- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ทุจริตคอร์รัปชัน มะเร็งร้ายกัดกร่อนสังคมไทย
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
ทุจริตคอร์รัปชัน มะเร็งร้ายกัดกร่อนสังคมไทย
ไม่ว่าจะเป็นข่าวการการทุจริตโครงการไทยเข้มแข็ง การรับสินบนของอดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แลกกับสัญญาจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ ข่าวพ่อมดการเงิน ราเกซ สักเสนา กับคดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ (BBC)
หรือข่าวล่าสุด “ธาริต เพ็งดิษฐ์”อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ลงทุนเปิดแฟ้มคดีเผยต่อสาธารณชนเอง ว่า พบบริษัทแห่งหนึ่งมีพฤติกรรมฉ้อโกงปลอมเอกสารคำสั่งซื้อสินค้าเกษตรล่วงหน้า นำหลักฐานไปขอเงินกู้ 8 ธนาคารในไทย วงเงินที่เกี่ยวข้องสูงถึง 33,000 ล้านบาท วันนี้คดียังไม่จบดีเอสไอประกาศลั่นให้รับรู้ว่า พร้อมจะเดินหน้าพิสูจน์ความจริง โดยหวังให้คดีที่มีการปล่อยกู้มูลค่ามหาศาลแบบนี้เป็นตัวอย่างในการสร้างมาตรฐานธรรมาภิบาล และเชื่อว่า จะเป็นคลาสสิกเคสที่จะเข้ามาแทนที่คดีราเกซ
คอร์รัปชันกระทบคนจนมากสุด
การทุจริตคอร์รัปชันเป็นปัญหาที่อยู่คู่มนุษย์มาเป็นเวลายาวนานยากที่จะกำจัดหมด ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ตั้งโจทย์เพื่อให้หาคำตอบว่า จะทำอย่างไรจึงจะลดขนาดของปัญหาให้อยู่ในวงที่สามารถควบคุมได้บ้าง พร้อมเปรียบเทียบการทุจริตเหมือนมะเร็งร้ายของสังคมที่สามารถสร้างความเสื่อมถอยได้ในหลายๆเรื่องยิ่งไปกว่านั้นหากปล่อยให้เกิดขึ้นจะนำมาซึ่งความเสื่อมความศรัทธาในระบบของกติกาและระบบของกฎหมาย
“การทุจริตคอร์รัปชันทำร้ายคนจนมากที่สุด เพราะเงินที่จะนำมาใช้ในการพัฒนามนุษย์ หากมีการคอร์รัปชันเกิดขึ้นจะไปลดส่วนที่จะไปใช้ในเรื่องการบริหารสาธารณะพื้นฐาน เกิดการแบ่งปันอาหารที่ไม่เท่าเทียม สร้างความไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะการพัฒนาประเทศและการขจัดปัญหาความยากจนจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เลย หากไม่มีการจัดการอย่างจริงจังกับปัญหาคอร์รัปชัน ที่กำลังเป็นมะเร็งร้ายกัดกร่อนทำลายสังคมและประเทศต่างๆ ทั่วโลก”
ปลัดกระทรวงยุติธรรม บอกว่า องค์การสหประชาชาติ ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน โดยออกอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (United Nations Convention Against Corruption : UNCAC) เมื่อปี 2003 กำหนดให้ภาครัฐจะต้องมีมาตรการในการป้องกันการทุจริต และได้ขยายกรอบโยงไปถึงเรื่องการสร้างความโปร่งใสในระบบที่ลดการคอร์รัปชันการประพฤติมิชอบในส่วนของเอกชนด้วย
“ประเทศไทยได้ลงนามอนุสัญญาฉบับนี้ สิ่งที่จะตามมาทั้งในแง่องค์กร กลไก กฎหมาย ที่ประเทศไทยต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพื่อสามารถให้สัตยาบันในอนุสัญญา”
จากกินใต้โต๊ะ บนโต๊ะ สู่การใช้กม.เป็นเครื่องมือ
แน่นอนว่า การทุจริตเป็นปัญหาสำคัญของชาติ ทั้งยังขัดขวางการพัฒนาของประเทศ เรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ถึงกับออกมายืนยันผ่านรายการเชื่อมั่นประเทศไทยฯ เอาจริงเอาจังปราบปรามการทุจริต หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียนผ่านทางอีเมล์ จดหมาย หรือแม้กระทั่งทางเอสเอ็มเอส ไม่เท่านั้นยังขอความร่วมมือประชาชนแจ้งเบาะแสการทุจริตคอร์รัปชันเข้ามาอีก
และนี่คือสภาพความเป็นจริง ปัญหาคอร์รัปชันได้ฝังรากลึกในทุกหน่วยของสังคมไทย เกิดขึ้นทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน นับวันจะยิ่งมีความซับซ้อน เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ขณะที่การทุจริตด้วยตัวมันเองก็มีพัฒนาการมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในรูปแบบการกระทำผิดที่ต่างกัน ซึ่งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม บอกว่า ทุกวันนี้เราจะไม่ได้ยินคำว่า “เงินใต้โต๊ะ” แล้ว เพราะการทุจริตภาครัฐพัฒนาขึ้นหันมาใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ เรียกว่า กินกันบนโต๊ะ
“จากแต่ก่อนกฎหมายจะเป็นเครื่องมือในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน ปัจจุบันใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการทุจริตเสียเอง เป็นการทุจริตที่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นได้จากการเซ็นสัญญาให้ได้เปรียบ แบบรู้เห็นเป็นใจ ร่วมมือกันโกงทุกระดับ” รมว.ยุติธรรม กล่าว พร้อมกับเห็นว่า สิ่งสำคัญของการป้องกันการทุจริต ก็คือจริยธรรมหรือที่เรียกว่ามาตรฐานของบุคลากรที่จะต้องมีสำนึกรับผิดชอบต่อการทำงาน และหน้าที่ จะช่วยป้องกันการทุจริต ประพฤติมิชอบ หรือป้องกันการฉ้อโกงได้ รวมถึงควรส่งเสริมให้บุคลากรมีคุณธรรมจริยธรรมในการปฏิบัติงานด้วย
หันมาดูแวดวงการเงินการธนาคารก็ไม่น้อยหน้า หนึ่งปีที่ผ่านมามีข่าวทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้น ดร.ธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เล่าให้ฟังว่า วันนี้การทุจริตได้พัฒนารูปแบบการกระทำผิด ต่างไปจากอดีตการทุจริตจะเกิดจากการใช้เช็ค ต่อมามีบัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็ต้องตั้งชมรมธุรกิจบริการเอทีเอ็ม ชมรมธุรกิจบัตรเครดิตขึ้นมา
มีอีกประเภทของการทุจริตที่ธนาคารไม่รู้เรื่องกลายเป็นเครื่องมือให้คนอื่นทุจริต เช่น การค้ายาเสพติด การทุจริตคอร์รัปชัน ในที่สุดต้องตั้งชมรมตรวจสอบและป้องกันการทุจริต (Fraud Management Club : FMC) ขึ้นมาอีก เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการบริหารจัดการปัญหาการทุจริตแบบครบวงจร รวมถึงการปราบปรามการทุจริตในทุกประเภทธุรกรรมของสถาบันการเงิน เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย ให้ข้อมูล และบอกถึงสิ่งที่หนักใจที่สุด คือ เรื่องกฎหมายในบ้านเราที่เมื่อร่างออกมาแล้ว แต่เวลาจับกุมคนร้ายที่กระทำผิดกลับทำได้ไม่ง่ายนัก บ่อยครั้งจับคนร้ายได้แล้วแต่ก็ต้องปล่อยตัวไป
ฮิตแต่งบัญชีนำหลักทรัพย์ไปกู้เงินแบงก์
สำหรับประสบการณ์ผู้ที่ทำงานสัมผัสและเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน พ.ต.อ.กิตติ สะเภาทอง รองผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ให้ข้อมูลว่า ช่วงปีที่ผ่านมา เรื่องภาษีและการละเมิดทรัพย์สินทางปัญหาเริ่มลดน้อยลง แต่ที่ทวีความรุนแรงกลายเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเงินการธนาคาร มีการดำเนินคดีมากที่สุดคือการแต่งบัญชีนำหลักทรัพย์ไปกู้เงินกับธนาคาร
ขณะที่ในสายตา “ผู้กำกับเจี๊ยบ” พ.ต.อ.ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้กำกับการ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี บอกว่า ที่อาชญากรรมทางเศรษฐกิจหรืออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ปัจจุบันเฟื่องฟู ทั้งหมดเป็นผลมาจากอัตราคนใช้อินเทอร์เน็ตมีมากกว่า 14 ล้านคน ขณะที่คอมพิวเตอร์มีราคาถูกลงเรื่อยๆ มีบริการมากทำให้มีช่องว่างช่องโหว่มาก การสร้างระบบป้องกันต่างๆ ระบบการรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานดีแค่ไหน จึงเป็นแค่มาตรการหน้าบ้านเท่านั้น
สร้างจิตสำนึกมองคอรัปชันเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
จากผลวิจัยเอแบคโพลล์เมื่อเดือน ต.ค.2551 ระบุว่า คนส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 63.2% คิดว่ารัฐบาลทุกรัฐบาลคอร์รัปชัน แต่หากทุจริตคอร์รัปชันแล้วทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง ก็ยอมรับได้ ถือว่าเป็นทัศนคติที่น่ากลัว มาปีนี้เอแบคโพลล์ เผยผลสำรวจเรื่อง “การรับรู้ของสาธารณชนต่อสถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชันในสังคมไทยในยุคนายกรัฐมนตรี และผู้ว่าฯ กทม. มาจากพรรคเดียวกัน” กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 1,686 ตัวอย่าง เมื่อวันที่ 22-23 มกราคม พบว่า คนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.0 ระบุสถานการณ์ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในสังคมไทยอยู่ในระดับรุนแรงถึงรุนแรงที่สุด อีกร้อยละ 32.1 ระบุค่อนข้างรุนแรง
นอกจากนี้ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนร้อยละ 67.0 รับรู้ว่า มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเรียกรับผลประโยชน์ โดยจำนวนมากหรือร้อยละ 38.4 เคยเจอด้วยตัวเอง และในกลุ่มที่เจอด้วยตัวเองนี้ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 70.0 เคยต้องจ่าย ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 63.1 รับรู้ว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐนำทรัพย์สินของราชการไปใช้ส่วนตัว โดยในกลุ่มนี้เกินกว่า 1 ใน 3 หรือ ร้อยละ 35.2 ที่เจอด้วยตนเอง
ดังนั้น การส่งเสริมให้สาธารณชนได้ตระหนักถึงภัยจากคอร์รัปชัน มองคอร์รัปชันเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จึงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญโดยทุกภาคส่วนต้องช่วยกันรณรงค์มะเร็งร้ายที่กำลังกัดกร่อนสังคมไทย ช่วยกันคนละไม้ละมือสร้างทัศนคติ ค่านิยม และสร้างจิตสำนึกใหม่ในเรื่องคอร์รัปชัน