- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ยุทธศาสตร์ชาติ
- ก.พลังงานไม่ฟันธงเปิดสัมปทานรอบที่ 21 ก๊าซ LNG จะลดนำเข้าได้
ก.พลังงานไม่ฟันธงเปิดสัมปทานรอบที่ 21 ก๊าซ LNG จะลดนำเข้าได้
นักวิชาการชี้ ‘สิทธิมนุษยชน’ เป็นหัวใจปฏิรูปพลังงาน เร่งยกเครื่อง กม.ปิโตรเลียมทั้งฉบับ ให้สิทธิ ปชช.เข้าถึง ตรวจสอบได้ ‘ม.ล.กรกสิวัฒน์’ ท้าเปิดราคาประมูลสัมปทานที่ผ่านมา ผู้แทน ก.พลังงานไม่ฟันธงเปิดสัมปทานรอบที่ 21 ก๊าซ LNG จะลดนำเข้า
วันที่ 25 กันยายน 2557 คณะอนุกรรมการปฏิบัติการยุทธศาสตร์ด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จัดสัมมนา ‘พลังงานปิโตรเลียมในมิติสิทธิมนุษยชน เพื่อคืนความสุขสู่ประชาชน’ ณ ห้องกมลทิพย์ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ
รศ.ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า ปากท้องของคนไทยถูกละเมิดสิทธิและถูกกีดกันการเข้าถึงทรัพยากรปิโตรเลียม จนทำให้ประเทศตกอยู่ในความเสี่ยงด้านความมั่นคง ซึ่งมีต้นเหตุจากกฎหมาย แม้พลังงานปิโตรเลียมเป็นเรื่องยากและซับซ้อน แต่ก็มิได้ซับซ้อนจนเกินความสามารถของเราจะทำความเข้าใจปรากฏการณ์ในสังคมตามกรอบวิชาการ
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาเหตุผลสะท้อนความเป็นจริงในสังคมไทย จะพบว่า แท้จริงแล้วพลังงานมีหลายมิติ แต่บ่อยครั้งการพูดถึงปัญหามักถูกจำกัดไว้อย่างแคบแค่มิติการบริหารจัดการและตัวเลขบางตัว จนติด ‘กับดัก’ เทคนิคและการจัดการหรือไม่ นำไปสู่การละเลยพูดถึงพลังงานปิโตรเลียมในมิติอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้การแก้ไขจึงทำไม่ถึงต้นตอ เพราะการแก้ปัญหามักอยู่แค่ปลายเหตุ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นักวิชาการ นิด้า กล่าวต่อว่า การพิจารณาปัญหาหลากหลายมิติจึงจะทำให้การมองปัญหารอบด้านมากขึ้น อันจะนำประโยชน์อย่างยั่งยืนไปสู่การปรับปรุง เปลี่ยนแปลงโครงสร้างพลังงานแห่งรัฐ ตลอดจนกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชนและประเทศชาติในวงกว้างอย่างมีนัยยะสำคัญอย่างยิ่ง
“ ‘สิทธิมนุษยชน’ เป็นหัวใจของการปฏิรูปพลังงาน กล่าวคือ สิทธิของประชาชนในการเข้าถึงทรัพยากรปิโตรเลียม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างกระจายตัว รวมถึงสิทธิการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนพัฒนาชุมชนที่อาศัยอยู่” รศ.ดร.วิวัฒน์ชัย กล่าว และว่า ไม่ใช่สิทธิมนุษยชนแบบมักได้ตามวาทกรรมที่ปากฝรั่งเปิดเสรีการค้าการลงทุนบนผลประโยชน์และกำไรอันแฝงเร้นของมหาอำนาจและบริษัทพลังงานอย่างกระจุกตัวในหมู่คนรวยต่างชาติเท่านั้น
นักวิชาการ นิด้า ยังกล่าวถึงพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 บางมาตราที่ส่งผลต่อความเสี่ยงคุกคามสิทธิประชาชนและกระทบความมั่นคงของรัฐ โดยยกตัวอย่าง มาตรา 15 ว่าด้วยคณะกรรมการปิโตรเลียม ล้วนมาจากข้าราชการและเครือข่ายนักการเมือง ทำให้รัฐไม่ให้ความสำคัญกับประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของทรัพยากรตัวจริง
ส่วนการทำนโยบายด้านพลังงานไม่มีผู้แทนจากผู้บริโภค ภาคประชาชนที่รับผลกระทบโดยตรง หรือผู้ทรงคุณวุฒิรอบรู้ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้ระบบการจัดการพลังงานของรัฐและบริษัทพลังงานขาดความโปร่งใส หรือตรวจสอบได้ยาก
มาตรา 22 ว่าด้วยรัฐมนตรีตามคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจมากเกินไป อยู่ภายใต้การควบคุมหรือกำกับจากฝ่ายการเมือง ขาดการยึดโยงหรือมีส่วนร่วมของประชาชน ส่วนมาตรา 28 มีการให้สิทธิกำหนดแปลงสัมปทานเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นการเอื้อประโยชน์กับบริษัททุนขนาดใหญ่
“พลังงานต้องจัดสรรให้คนในประเทศใช้เพียงพอก่อน เมื่อเหลือจึงค่อยส่งออก แต่ที่ผ่านมาการปฏิบัติไม่เป็นเช่นนั้น จึงถือเป็นการปิดกั้นการเข้าถึงทรัพยากรปิโตรเลียม ซึ่งขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน” รศ.ดร.วิวัฒน์ชัย กล่าว และว่ามีผู้บริหารบริษัทพลังงานบางรายระบุ น้ำมันเป็นสินค้าเสรี หากกีดกันการส่งออกถือเป็นชาตินิยมพลังงาน ซึ่งต้องถามกลับไป ความจำเป็นของประชาชนควรมาก่อนผลกำไรของบริษัทมากกว่ามิใช่หรือ?!?!
นักวิชาการ นิด้า จึงเสนอให้แก้ที่กฎหมายเป็นหลัก ด้วยการกำหนดรัฐธรรมนูญใหม่ให้ชัดเจนว่าทรัพยากรธรรมชาติเป็นของประชาชนคนไทย รัฐจะเป็นผู้ควบคุมและนำมาใช้ประโยชน์เพื่อบำรุงการอยู่ดีกินดี พร้อมให้ยกร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียมฉบับใหม่ และสนับสนุนใช้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract:PSC) แทนระบบสัมปทาน ที่สำคัญ ต้องหยุดการเปิดสัมปทานรอบที่ 21 ไว้ก่อน เพื่อรอให้รัฐจัดระบบใหม่
“ระยะยาวต้องปฏิรูปเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่ ภายใต้กรอบเศรษฐกิจพอเพียง สนับสนุนการใช้พลังงานให้อย่างเหมาะสมกับการเติบโตของธรรมชาติ ไม่ใช่ต่างออกมาพูดว่า อีกไม่กี่ปีพลังงานจะหมดแล้ว ที่สำคัญ ต้องมีเข็มทิศให้ชัดว่าหุ้นพลังงานต้องเป็นของรัฐไทย 70% และจัดหาบริษัทระดับโลกสำรวจปริมาณพลังงานปิโตรเลียมที่แน่นอน เพื่อทราบปริมาณเหลือแท้จริง” รศ.ดร.วิวัฒน์ชัย ทิ้งท้าย
ด้านดร.วิศรุต ตั้งสุนทรขัณฑ์ วิศวกรปิโตรเลียมชำนาญการพิเศษ ในฐานะผู้แทนกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงโอกาสการพัฒนาฐานการผลิตทรัพยากรพลังงานปิโตรเลียมว่า การเปิดระบบสัมปทาน 20 รอบที่ผ่านมานั้น มีความสำเร็จในแง่การผลิตไม่เพียงพอ เพราะไทยไม่ใช่พื้นที่ศักยภาพปิโตรเลียม เมื่อเทียบกับมาเลเซียและอินโดนีเซีย จึงจำเป็นต้องเร่งให้เปิดระบบสัมปทานรอบที่ 21
ทว่า ไทยมีปริมาณสำรองถึงปี 2565 หรือในอีก 8 ปีข้างหน้า ฉะนั้นทำอย่างไรให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรได้ เนื่องจากจะไม่สามารถต่ออายุสัมปทานได้อีกแล้ว ทั้งนี้ หากไม่ดำเนินการอย่างไรเลย ไทยต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว ( Liquefied Natural Gas: LNG) กว่า 50% ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ พร้อมยืนยัน ระบบสัมปทานนี้ได้เปิดเผยโปร่งใสมากที่สุดแล้ว
เมื่อถามว่าไทยจำเป็นต้องรีบเปิดระบบสัมปทาน รอบที่ 21 เพื่อความมั่นคงของประเทศ จะทำให้การนำเข้าก๊าซ LNG ลดลงหรือไม่ ผู้แทนกระทรวงพลังงาน ระบุว่า ขึ้นอยู่กับปริมาณการสำรวจปิโตรเลียมที่เพิ่มมากขึ้น เพราะความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะฉะนั้นการนำเข้าก๊าซ LNG เพื่อให้เพียงพอกับปริมาณการใช้ที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ส่วนการสำรวจเจอต่อเนื่องนั้นถือว่าจะช่วยทดแทนการนำเข้าให้น้อยลง
ขณะที่ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ผอ.ศูนย์วิจัยนโยบายพลังงานและทรัพยากร ม.รังสิต กล่าวถึงกรณีความเข้าใจรัฐจะมีความเสี่ยงหากใช้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตว่า ไม่เป็นความจริง พร้อมกับอ้างบทความวิชาการของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติฉบับหนึ่ง ระบุความเสี่ยงเป็นของผู้ลงทุนเอกชน เพียงแต่เมื่อเจอแหล่งพลังงานสามารถมาชวนรัฐร่วมลงทุนได้ ส่วนระบบสัญญาสัมปทานเป็นการอาศัยความรู้ของเอกชน ซึ่งต้องพึ่งพิงไปตลอด
สำหรับสิ่งที่อยากเห็นในอนาคต ผอ.ศูนย์วิจัยนโยบายพลังงานและทรัพยากร ระบุว่า ต้องการให้มีการใช้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต โดยให้รัฐถือครองกรรมสิทธิ์แทนประชาชน ได้รับน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติแทนค่าภาคหลวง หากเหลือจึงค่อยส่งออก ระบบนี้ต่างหากเป็นสิ่งที่ถามหาจะดีกว่าระบบเดิมหรือไม่ ทั้งนี้ ไม่มีกฎตายตัว ทุกอย่างสามารถปรับเปลี่ยนได้ภายใต้ระบบดังกล่าว และว่าหากเร่งรัดให้เปิดระบบสัมปทานรอบที่ 21 ขอเรียกร้องให้เปิดเผยราคาประมูลระบบสัมปทาน 20 รอบที่ผ่านมาก่อนได้หรือไม่
ส่วนประเด็นการแบ่งปันผลประโยชน์ของ ปตท.ไม่มีความเหมาะสม ดร.ศิริ จิระพงษ์พันธ์ ผอ.สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรากำลังตกเป็นเหยื่อล่อให้เข้าไปอยู่ในความเชื่อดังกล่าว ซึ่ง ปตท.ได้รับกำไรราว 2 แสนล้านบาท/ปี ซึ่งรัฐเป็นผู้จัดเก็บเพื่อนำไปบำรุงประเทศตามนโยบายรัฐบาลแต่ละยุค หากประชาชนไม่ได้รับส่วนแบ่งดังกล่าวให้ไปตำหนิรัฐบาลนั้น พร้อมระบุถึงที่มาของกำไรเกิดจากการลงทุนในหลาย ๆ โครงการของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ. และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรับขึ้นลงของราคาน้ำมันในประเทศเลย ทั้งหมดเกี่ยวเนื่องการนโยบายภาษีของรัฐ .
ภาพประกอบ:www.scholarship.in.th