- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- “จับ”โครงสร้างอำนาจ “ไล่ทัน”ปฏิสัมพันธ์คนและชนชั้น
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
“จับ”โครงสร้างอำนาจ “ไล่ทัน”ปฏิสัมพันธ์คนและชนชั้น
คนไทยเหมือนไก่อยู่ในเข่ง “เข่ง” คือโครงสร้างที่ครอบให้อยู่ในที่แคบๆ กระทบกัน จิกตีกันเรื่อย แต่ละตัวก็ออกจากเข่งไม่ได้ ในที่สุดก็ถูกไปเชือดกันหมด....
เรื่องไก่อยู่ใน “เข่ง” นี้ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฏรอาวุโส ประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป พูดเปรียบเทียบเสมอๆ เพื่อต้องการย้ำให้เห็นว่า สังคมไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้าง โครงสร้างแห่งความไม่เป็นธรรม จนนำมาสู่ความขัดแย้งรุนแรง
หมอประเวศ ขยายความโครงสร้างที่วิกฤต การต่อสู้กันภายใน “เข่ง” นั้น แก้ปัญหาประเทศไม่ได้ นอกเสียจากว่า “ไก่” ทั้งหมดต้องรวมตัวบินออกจากเข่งที่แคบและบีบรัด
ปฏิรูปคราวนี้…..จึงต้องสร้างความพร้อมอกพร้อมใจบินออกจากเข่ง และให้ประชาชนเป็นผู้ปฏิรูปร่วมกัน
ปฏิรูปครั้งนี้….ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงระดับผิวเผิน แต่เปลี่ยนโครงสร้าง
ดังนั้น ลำดับแรกเราต้องเข้าใจ “เข่ง” หรือ “โครงสร้าง” สังคมไทยเสียก่อน
วันก่อน คณะอนุกรรมาธิการส่งเสริมภาคประชาชนป้องกันการทุจริตและตรวจสอบภาครัฐ ในคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เชิญ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา ไปพูดถึงนักการเมืองกับการแทรกแซงข้าราชการ ช่วงหนึ่งมีการอธิบายให้เห็น “ภาพ” โครงสร้างสังคมไทย ไว้อย่างน่าสนใจ
ดร.เจิมศักดิ์ บอกว่า สังคมไทยเป็นสังคมระบบอุปถัมภ์ คือ ระบบเล่นพรรคเล่นพวก ระบบหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง หาผลประโยชน์ให้กับพวก และผลประโยชน์ของชาติหรือผลประโยชน์ของสังคมมาเป็นลำดับสุดท้าย เมื่อใดก็ตามผลประโยชน์ของสังคม ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของพวกและของตนเอง ก็จะเลือกผลประโยชน์ของตัวเองและพวกก่อน
เขา คลายปมต่อว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่เชื่อ ชีวิตและความก้าวหน้าจะเกิดได้ด้วยตัวเอง แต่จะคิดว่า ชีวิตและความก้าวหน้าเกิดได้จากคนที่สูงกว่าเรา คนที่มีอำนาจมากกว่าเรา สามารถจะอุ้มชู หิ้วเราขึ้นไปได้
นี่คือความเชื่อลึกๆ ของคนไทย ที่อดีตส.ว. เปิด ประเด็นให้เห็น ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็จะหาคนคอยคุ้มกะลาหัว หาคนคอยอุ้มชู หาพรรคพวก กลายเป็นระบบต้องตอบแทนซึ่งกันและกัน ระหว่างผู้อุปถัมภ์กับผู้อยู่ใต้การอุปถัมภ์
ยิ่งหนักไปกว่านั้น การตอบแทนบุญคุณ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในลักษณะบุญคุณ ไม่ใช่เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ชัด แต่เป็นระบบที่ “ฉันทำให้เธอก่อน เธอไปผูกไว้ในใจเป็นหนี้บุญคุณ วันหลังเธอทำอะไรตอบแทนมา” ซึ่งระบบราชการเองก็อยู่ในระบบนี้ ทหารเห็นชัดสุด
มีคำพูดในแวดวงราชการมหาดไทย ที่ว่า “หากอยากได้ดิบได้ดี จะต้องสายโลหิต ศิษย์ข้างเคียง เสบียงหลังบ้าน กราบกรานสอพลอ ล่อไข่แดง แกร่งวิชา ถลามาเอง” ประเด็นนี้ อาจารย์เจิมศักดิ์ ได้สะท้อนวิธีคิดทางสังคมที่ยอมรับ การจะประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเอง แต่ขึ้นอยู่กับการได้รับอุปถัมภ์ ค้ำชู และที่ ทำทั้งหมดนั้นก็เพื่อให้ผู้อุปถัมภ์พอใจ ก่อนจะตอกย้ำชัดขึ้นว่า สังคมไทยรวมตัวในแนวดิ่ง ไม่ได้รวมตัวในแนวนอน รวมตัวกันระหว่างคนที่มีสถานภาพต่างกันเพื่อเอื้อประโยชน์กัน แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในลักษณะบุญคุณ
ไม่ว่าจะเป็น ทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน หรือนักการเมือง มีมุ่ง มีหัวหน้ามุ้ง ล้วนอยู่ในระบบอุปถัมภ์ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไปสอดคล้องกับชาวบ้าน ซึ่งก็มีระบบอุปถัมภ์เช่นเดียวกัน กลายเป็นระบบที่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน
เมื่อได้ทำความเข้าใจโครงสร้างสังคมไทยที่เป็นระบบอุปถัมภ์แล้ว คำถามคือ ทางออกของประเทศควรเดินไปอย่างไร
อดีต ส.ว. เห็นว่า ประการแรก ต้องให้ผู้คนในบ้านเมืองรู้ทัน “โครงสร้าง” ของสังคมไทยเสียก่อน มิเช่นนั้นจะดูเป็นจุดๆ ด่าเป็นคนๆ เท่านั้นยังไม่พอ “ต้องจับให้ได้” ใครอยู่โครงข่ายไหน เช่น นักการเมืองคนใด อยู่ในโครงสร้างระบบอุปถัมภ์เดียวกัน ยิ่งมีการทำแม็ปปิ้งเอาไว้จะดูง่ายขึ้น ต่อจากนั้นให้ตามไปดูธุรกิจใหญ่ๆ อยู่ตรงไหน พอจับโครงสร้างได้ก็ทำความเข้าใจเอาไว้ก่อน เมื่อเกิดเหตุการณ์ก็สามารถวิเคราะห์ เชื่อมต่อจนเห็นภาพอะไรบางอย่างได้
ประการที่สอง โครงสร้าง เครือข่าย ก็ยังไม่พอ ต้องเข้าใจเรื่อง “คน” พฤติกรรม ใครในอดีต ปลิ้นปล้อน หลอก เปลี่ยนสี ต้องจารึกมีข้อมูลให้กับประชาชน มีศูนย์ข้อมูลทางการเมือง เกี่ยวข้องกับข้าราชการผู้มีอำนาจ ข้าราชการระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อธิบดี ศาล อัยการ เก็บข้อมูลทั้งหมด ไม่เฉพาะนักการเมือง
ประกาที่สาม ปฏิรูประบบวัฒนธรรมข้าราชการ ซื่อสัตย์ไม่ยอมร่วมมือ "หงอ" กการเมือง ทำอย่างไรให้มีข้าราชการแบบนี้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งปรับวัฒนธรรมการทำงานที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นตัวของตัวเอง
และสุดท้าย การเมืองภาคพลเมืองต้องเข้มแข็ง จำเป็นจะต้องจัดตั้งเป็นองค์กรภาคประชาชนที่มีเครือข่ายยึดโยง เช่น ที่ประเทศอังกฤษ นิยมเป็นคลับ หรือสโมสร ของไทยต้องมาคิดได้แล้วว่า ในแต่ละจังหวัดจะมีองค์กรอย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับประโยชน์ของคนแต่ละ ภูมิภาค แต่ละจังหวัด
หันมาดูวัฒนธรรมไทยกับการเมืองกันบ้าง ในฐานะผู้สวมหัวโขน หาทางออกให้กับประเทศไทย มีชื่อนั่งในกรรมการปฏิรูป และกรรมการสมัชชาปฏิรูป ทั้ง 2 ชุด รศ.ดร. ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิเคราะห์เจาะลึกวัฒนธรรมไทย ไว้บนเวที “การปฏิรูปการเมืองเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย” ที่จัดโดยสถาบันพระปกเกล้า เมื่อหลายวันก่อน
ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ได้เดินผ่านเรื่องราวพบเหตุการณ์บ้านเมืองมามาก อาจารย์ณรงค์ เห็นว่า การนองเลือดหลายครั้งในสังคมไทย ดูเหมือนว่า จะไม่มีใครใส่ใจจำ ที่จะทบทวน วิเคราะห์ว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร หรือตั้งคำถาม ทำไมถึงเกิดซ้ำซาก
“เชื่อว่า การนองเลือดยังไม่สิ้นสุด เพราะวัฒนธรรมคนไทยนั้น เราถูกปลูกฝังมาให้เป็นคนมองแค่ปลายนิ้วตัวเอง เรื่อง เมื่อวาน อย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ เรื่องพวกนี้ อย่าวิตกจริตยังมาไม่ถึง คนไทยถูกสอนให้มองแค่วันนี้เป็นสำคัญ เราถูกฝึกมาแบบนี้ เราจึงเป็นพวกไม่มีประวัติศาสตร์และไม่มองอนาคต อยู่แบบสบายๆ”
จริงหรือไม่....ประเด็นนี้ ทุกคนต้องถามตัวเองดู
เรื่องสำคัญประการหนึ่ง เวลามองการปฏิรูปประเทศไทย หรือมองการเมืองในประเทศไทย เรามักจะวางจุดไปที่การสร้างกติกาการปฏิรูป และให้น้ำหนักไปที่ “รัฐธรรมนูญ” อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ยอมรับก็เคยคิดเช่นนั้นมาตลอด ว่า รัฐธรรมนูญ คือ ตัวบทให้เกิดประชาธิปไตย แต่ เมื่อกลับไปนั่งพินิจพิจารณาเนื้อหาวิชาเศรษฐศาสตร์การเมืองเก่าๆ เพื่อค้นหาคำตอบว่า เหตุใดการมุ่งเน้นไปที่รัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปการเมือง จึงไม่ประสบความสำเร็จ
วันนี้ เขาไม่เชื่อแล้วว่า รัฐธรรมนูญจะทำให้การปฏิรูปการเมืองสำเร็จได้จริงๆ เพราะเป็นแค่ส่วนหนึ่งในองค์ประกอบเท่านั้นเอง
“ที่มองอย่างนี้ก็เพราะปัญหาต่างๆ เกิดจากปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจของกลุ่มคนและชนชั้น ในการแข่งขันและช่วงชิงผลประโยชน์ ถ้า กลุ่มคนในชนชั้นหันหน้าเข้าหากัน ก็จะมีการจัดสรร แบ่งปันผลประโยชน์ ไม่ว่าจะทางการเมือง เศรษฐกิจ แต่หากกลุ่มคนในชนชั้น ตั้งหน้าตั้งตาแข่งขันและช่วงชิงกัน ปัญหาก็จะเกิด
ผมไม่เคยเห็นว่า ความขัดแย้งในระดับชนชั้นนำไปสู่การฆ่าแกงกัน ทำลายกันในสังคมไทย เพราะเป็นความขัดแย้งที่สามารถตกลงกันได้เสมอ ระหว่างชนชั้น แต่ความขัดแย้งที่นำไปสู่การนองเลือด ฆ่าฟันกัน หาใช่ความขัดแย้งทางชนชั้นไม่ แต่เป็นความขัดแย้งของกลุ่มคนที่มีความโลภ ความหลง ไม่สิ้นสุด กลุ่มคนเหล่านั้นสามารถสร้างสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายชนะในความขัดแย้ง เริ่มจากกลุ่มที่มีอำนาจบารมีในอำนาจรัฐ ต่อมาเป็นกลุ่มคนในอำนาจทุน และอำนาจสื่อ”
กรรมการปฏิรูป - นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง ผู้กำลังหาทางออกให้กับประเทศไทย มองแบบนี้ โดยเห็นปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น มาจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจของกลุ่มคน…..ที่ไม่เสมอภาคกัน
แปลความได้ว่า มีคนบางกลุ่มมีอำนาจมากเกินไป ความสัมพันธ์เชิงอำนาจจึงไม่สมดุล
ประเด็น ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่สมดุล อาจารย์เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ขยายความเพิ่มเติมว่า เกิดขึ้นมาแล้วทั่วโลก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะถูกแก้ โดยสิ่งที่เรียกว่า “ อำนาจถ่วงดุล” โดยทั่วไปมักเกิดจากฐานของคนที่หลากหลาย ฐานของชนชั้น
เช่น ในสังคมทุนนิยม ที่มีอำนาจทุนมากเกินไป ก็มักจะเกิดฐานของสหภาพแรงงานขึ้นมาถ่วงดุล ในสังคมราชการ ทหาร มีอำนาจปืนมากเกินไป ก็มักจะเกิดฐานของชนชั้นทุน ขึ้นมาถ่วง “ทุน กับ ปืนต่อสู้กันได้”
แต่สำหรับสังคมไทยเป็นสังคมพิเศษ กลายเป็นว่า “อำนาจทุน อำนาจปืน อำนาจสื่อ” อยู่ที่เดียวกัน
3 อย่างนี้เมื่อรวมกัน ได้ทำให้ความแตกต่างระหว่างชนชั้นล่มสลาย รศ.ดร.ณรงค์ เห็นว่า ความขัดแย้งทางชนชั้นเกือบจะไม่มีแล้ว ความขัดแย้งขณะนี้ จึงไม่ใช่เรื่องของชนชั้น แต่เป็นเรื่องของ “Power Block” หรือกลุ่มอำนาจ 2 กลุ่ม ที่มี ทุน ปืน สื่อ ต่อสู้กัน
“ เราอยู่ในสังคมทุนนิยม ทุนซื้อปืน สื่อ ตำแหน่งได้ ไฉนรัฐธรรมนูญจะถูกฉีกไม่ได้ ตัวอักษรจะมีความหมายอะไร ในเมื่อไม่สอดคล้องกับปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เป็นจริงของสังคม”
เขาเชื่อว่า การปฏิรูปการเมือง ต้องเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางอำนาจด้วย
ฉะนั้น ถ้าจะเดินหน้าปฏิรูปประเทศ มีทางเดียว คือ การสร้างอำนาจถ่วงดุลของกลุ่ม “Power Block” ทำยุทธศาสตร์ว่าด้วยการเพิ่มพลังอำนาจของผู้ด้อยกว่าให้ขยับขึ้นมา เพื่อสร้างสมดุลทางอำนาจ
สิ่งนี้ คือ กลไกหลัก เพิ่มพลังอำนาจให้คนเล็กคนน้อย
“เราพูดปฏิรูปการเมืองทุกยุคทุกสมัย กลับไม่เคยพูดถึงพลังคนเล็กคนน้อยเลย รูปธรรมก็ไม่เกิดขึ้น ขณะที่เราต้องการประชาธิปไตย และไม่ได้ฝึกให้เข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตของเขา กลายประชาธิปไตยจอมปลอม เป็นเพียงการเลือกตั้งเศษเสี้ยวของประชาธิปไตยเท่านั้น” รศ.ดร.ณรงค์ กล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะให้เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องยอมรับอำนาจของคนเล็กคนน้อย ให้มีอำนาจต่อรอง ปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจ
เพราะนั่นคือ การปฏิรูปการเมืองที่แท้จริง แล้วความปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจนี้ จะเป็นกลไกไปปฏิรูปเรื่องรายได้ โอกาส ศักดิ์ศรี สิทธิต่างๆ ตามมา
ทั้งหมดนี้ ถ้าเราบอกว่า สังคมประชาธิปไตย คือสังคมที่ให้อำนาจกับประชาชน เราต้องการให้ประชาชนพึ่งตนเองได้
จึงน่าคิดว่า การพึ่งตนเองได้ สิ่งแรก คือพึ่งอำนาจตัวเองให้ได้ก่อน เพราะตราบใดคนไม่มีพลังอำนาจก็เหมือนร่างกายไม่มีแขน-ขา