใจ ต้องมีค่าตอบแทนให้คนทำงาน การให้สองขั้นหรืออายุราชการทวีคูณต้องพิจารณาให้กับกำลังพลกลุ่มนี้ก่อนเป็นอันดับแรก รวมไปถึงการโยกย้ายประจำปี ก็ต้องมีหลักประกันว่าแม้เขาจะเป็นตำรวจที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ไกลปืนเที่ยง ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับ ‘นาย’ หรือ ‘ผู้บังคับบัญชา’ โอกาสหรือสิทธิเมื่อถึงเวลาพิจารณาโยกย้ายจะต้องได้รับการพิจารณาก่อน
เท่าที่ติดตามจากหลักเกณฑ์ใหม่ 14 ข้อที่ออกมา ผมเห็นว่ายังเป็นเพียงกรอบกว้างๆ ไม่ลงรายละเอียด และไม่ผูกมัดในบางประเด็น คือยังเปิดให้ใช้ดุลยพินิจได้ เกรงว่าจะมีปัญหาตามมาอีก และอาจจะเป็นปัญหาที่ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้อีกเหมือนกรณีจ่าเพียร
O มองว่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงยังให้ความสำคัญกับ ศชต.และปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้น้อยเกินไป?
ครับ ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องหันมาดูแล ศชต.และกำลังพลในพื้นที่ให้ใกล้ชิดมากขึ้น มิฉะนั้นก็ต้องย้อนไปพิจารณาถึงเรื่องการจัดตั้ง ศชต.กันใหม่ ว่ามีความจำเป็นหรือไม่เพียงใด หากยังแก้ไขปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ ก็ต้องย้อนกลับไปตรงจุดนั้น เพราะการตั้งหน่วยงานใหม่ต้องตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่ตั้งมาแล้วกลับเป็นปัญหาเสียเอง
เปิดสิทธิประโยชน์ 14 ข้อของตำรวจชายแดนใต้
สิทธิประโยชน์ของข้าราชการตำรวจที่ปฎิบัติหน้าที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ผ่านมาการพิจารณาจากคณะกรรมการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีทั้งสิ้น 14 ข้อได้แก่
1.การเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีเป็นกรณีพิเศษ
2.บำเหน็จความชอบกรณีพิเศษ (ตามระเบียบ บ.ท.ช. หรือคณะกรรมการพิจารณาบำเหน็จความชอบ ค่าทดแทน และการช่วยเหลือ พ.ศ. 2521) โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติผลักดันไปยัง คณะกรรมการ บ.ท.ช.ว่าควรเพิ่มสิทธิการได้รับสิทธิ พ.ส.ร.(เงินเพิ่มพิเศษสำหรับการสู้รบ) เป็นจำนวนไม่เกิน 6 ครั้ง กรณีปฏิบัติงานในย่านอันตราย และไม่จำกัดครั้งกรณีมีพฤติการณ์ต่อสู้ปะทะหรือบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่
3.สิทธิในการได้รับการนับเวลารับราชการเป็นทวีคูณ (ในการคำนวณบำเหน็จบำนาญ) และคิดคำนวณในสิทธิ์ ก.บ.ข. (กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ) ด้วย
4.สิทธิในการแต่งตั้งหมุนเวียน ให้กลุ่มสารวัตรถึงรองผู้บังคับการ (สว.- รองผบก.) และตำแหน่งเทียบเท่า เมื่อครบกำหนด 3 ปี ให้ทุกกองบัญชาการ (บช.) จัดสรรตำแหน่งรองรับตำรวจที่อยู่ครบเวลาและสมัครใจย้ายออก กรณีส่งคนเลื่อนสูงขึ้นให้ทดแทนเพียงร้อยละ 75 ส่วนอีกร้อยละ 25 ให้ใช้รองรับการเลื่อนสูงขึ้นของ ศชต. และให้ทดลองงาน 6 เดือน หากไม่ผ่านเกณฑ์ประเมินให้ส่งตัวกลับ และให้ต้นสังกัดพิจารณาผู้เหมาะสมรายใหม่
กลุ่มรองสารวัตร และพนักงานสอบสวน (สบ 1) เมื่อครบกำหนด 3 ปี ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดสรรอัตราการบรรจุนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) หรือ ผู้สอบได้เป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรระดับรองสารวัตรให้ ศชต.ปีละ 100 นาย และให้ย้ายออกปีละ 100 นาย แต่ในช่วง 5 ปีแรกยังมีความขาดแคลนกำลังพล จึงให้ย้ายออกปีละ 50 นาย
กลุ่มผู้บังคับหมู่ (ผบ.หมู่) เมื่อครบกำหนด 5 ปี ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดสรรอัตราและการบรรจุบุคคลภายนอกให้ ศชต.ปีละ 1,000 นาย แล้วให้ย้ายออกปีละ 1,000 นาย ในช่วง 5 ปีแรกให้ย้ายออกปีละ 500 นาย
การหมุนเวียนพนักงานสอบสวน (สบ 2- สบ 4) เมื่อครบกำหนด 3 ปี ให้สิทธิหมุนเวียนออกได้ตามระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ ผลการปฏิบัติงาน ความดีความชอบ ความประพฤติ และการลงทัณฑ์
5.สิทธิได้รับเงินตอบแทนพิเศษรายเดือนสำหรับการปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัย
6.สิทธิได้รับคะแนนเพิ่มเป็นพิเศษ เมื่อมีกรณีเปิดรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อแต่งตั้งเลื่อนชั้นเป็นข้าราชการตำรวจสัญญาบัตร
7.สิทธิพิเศษในการเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรต่างๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
8.เงินสวัสดิการสงเคราะห์ต่างๆ
9.เบี้ยเลี้ยงตามสิทธิที่พึงได้รับ
10.หลักเกณฑ์การนับระยะเวลาการปฏิบัติงานเป็นทวีคูณของข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้
11.หลักเกณฑ์การพิจารณาแต่งตั้งเลื่อนชั้นข้าราชการตำรวจชั้นประทวนที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงภัยเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร
12.การบรรจุทายาทข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิตเนื่องจากปฏิบัติหน้าที่ราชการในสถานการณ์ก่อความไม่สงบ ให้สิทธิทายาทแก่บุตรหรือคู่สมรสของตำรวจที่ทุพพลภาพจนไม่สามารถได้รับการสงเคราะห์ให้รับราชการต่อไปได้ตามหลักเกณฑ์เดียวกับผู้เสียชีวิต และกรณีตำรวจที่เสียชีวิตและทุพพลภาพยังไม่มีคู่สมรส แต่ต้องอุปการะบิดามารดา ให้สิทธิการบรรจุทายาทแก่พี่หรือน้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวแทนกันได้
13.การรับสมัครและคัดเลือกตำรวจชั้นประทวนที่ปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตรเพื่อดำรงตำแหน่งในสังกัด บช.ศชต.
และ 14.กำหนดแนวทางการแต่งตั้งพนักงานสอบสวนที่ปฏิบัติหน้าที่ใน ศชต.
----------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 นิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์
2 อนุสาวรีย์หน้าโรงเรียนตำรวจภูธร 9 อ.เมือง จ.ยะลา ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นสถานที่ตั้งของศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศชต. โดยอนุสาวรีย์นี้เป็นรูปปั้นตำรวจยืนกอดไหล่กับเด็กชายชาวพุทธและเด็กชาวมุสลิมที่แต่งกายแบบชาวมลายูท้องถิ่น สร้างเมื่อราวปี พ.ศ.2509 ถือเป็นสัญลักษณ์ของความปรองดองและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ภาพจากอินเทอร์เน็ต)
อ่านประกอบ :
- บทสัมภาษณ์สุดท้าย พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา...อยากให้ผู้บังคับบัญชารับรู้ว่าพวกเราทำงานกันอย่างไร
- ขอย้ายไม่ได้ย้าย..."พ.ต.อ.สมเพียร" ผู้กำกับบันนังสตาถูกระเบิดเสียชีวิตแล้ว
- บทพิสูจน์กรณี "สมเพียร เอกสมญา" สังคมไทยยัง "เข้าไม่ถึง" ชายแดนใต้