- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- การสร้างสำนึกร่วมของชุมชน
- ‘จิระนันท์’ หวั่นอาเซียนเป็นแค่มหกรรมเชียร์บอล เห่อแบบผิวๆ
‘จิระนันท์’ หวั่นอาเซียนเป็นแค่มหกรรมเชียร์บอล เห่อแบบผิวๆ
เพื่อนบ้านไม่ใช่ของตาย!! สื่ออาวุโส แนะสื่อปรับตัว-เข้าใจเพื่อนบ้านตามสภาพความเป็นจริง ไม่ใช่จินตนาการ-ตำราเก่าๆ เชื่อพม่าคู่แข่งไทย หลังเปิดอาเซียน ด้านกวีซีไรต์ ‘จิระนันท์’ หวั่นอาเซียนเป็นได้แค่มหกรรมเชียร์บอล เห่อแบบผิวๆ
เมื่อเร็วๆ นี้ กรมเอเชียตะวันออก จัดเสวนา “บ้านใกล้เรือนเคียง รู้เขาเพื่อก้าวข้ามอดีต” ที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี กรุงเทพฯ โดยในช่วงหนึ่งของงานมีการเสวนาหัวข้อ “สื่อนั้นสำคัญไฉน...บทบาทของสื่อในการสร้างความเข้าใจระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน” มีนายประภัสสร เสวิกุล ศิลปินแห่งชาติ สาขา วรรณศิลป์ นางจิระนันท์ พิตรปรีชา นักเขียน และกวีซีไรท์ นายกวี จงกิจถาวร บรรณาธิการอาวุโส สำนักพิมพ์เนชั่นและคมชัดลึก ร่วมเสวนา
นายกวี กล่าวถึงความเจริญก้าวหน้าในประเทศเพื่อนบ้านของไทยว่า ปัจจุบันก้าวหน้าไปมาก ไม่ใช่ของตายอีกต่อไป ตัวอย่างเช่นกรณีประเทศพม่า ที่ในอดีตถูกมองว่า ล้าหลัง ยังมีปัญหาในเรื่องชนกลุ่มน้อย แต่ปัจจุบันพม่ากำลังกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ ที่ทุกคนต่างพูดถึง
“ล่าสุดที่ได้มีโอกาสเดินทางไปยังประเทศพม่าพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับเสรีภาพสื่อ พม่าในปัจจุบันไม่มีการเซ็นเซอร์หนังสือพิมพ์ มีการออกกฎหมายรับรองภาคประชาสังคม ที่สำคัญพม่าประกาศว่า จะเปลี่ยนสถานีโทรทัศน์เอ็มอาร์ทีวีของพม่า ซึ่งมีสถานะเทียบเท่ากับสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ให้กลายเป็นสถานีโทรทัศน์สาธารณะ เช่นเดียวกับไทยพีบีเอสของไทย ภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งการดำเนินการต่างๆ ของพม่าเหล่านี้ ตนเชื่อว่าจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว เปรียบได้กับรถไฟชิงคังเซน เพราะพม่ามีบุคลิกที่พูดจริงทำจริง อีกทั้งต่อให้เปลี่ยนตัวผู้นำ แต่ถ้านโยบายดีก็จะได้รับการสานต่อ ต่างจากของประเทศไทย เปลี่ยนคน นโยบายเปลี่ยนหมด”
เข้าใจพม่าในบริบทใหม่
นายกวี กล่าวต่อว่า ผลจากการเปลี่ยนแปลงในพม่าอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ รวมถึงการเปิดประเทศอย่างฉับพลันนั้น ทำให้ไทยจำเป็นต้องคิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพราะต่อจากนี้ไปพม่าจะกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญของไทย ที่มีความได้เปรียบในหลายด้านคือ 1.มีคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาพัฒนาประเทศ เนื่องจากประชากรของพม่าในปัจจุบันจำนวนครึ่งหนึ่งเป็นคนหนุ่มสาว 2.พม่ามีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ทั้งด้านป่าไม้ น้ำมัน และที่สำคัญที่สุดที่ทั่วโลกต้องการคือ ยูเรเนียม ขณะที่ประเทศไทยนั้นสิ่งที่อยู่ใต้ดินหายไปหมดแล้ว และ 3.มีผู้นำฝ่ายค้าน นั่นคือนางอองซาน ซูจี ที่เป็นแบรนด์เนมดังระดับโลก เทียบชั้นได้กับแบรน์ดังอย่างหลุยวิคตอง ซึ่งเชื่อว่าตรงนี้จะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในพม่าได้
“ฉะนั้น ต่อไปจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องเข้าใจพม่าในบริบทใหม่ เตรียมรับพม่าในฐานะประเทศคู่แข่งขัน หุ้นส่วนของประชาคมอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในอีก 828 วันข้างหน้า โดยเฉพาะสื่อ ต้องเลิกมองประเทศเพื่อนบ้านแบบล้าหลัง ไม่มีทางก้าวตามประเทศไทย แต่สื่อต้องเข้าใจเพื่อนบ้านตามสภาพความเป็นจริง ไม่ใช่จินตนาการอย่างในละคร หนังสือ หรือแบบฝึกหัดที่ร่ำเรียนกันมา นอกจากนี้การเตรียมนักข่าวให้พร้อม สำหรับการรายงานข่าวประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะสื่อในช่วงต่อไปนั้นจะต้องเป็นสื่อเทวดา ที่มีความรู้บูรณาการทั้งด้านประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ครบในทุกๆ มิติ ไม่ใช่มีความรู้จำกัดเฉพาะกฎหมาย หรือด้านในด้านหนึ่งอย่างเดียว”
ทั้งนี้ นายกวี ยังกล่าวถึงการเข้าสู่อาเซียนด้วยว่า ขณะนี้ประเทศไทยพูดถึงอาเซียนกันทั้งวันทั้งคืน หน่วยงานภาครัฐอย่างกระทรวงพาณิชย์ได้งบประมาณไปพันกว่าล้านบาท ซึ่งตนมองว่าการที่เราพูดถึงเออีซีกันมากขนาดนี้เนื่องจากตื่นกลัวว่า เมื่อเปิดประเทศแล้วจะสู้ประเทศอื่นไม่ได้ แต่ขอยืนยันว่า ในอีก 828 วันเมื่อรวมเป็นอาเซียน ความเปลี่ยนแปลงคงไม่ได้เกิดขึ้นฉับพลัน ทันทีทันใดแน่นอน แค่เปิดใจเรียนรู้และเข้าใจเพื่อนบ้านก็สามารถอยู่ได้
เรียนรู้อาเซียนผ่านศิลปะ
ขณะที่นางจิระนันท์ กล่าวว่า เมื่อปี 2532 เมื่อพูดถึงอาเซียนในขณะนั้น ทุกคนจะจะรู้สึกเอ๋อๆ เด๋อ ๆ มึนงง เพราะที่ผ่านมาชาติอาเซียนมีปัญหากันมากทั้งที่ออกนอกหน้าและนินทาหลับหลัง ทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมถึงต้องมาสมานฉันท์กัน แต่ปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก การพูดหรือการเสวนาวิชาการในเรื่องข้อพิพาท มองต่างมุม เช่นกรณีเจ้าอนุวงศ์ กลายเป็นเรื่องตกยุค หลงชาติไปแล้ว
ขณะที่การเตรียมพร้อมด้านคนเพื่อเข้าสู่อาเซียนนั้น นางจิระนันท์ กล่าวว่า ในประเทศไทยยังพบว่าไม่มีความก้าวหน้ามากนัก คนไทยยังไม่ปรับเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ เนื่องจากการส่งเสริมเรียนรู้เรื่องอาเซียนของไทยนั้น ส่วนใหญ่เน้นการจัดกิจกรรม ขบวนแห่แบบผิวๆ จึงมองว่าอาเซียนอาจไม่ต่างจากมหกรรมเชียร์บอลรูปแบบหนึ่ง ที่ตอนนี้ไปที่ไหนก็พบเห็นแต่ธงอาเซียน เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งบ้านเราเคยเห่อป้ายมาตรฐานไอเอสโอ (International Standardization and Organization: ISO) เท่านั้น
นางจิระนันท์ กล่าวถึงการใช้สื่อในการสร้างการรับรู้เรื่องอาเซียนด้วยว่า จากประสบการณ์พบว่า การใช้สื่อเพื่อกระจายการรับรู้ในเรื่องนี้ จะต้องมีมากกว่างานวิชาการหรือเอกสารที่หน้าเป็นปึ๊กๆ แต่จะต้องขยายเพิ่มเติมออกไปสื่อประเภทอื่น โดยเฉพาะสื่อทางศิลปะ เช่น ภาพถ่าย หรือดนตรี ที่เป็นภาษาสากล มีผลต่อการปรับทัศนคติของผู้คน และสามารถดึงดูดใจได้เป็นอย่างดี และเชื่อว่าการลงทุนในแนวทางนี้จะคุ้มค่าและมีประโยชน์มากกว่าขึ้นป้ายไวนิลต่างๆ ที่ดูเป็นเรื่องฉาบฉวย เพราะอาเซียนไม่ใช่สินค้าสำเร็จรูปอย่างที่หลานคนเข้าใจ
ส่วนนายประภัสสร กล่าวถึงงานด้านวรรณกรรมว่า มีความสำคัญอย่างมากในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะในอดีตที่ผ่านการศึกษาวรรณกรรมในยุคก่อนและหลังยุคล่านิคม ก็ทำให้เราได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของประเทศในภูมิภาคนี้ ทั้งเรื่องวัฒนธรรม ภาษา ชีวิตความเป็นอยู่ รวมถึงการต่อสู้เรียกร้องเอกราช และในอนาคตอาจต้องมีการศึกษาวรรณกรรมในลักษณะยุคก่อนเกิดอาเซียนและหลังอาเซียนก็เป็นได้
“ทั้งนี้ อยากตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ที่ผ่านมาคนไทยมองประเทศเพื่อนบ้านด้วยสายตาที่เหนือกว่า มองว่าตนเองไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร ทำให้มีความทะนงตัว ฉะนั้นตรงนี้ต้องเปลี่ยนใหม่ ทุกประเทศต้องก้าวไปพร้อมๆ กัน” นายประภัสสร กล่าว และว่า สำหรับบทบาทของสื่อนั้น ตนมีความกังวลในส่วนของสื่อกระแสรองที่สื่อสารผ่านทางโซเชียลมีเดียว่า ผู้ที่สื่อสารนั้นจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านมากน้อยเพียงใด เพราะหากสื่อสารออกไปโดยที่ไม่เข้าใจแล้ว อาจสร้างความเข้าใจผิดได้