- Home
- Thaireform
- หลากมิติ
- ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- วิกฤตดราม่าไฟฟ้าไทย: สังคมไทยได้อะไรเยอะกว่าที่คาด
วิกฤตดราม่าไฟฟ้าไทย: สังคมไทยได้อะไรเยอะกว่าที่คาด
เขียนวันที่
วันพุธ ที่ 17 เมษายน 2556 เวลา 21:26 น.
เขียนโดย
ดร.เดชรัต สุขกำเนิด
หมวดหมู่
วิกฤตดราม่าไฟฟ้าไทย:
สังคมไทยได้อะไรเยอะกว่าที่คาด
สังคมไทยได้อะไรเยอะกว่าที่คาด
เดชรัต สุขกำเนิด
ในที่สุด วิกฤตพลังงานที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน คุณพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ได้ประกาศเตือนสังคมไทย ให้ระมัดระวังเหตุการณ์ไฟดับครั้งใหญ่ก็ผ่านพ้นไป
ผ่านพ้นไป พร้อมกับคำถามคาใจว่า วิกฤตพลังงานครั้งนี้ เป็นวิกฤตพลังงานจริงๆ หรือเป็นเพียงดราม่าไฟฟ้าไทย เพื่อเป้าหมายทางนโยบายอย่างใดอย่างหนึ่งของรัฐบาล เช่น การประกาศเดินหน้าโรงไฟฟ้าถ่านหิน
แต่ไม่ว่าวิกฤตครั้งนี้จะเป็นวิกฤตจริงหรือวิกฤตลวง สองเดือนที่ผ่านมา สังคมไทยกลับได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากปรากฏการณ์ครั้งนี้ อย่างที่ไม่ได้คาดคิดไว้ เรียกว่า เริ่มต้นเป็นดราม่า แต่อาจจบลงด้วยปัญญา หากเราตั้งหน้าตั้งตาที่จะเรียนรู้จากปรากฏการณ์นี้จริงๆ ดังนั้น บทความนี้ จะลองพาทุกท่านทบทวนกันว่าสังคมไทยได้เรียนรู้อะไรกันบ้างจากวิกฤตพลังงานครั้งนี้
1. หยุดกล่าวร้ายประเทศพม่า
วิกฤตพลังงานครั้งนี้ เริ่มเป็นที่รับรู้และตื่นตระหนกกันในสังคมไทยในกลางเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินทางด้านพลังงานอันเนื่องมาจากการหยุดซ่อมแท่นขุดเจาะก๊าซในประเทศพม่า ทำให้โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติจากพม่าเป็นเชื้อเพลิง (เกือบทั้งหมดอยู่ใน จ.ราชบุรี) ประมาณ 6,000 เมกะวัตต์ (หรือประมาณร้อยละ 20 ของกำลังการผลิตทั้งหมด) ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ ในช่วงระหว่างวันที่ 4-12 เมษายน พ.ศ. 2556 ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่ประเทศไทยจะมีความต้องการไฟฟ้าสูงสุดพอดี
อย่างไรก็ตาม กระแสข่าวที่ออกมาในช่วงแรก มักพูดสั้นว่า “พม่าหยุดส่งก๊าซ” ยิ่งไปกว่านั้น บางท่านอาจพยายามเชื่อมโยงให้เกิดความสงสัยในรัฐบาลพม่าว่าจะกลั้นแกล้งเราหรือไม่
แต่โชคดีที่ความเข้าใจผิดดังกล่าวก็ถูกลบกลบไปในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยการเผยแพร่ข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้ที่หยุดส่งก๊าซธรรมชาติให้แก่ไทยคือ บริษัทที่รับสัมปทานในการขุดเจาะก๊าซจากรัฐบาลพม่า และเป็นคู่สัญญาในการส่งก๊าซธรรมชาติให้กับปตท. ก่อนที่ปตท.จะส่งมอบก๊าซให้กฟผ. อีกต่อหนึ่ง ซึ่งบริษัทดังกล่าวก็มีบริษัทลูกของปตท. คือ ปตท.สผ. ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 25 นับเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ส่วนรัฐวิสาหกิจของพม่าถือหุ้นเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น
เมื่อเป็นดังนี้ รัฐบาลพม่าจึงมิได้เกี่ยวข้องประการใดกับการหยุดซ่อมดังกล่าว และสังคมไทยเราควรจะหลีกเลี่ยงการกล่าวโทษเพื่อนบ้านโดยไม่มีมูลเช่นนี้ หากเราต้องการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนร่วมกันในอีก 2 ปีข้างหน้า
2. ความรับผิดชอบของปตท.??
ข้อเท็จจริงประการแรก นำมาสู่การตั้งข้อสงสัยประการที่สองว่า การหยุดซ่อมแท่นขุดเจาะและท่อส่งก๊าซ มักจะดำเนินการเป็นประจำทุกปี ในช่วงวันหยุดสงกรานต์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ความต้องการไฟฟ้าของไทยลดต่ำลง (เพราะหยุดงาน หยุดการผลิตกันจำนวนมาก) แต่ทำไมปีนี้ การหยุดซ่อมจึงต้องเลื่อนกำหนดให้เร็วขึ้น และไปตรงกับช่วงเวลาที่เราอาจมีความต้องการไฟฟ้าสูงสุดพอดี
คำถามก็คือ แล้วปตท. ในฐานะผู้ผูกขาดการจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติเพียงรายเดียวของไทย จะรับผิดชอบอย่างไร? หรือจะผลักภาระต้นทุนที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงที่แพงกว่าในการผลิตกระแสไฟฟ้า (เช่น น้ำมันเตา หรือน้ำมันดีเซล) ไปให้กับผู้บริโภคผ่านกลไกค่า Ft
ยิ่งไปกว่านั้น คำถามก็ยังมีมาถึง ปตท. และปตท.สผ. ในฐานะของหุ้นส่วนรายใหญ่อันดับ 2 ของบริษัทที่รับสัมปทานดังกล่าว ว่าทำไมถึงตัดสินใจหยุดซ่อมในช่วงเวลาดังกล่าว ทำไมไม่เลื่อนการหยุดซ่อมออกไปเป็นช่วงเวลาเดียวกับทุกๆ ปี
ในที่สุด กระแสเสียงดังกล่าวก็นำมาสู่การประกาศของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานที่จะตึงราคาไฟฟ้าไปตลอดปี พ.ศ. 2556 (ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในช่วง 8 เดือนหลังจะเป็นเช่นใด) เพื่อกลบกระแสข่าวดังกล่าว
ส่วน ปตท. ก็ไปเจรจากับปตท.สผ.และบริษัทที่รับสัมปทานให้เลื่อนการปิดซ่อมออกไป แต่ปรากฏว่าเจรจาแล้วเลื่อนได้เพียงหนึ่งวัน!!!! เป็น 5-14 เมษายน 2556 โดยไม่แน่ชัดว่าทำไมจึงไม่สามารถเลื่อนได้มากกว่านี้
เมื่อเป็นดังนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจึงประกาศจับตาวันที่อาจมีความต้องการไฟฟ้าสูงสุด 3 วัน คือวันที่ 5, 9 และ 10 เมษายน 2556 (ซึ่งเป็นวันทำงาน) และนำมาสู่ข้อที่สังคมไทยได้เรียนรู้กันต่อมา
3. ความต้องการไฟฟ้า: จัดการได้ถ้าตั้งใจ
ความต้องการไฟฟ้ากลายเป็นโจทย์ที่สำคัญมากในสถานการณ์ที่ผ่านมา เพราะช่วงเวลาที่บริษัทที่รับสัมปทานหยุดซ่อมก็จะเป็นช่วงที่ประเทศไทยอาจมีความต้องการไฟฟ้าสูงสุดพอดี ในตอนแรกคาดการณ์กันว่า ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าวน่าจะสูงถึง 26,500 เมกะวัตต์ ยิ่งหากเป็นช่วงที่อุณหภูมิร้อนจัดก็อาจจะยิ่งมีความต้องการไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นไปอีก (ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดจะเพิ่มขึ้น 300 เมกะวัตต์ ทุกๆ หนึ่งองศาเซลเซียสที่เพิ่มขึ้น)
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากโรงไฟฟ้าที่หายไปจากระบบ 6,000 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าเสริมอื่นๆ รวมถึงการใช้เชื้อเพลิงเสริมอื่นๆ ของกฟผ. ก็จะทำให้มีโรงไฟฟ้าเข้ามาเสริมประมาณ 4,500 เมกะวัตต์ ดังนั้นจึงเหลืออีก 1,500 เมกะวัตต์ที่จะต้องจัดการ ด้วยการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มประมาณ 500 เมกะวัตต์ และการประหยัดพลังงานอีกประมาณ1,000 เมกะวัตต์
ดังนั้น หากจะหลีกเลี่ยงวิกฤต (ถ้ามีจริง) การลดความต้องการไฟฟ้าในช่วงเวลาดังกล่าว จึงเป็นกุญแจสำคัญอันหนึ่ง ซึ่งสื่อมวลชนหลายท่านก็สอบถามผมว่า การลดความต้องการใช้ไฟฟ้าลง 1,000 เมกะวัตต์นั้นถือเป็นเรื่องใหญ่มากน้อยเพียงใด และจะเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด
ผมก็ได้ชี้แจงไปว่า การลดความต้องการไฟฟ้าลง 1,000 เมกะวัตต์ เทียบเท่ากับการลดลงเพียงร้อยละ 3.77 ของความต้องการไฟฟ้าสูงสุดที่จะเกิดขึ้นเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น จึงไม่น่าเป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรงที่เราจะทำได้
พร้อมกันนั้น ผมก็ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า แท้จริงแล้วในแผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปี ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไปเมื่อเดือนธันวาคม 2554 ก็ตั้งเป้าว่าในปีพ.ศ. 2556 เราน่าจะลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดลง 1,590 เมกะวัตต์อยู่แล้ว เพียงแต่ว่ารัฐบาลยังไม่เคยจัดทำแผนปฏิบัติการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปีดังกล่าวเลย (แม้ว่าจะผ่านรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานมาแล้วถึง 3 คน) ทำให้เราต้องมาเร่งรณรงค์ประหยัดไฟในช่วงเวลากระชั้นชิด แทนที่จะทำอย่างต่อเนื่องตามแผนระยะยาวที่วางกันไว้
ดังนั้น ในช่วงเวลากระชั้นชิด รัฐบาลจึงทำได้โดยเร่งประสานงานกับโรงงานขนาดใหญ่ที่ใช้ไฟฟ้ามากให้หยุดงานหรือเลื่อนตารางการทำงานโดยหลีกช่วงเวลาที่ความต้องการไฟฟ้าสูงสุด โดยเฉพาะในวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา พร้อมกับรณรงค์ให้ประชาชนช่วยกัน 3 ป. คือ ปิดไฟ ปรับแอร์ ปลดปั๊กไฟ ตามสูตรมาตรฐานของการประหยัดพลังงานไทย
กระแสวิกฤตพลังงานก็ถูกกระตุ้นขึ้นอีกครั้ง เพราะภาวะอากาศร้อนจัดในช่วงปลายเดือนมีนาคม ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดก็พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 26,430 เมกะวัตต์ ในวันที่ 28 มีนาคม 2556 ด้วยอุณหภูมิสูงสุดถึง 39.1 องศาเซลเซียส เข้าใกล้ระดับความต้องการไฟฟ้าที่ 26,500 เมกะวัตต์ และวิตกกันว่า ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในช่วงวิกฤตอาจสูงเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้
แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงสถานการณ์จริงกลับปรากฏว่า การรณรงค์เพื่อลดการใช้พลังงานสัมฤทธิผลอย่างดี เพราะความต้องการใช้ไฟฟ้าจริงที่เกิดขึ้นในทั้ง 3 วันที่กังวลกันนั้น ต่ำกว่าที่คาดการณ์กันไว้มากทีเดียว กล่าวคือ วันที่ 5 เมษายน 2556 มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุด 24,955.30 เมกะวัตต์ ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ 1,645 เมกะวัตต์ วันที่ 9 เมษายน2556 มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุด 25,226.30 เมกะวัตต์ ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ 694 เมกะวัตต์วันที่ 10 เมษายน 2556 มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุด 24,688.38 เมกะวัตต์ ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ 1,262 เมกะวัตต์
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่า การจัดการด้านความต้องการใช้ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ หากมีการดำเนินการอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจเรื่องการหลีกเลี่ยงการใช้ไฟฟ้าในช่วงความต้องการไฟฟ้าสูงสุดนั้นได้ผลดีเกินคาด เพียงแต่ว่าที่ผ่านมา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ มักจะไม่ได้แจ้งให้ประชาชนทราบล่วงหน้าเพื่อลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงความต้องการสูงสุดเหมือนครั้งนี้ แต่กลับเน้นการประโคมข่าวในเรื่องการทำลายสถิติความต้องการไฟฟ้าสูงสุด เมื่อการใช้ไฟฟ้าสูงสุดได้เกิดขึ้นแล้ว
นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรให้ความสำคัญกับการสร้างแผนปฏิบัติการในการอนุรักษ์พลังงานในระยะยาว แทนที่จะพึ่งพามาตรการระยะสั้นที่ไม่สามารถหรือไม่มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง (เช่น การปิดโรงงาน หรือการใส่ผ้าไทยแทนเสื้อสูท) ซึ่งหากรัฐบาลดำเนินการตามเป้าหมายของแผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปี ในปีหน้า (พ.ศ. 2557) เราก็จะสามารถลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดได้เท่ากับ 2,275 เมกะวัตต์ ซึ่งก็จะทำให้เรารับมือกับสถานการณ์วิกฤตพลังงานได้ดีขึ้นมาก
4. ทลายด่านสกัดพลังงานหมุนเวียน
บทเรียนที่สำคัญที่สุดอีกบทเรียนหนึ่งคือ การที่สังคมไทยได้ทราบถึงพฤติกรรมการตั้งด่านสกัดพลังงานหมุนเวียนของหน่วยงานรัฐ
ขอย้อนไปกลับไปว่า เพื่อหากำลังการผลิตไฟฟ้าเข้ามาทดแทนโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซจากแหล่งที่ปิดซ่อม การรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมจากผู้ผลิตไฟฟ้าต่างๆ รวมถึงผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่มีประโยชน์
เพราะโดยทั่วไป ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจะมีกำลังการผลิตติดตั้งมากกว่ากำลังการผลิตที่เสนอขายให้ระบบอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นหากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีความต้องการจะซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมก็สามารถดำเนินการได้ทันที
จากการประมาณการณ์เบื้องต้น ร่วมกับกลุ่มพลังงานทดแทน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คาดว่าน่าจะจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเข้ามาเสริมระบบได้ไม่น้อยกว่า 500 เมกะวัตต์
เรื่องนี้เป็นที่น่ายินดีว่า ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ก็ได้ใช้ทางเลือกนี้เช่นเดียวกัน โดยได้รับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนเข้ามาเสริมในระบบในช่วงเวลาดังกล่าว แม้ว่าจะดำเนินการได้ไม่มากนัก (ประมาณ 200-300 เมกะวัตต์) เนื่องจากระยะเวลาการเตรียมความพร้อมจำกัด
อย่างไรก็ดี ความพยายามดังกล่าวช่วยชี้ให้สังคมไทยได้เห็นถึง ความสำคัญของพลังงานหมุนเวียนในการเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และภาครัฐควรให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในอนาคต โดยการปรับระบบการรับซื้อไฟฟ้าให้ยืดหยุ่นและจูงใจเพิ่มขึ้นสำหรับการผลิตและการรับซื้อไฟฟ้าในช่วงสถานการณ์วิกฤต
แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ยังเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้น การแก้ไขปัญหาระยะยาวคือ การสนับสนุนให้การลงทุนและติดตั้งกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดยการลดอุปสรรคอันเกิดขึ้นจากการทำงานของหน่วยงานรัฐ
เพราะเท่าที่ผ่านมามีการตั้งด่านสกัดพลังงานหมุนเวียนกันเยอะเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นการตีความว่า การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม และจากโซลาร์เซลบนหลังคาบ้านก็ถือเป็นการก่อสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้า (เหมือนโรงไฟฟ้าถ่านหิน) ที่ต้องขออนุญาตก่อสร้างโรงงาน และไม่สามารถตั้งอยู่ในพื้นที่ที่กำหนดไว้ในผังเมืองให้เป็นพื้นที่ชุมชนหรือพื้นที่เกษตรกรรมได้ เป็นต้น
ประเด็นนี้ต้องยกความดีความชอบให้คุณปิยะสวัสดิ์ อัมระนันท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่มาช่วยเปิดโปงให้เห็นอุปสรรคที่ภาครัฐสร้างขึ้น โดยเปรียบเทียบกับ “การตั้งด่านสกัด” พลังงานหมุนเวียน
คุณปิยะสวัสดิ์ อัมระนันท์ได้ชี้ว่า หากไม่มีการตั้งด่านเหล่านี้ การผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลน่าจะสามารถเข้าสู่ระบบได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 เมกะวัตต์ แทนที่จะเป็น 500 เมกะวัตต์ เหมือนในปัจจุบัน ดังนั้น หากไม่มีการตั้งด่านเราก็จะไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เสริมเข้าระบบอีกไม่น้อยกว่า 500 เมกะวัตต์ นั่นก็แปลว่า เราก็จะสามารถรับมือกับวิกฤตพลังงานที่ผ่านมาได้อย่างสบาย
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่ากระทรวงพลังงาน หรือกระทรวงอุตสาหกรรมจึงต้องออกมาเร่งชี้แจงและเร่งแก้ไขปัญหานี้ (แม้จะไม่ยอมรับก็ตาม) และคาดว่า มาตรการเหล่านี้จะถูกยกเลิกในเร็ววัน
ส่งท้าย
บทเรียนอันมากมายเหล่านี้ สังคมไทยสามารถนำไปปรับใช้ในการรับมือกับวิกฤตครั้งต่อไปได้อย่างดี (หรือจะใช้รับมือกับดราม่าครั้งหน้าก็ได้) สุดท้ายก็เหลือแต่ว่ารัฐจะเอาจริงหรือไม่?? หรือท่านรัฐมนตรีจะติดอกติดใจกับดราม่าพลังงานในครั้งนี้เสียแล้ว