- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- การสร้างสำนึกร่วมของชุมชน
- นักวิจัย ชี้รับมือภัยพิบัติ เหมือนนักมวย อ่อนซ้อมเมื่อไหร่แพ้เมื่อนั้น
นักวิจัย ชี้รับมือภัยพิบัติ เหมือนนักมวย อ่อนซ้อมเมื่อไหร่แพ้เมื่อนั้น
สวรส.ถอดบทเรียนมหาอุทกภัยปี 2554 พร้อมสรุปเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย ตอกย้ำให้ภาครัฐเตรียมแผน ซ้อมแผน ทบทวนแผนเป็นระยะๆ เพื่อรองรับภัยพิบัติในอนาคต
วันที่ 3 กันยายน สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จัดงานแถลงข่าวผลการสังเคราะห์ข้อมูล ประสบการณ์การบริหารจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อเตรียมรับมืออุทกภัยในอนาคต โดยมี นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข ผู้อำนวยการ สวรส. ศ.นพ.ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลศิริราช และนักวิจัย สวรส. น.ส.รัจนา เนตรแสงทิพย์ รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าว
นพ.สุรวิทย์ กล่าวถึงสถานการณ์ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกในช่วงที่ผ่านมา ทั้งอุทกภัย แผ่นดินไหว วาตภัย ทำให้ตระหนักว่าภัยธรรมชาติต่างๆ นั้นไม่ใช่สิ่งไกลตัวอีกต่อไปและนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ในประเทศไทยเหตุการณ์อุทกภัยเมื่อปี 2554 จะเห็นได้ว่า หากไม่มีการเตรียมความพร้อม ทบทวนประวัติศาสตร์ ค้นคว้าหาข้อมูลและศึกษาวิจัย เพื่อรับมือกับสถานการณ์ในอนาคตอาจต้องสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินซ้ำรอยเดิมหรือมากกว่าเดิม
“ขณะที่ประเทศชาติต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนมากในการฟื้นฟูเยียวยา หลังภัยพิบัติ ทำให้ไม่สามารถนำเงินไปใช้พัฒนาประเทศได้ ดังนั้น เพื่อเตรียมการรับมืออย่างเป็นระบบ และสามารถรองรับภัยพิบัติในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเห็นควรถอดบทเรียนมหาอุทกภัยปีก่อนออกมาเป็นข้อเสนอส่งต่อไปยังระดับนโยบาย และหน่วยงานภาคปฏิบัติ เพื่อปรับแนวทางการทำงานต่อไป”
ขณะที่น.ส.รัจนา กล่าวถึงผลการสำรวจครัวเรือนที่ประสบภัยในพื้นที่น้ำท่วม ช่วงเดือน ก.ค.-ธ.ค.2554 ที่ผ่านมาว่า ประเทศไทยมีพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมถึง 61 จังหวัด ในจำนวนนี้มีครัวเรือนที่ถูกน้ำท่วมถึง 3.9 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็น 19% ของครัวเรือนทั้งประเทศ และมีสมาชิกในครัวเรือน 12.9 ล้านคน คิดเป็น 19.6% ของประชากรทั้งประเทศ ทั้งนี้ ผลสำรวจพบว่า ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม 51.1% ว่ายน้ำไม่เป็น โดยเฉพาะกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีว่ายน้ำได้น้อยมาก ซึ่งในต่างประเทศก็จะใช้วิธีแก้ปัญหาในเรื่องนี้ โดยการจัดให้มีหลักสูตรสอนการว่ายน้ำในโรงเรียนต่างๆ
ส่วนการเข้าถึงบริการสุขภาพนั้น ผลสำรวจ พบว่าครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมมีสมาชิกที่ได้รับบาดเจ็บ เจ็บป่วย หรือเสียชีวิตจากน้ำท่วม 8.1% ซึ่งสาเหตุของการเสียชีวิตส่วนใหญ่มาจากไฟฟ้าดูด ไฟฟ้าช๊อตและจมน้ำ ทั้งนี้เชื่อว่าข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับการวางแผนรับมือและความพร้อมของหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดี
ด้าน ศ.นพ.ไพบูลย์ กล่าวว่า เหตุการณ์อุทกภัยปี 2554 มีผู้เสียชีวิต 815 คน ประชาชนประมาณ 5,388,204 คนกลายเป็นผู้อพยพ และจากการศึกษาปัญหาเกี่ยวกับการให้บริการทางการแพทย์ในช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมาพบว่า มีความสับสนในเรื่องการประสานงานของหน่วยงานแพทย์ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ จริยธรรมของบุคลากรที่พบว่ามีการเลือกข้างในการดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. ซึ่งถูกมองว่า เป็นจุดไข่แดง ประชาชนกลุ่มนี้จึงมีอภิสิทธิ์มากกว่าในพื้นที่อื่น การเตรียมความพร้อมขาดการมีสร้างร่วมของชุมชน ปัญหามาตรฐานเรื่องศูนย์พักพิง รวมถึงเรื่องการซ้อมแผนเพื่อเตรียมรับมือ
“ฉะนั้นเห็นว่าการรับมือภัยพิบัติในอนาคตจะต้องมีการบริหารจัดการที่ครบถ้วนทั้งด้านการแพทย์และการสาธารณสุข กระตุ้นการตื่นตัวในทุกระดับในทุกพื้นที่ มีการวางแผน ซ้อมแผน ปรับแผนอย่างต่อเนื่อง เปรียบเหมือนกับนักมวย ถ้าอ่อนซ้อมเมื่อไหร่แพ้เมื่อนั้น และนอกจากนี้ในภาวะภัยพิบัตินอกจากจากบทบาทของหน่วยงานภาครัฐแล้ว ความร่วมร่วมมือของภาคส่วนต่างๆ นับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง”
ทั้งนี้ นพ.พงษ์พิสุทธิ์ กล่าวสรุปถึงข้อเสนอเชิงนโยบายจากงานวิจัยดังกล่าวว่า ประกอบด้วย 5 เรื่องด้วยกันคือ 1.ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้ทำหน้าที่เป็นแกนกลาง เป็นเจ้าภาพหลักในการรับมือผลกระทบด้านสุขภาพ ซึ่งถือเป็นบทบาทที่ดี และเห็นว่าควรพัฒนาบทบาทดังกล่าวให้เข้มแข็งมากขึ้นโดยร่วมมือกับเจ้าภาพส่วนอื่น 2.ควรให้ความสำคัญกับการเตรียมแผน ซ้อมแผน ทบทวนแผนเป็นระยะ
“3.ควรพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศทางการแพทย์และสาธารณะสุขยามภัยพิบัติ โดยเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน 4.ควรหาทำเลจัดตั้งศูนย์อพยพกรณีภัยพิบัติครอบคลุมทั่วประเทศ และเตรียมความพร้อมด้านอื่น อาทิ สวัสดิการต่อชีวิตและทรัพย์สิน สุขาภิบาล ฯลฯ และ 5.ควรเสริมสร้างทักษะการเตรียมความพร้อมแก่ประชาชน เช่น ความรู้ในการป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร ความรู้ในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การติดต่อขอความช่วยเหลือ ทักษะการเอาชีวิตรอด เช่น การว่ายน้ำ เป็นต้น”