- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- เปิด(หัว)ใจอาสาสมัคร "ให้" อย่างไร้เงื่อนไข
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
เปิด(หัว)ใจอาสาสมัคร "ให้" อย่างไร้เงื่อนไข
ในภาวะที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยความขัดแย้ง สับสนอลหม่าน อีกทั้งความกังวลคอยกัดกร่อนจิตใจของผู้คนไม่รู้จักจบสิ้น ใครหลายคนอาจพยายามคิดเปลี่ยนประเทศให้ดีขึ้นในทันตา ทั้งที่ในความจริงเป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะ
เราลองมาหันมาเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ เฉกเช่นงานอาสา โดยเราจำเป็นต้องตระหนักเสมอว่า ‘อาสาสมัคร ’ ไม่ใช่เป็นอาชีพ เกิดขึ้นได้ในทุกที่ ทุกเวลา ไม่มีชนชั้นวรรณะ ไม่จำกัดเพศและวัย และไม่ว่าจะเป็น ครู พ่อค้า นักธุรกิจ ข้าราชการ ฯลฯ ก็สามารถเป็นอาสาสมัครได้ตลอดเวลา ขอเพียงแค่มี ‘จิตอาสา’
หนึ่งในผู้ที่ลงแรงกาย แรงใจ จากหนึ่งสมอง สองมือ คิดช่วยคนที่เดือดร้อน ช่วยแบบส่งต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีสิ้นสุด หวังสักวันอาจเปลี่ยนสังคมให้ดีขึ้นมาได้บ้าง “สมศักดิ์ ชลาชล” ช่างตัดผมชั้นนำของเมืองไทย ผู้ริเริ่มโครงการสมศักดิ์เพื่อสมศักดิ์ เปิดอกบอกเล่าถึงแรงบันดาลใจในการทำงานอาสา ไว้ในงานตลาดนัดแห่งความสุขของการอาสาและการให้ (Volunteer street Fair 2010) ณ อุทยานเบญจสิริ
ช่างผมชื่อดัง ย้อนอดีตทบทวนไปถึงช่วงเวลานั้นว่า เป็นช่วงที่ได้รับโอกาสจากสังคมมากมาย จากกะเทยทำผมตัวเล็กๆ ที่คนดูถูกเหยียดหยามเมื่อ 30 ปีก่อน กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียง ขยับก้าวเข้ามามีที่นั่งในสังคม
“ผมจึงอยากเห็นคนอื่นมีโอกาสเช่นนั้นบ้าง”
แม้ว่าโครงการสมศักดิ์เพื่อสมศักดิ์ ผุดขึ้นจากความน้อยใจใน “ชื่อ” ที่ไม่ว่าจะมีคดีฆ่ากันตาย หรือคดีร้ายๆ ใด ๆ เกิดขึ้นในสังคม ชื่อ “สมศักดิ์” ก็ถูกหยิบยกมาใช้เป็นนามสมมุติของคนร้ายเสมอๆ
อีกทั้งชื่อ “สมศักดิ์” ที่ออกแนวจะเชยๆ เหล่านี้ทำให้ เขานำความรู้สึกตรงนี้มาผลักดันจนเกิดไอเดีย ‘สมศักดิ์รวยช่วยสมศักดิ์จน’ โดยใช้วิธีการช่วยเหลือคนที่ประสบภัยพิบัติหรือเดือดร้อนมากก่อน
และด้วยความคิดนี้ “สมศักดิ์ ชลาชล” จึงเชื่อมั่นกับคำว่า ให้ที่ไม่สิ้นสุด และว่า หากมีคนไทย ไม่ว่าจะชื่อ สมชาย สมศรี ในประเทศไทย รวมตัวเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ๆ และผนึกกำลังต่างลุกขึ้นมาช่วยกลุ่มของตนเอง ไม่รอคอยฟ้าฝน ก็จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้คนในสังคมได้จำนวนมาก
“โดยเฉพาะการให้ ไม่ว่าจะการศึกษา หรือความรู้ด้านวิชาชีพช่างทำผม จะช่วยให้สังคมเจริญงอกงามต่อไปได้” ผู้ริเริ่มโครงการสมศักดิ์เพื่อสมศักดิ์ ถ่ายทอดออกมาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ซึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึกที่เงิน ทอง ก็หาซื้อไม่ได้
อีกแรงบันดาลใจ ของการให้ที่ไม่สิ้นสุด พญ.ศรีประภา ชัยสินธพ อาสาสมัครโครงการสานสัมพันธ์ บ้านเด็กอ่อนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เล่าว่า หัวใจอาสาสมัครเกิดขึ้นได้ ด้วยความคิดที่ว่า เด็กที่ถูกทอดทิ้งก็มีสิทธิที่จะมีครอบครัว มีสิทธิที่จะได้รับการดูแลที่ดี และมีสิทธิที่จะมีใครสักคนที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นคนของเขาจริงๆ
“สิ่งเหล่านี้จะช่วยหล่อหลอมตัวตนของเด็กคนหนึ่งขึ้นมา เขาต้องเห็นตัวเองมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี รู้สึกตัวเองเป็นใครสักคนที่รักคนอื่นได้ และคนอื่นก็รักเขา เชื่อว่าจะทำให้เด็กเหล่านี้สามารถอยู่ในสังคมได้ อย่างที่เรียกว่า แม้ไม่สุข แต่ก็ไม่ทุกข์มาก ที่สำคัญก็จะไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม”
แม้สังคมอาจย่ำแย่ย่อยยับ แต่สำหรับ พญ.ศรีประภา กลับไม่ได้เป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้นที่ทำร้ายสังคม เธออยู่อีกด้านเสมอ ซึ่งการเข้ามาทำงานอาสาเลี้ยงเด็กอ่อน พญ.ศรีประภา แสดงความเห็นว่า จะเป็นการเปิดโลกทรรศน์ให้ใครได้อีกหลายคน ให้ได้รับรู้เรื่องราวและเข้าใจสังคมอื่น ที่เราไม่เคยติดต่อหรือข้องแวะมาก่อน ทำให้จิตใจเปิดกว้าง ยอมรับสิ่งต่างๆ ของคนอื่น และมองเห็นสิ่งดีๆที่คนอื่นทำมากขึ้น
อาสาสมัครจัดการภัยพิบัติ
“มันเหมือนกับเรือแตกกลางมหาสมุทร และมีคนจำนวนมากกำลังจะจมน้ำ หลายคนอยากจะหาเรือออกไปช่วยชีวิตคนเหล่านั้น แต่มันเป็นไปไม่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ที่พอจะทำได้ก็แค่พยายามต่อแพจากซากปรักหักพังแล้วถ่อมันไปช่วยพวกเขา” คำบอกเล่า ของอาสาสมัครที่ผ่านประสบการณ์การลงพื้นที่จริง ในช่วงเหตุการณ์สึนามิ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว หนูหริ่ง – สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิกระจกเงา ย้อนภาพอดีตให้ฟัง
สิ่งเหล่านี้ คือความเป็นจริงที่เขาพบเจอในการทำงานอาสา ผู้ก่อตั้งมูลนิธิกระจกเงา บอกว่า ตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่ทำงานอาสาสมัครในพื้นที่ประสบภัยสึนามิทำให้เห็นว่าอาสาสมัครมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อเกิดภัยพิบัติขนาดใหญ่ กลไกรัฐเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรับมือได้ จำเป็นที่กลไกภาคประชาชน หรืออาสาสมัครต้องเข้าไปเสริมทัพ
“ขีดความสามารถของรัฐหรือองค์กรที่ดูแลเรื่องภัยพิบัติอาจมีอยู่ 50% แต่ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติมันพุ่งขึ้นถึง 70% ล้นเกินศักยภาพที่รัฐจะทำได้ จึงต้องมีอาสาสมัครเข้าไปช่วย ดังนั้น ระบบอาสาสมัครจึงเป็นระบบสำรองที่สำคัญอย่างยิ่งในช่วงภาวะวิกฤต อีกทั้งอาสาสมัครยังเป็นกำลังสำคัญในการสานต่องานจากรัฐ ทั้งในเรื่องการฟื้นฟู การป้องกัน หรือกระทั่งงานที่ไม่สามารถผลักดันออกจากภาครัฐได้” เขาอธิบาย พร้อมยอมรับว่า บางครั้งเมื่อเกิดภัยพิบัติ ก็เป็นเรื่องยาก และเกินกำลังของเหล่าอาสาเช่นกัน
เมื่องานอาสาเป็นงานที่ท้าทาย หลายคนจึงคิดว่าการเป็นอาสาจะต้องใช้ ‘ใจ’ สูง แต่ทว่า อาสาสมัครจัดการภัยพิบัติผู้นี้ กลับเห็นต่าง เพราะมองว่าอารมณ์ความรู้สึกหรือใจอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะสังคมต้องการอาสาสมัครที่มีความมุ่งมั่น และมองเห็นว่าเรื่องมันยาวมาก ไม่ใช่แค่พออะดรีนาลิน (Adrenaline) หลั่ง หรือพอข้อมูลถาโถมเข้ามามากๆ ก็ทุกข์ทรมานจนทนไม่ได้ต้องลุกขึ้นมาทำงานอาสา
“ถ้าคิดเช่นนี้ เชื่อได้เลยว่า เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน กลไกหรือความรู้สึกเหล่านี้ก็จะหายไป การทำงานอาสาจะต้องคิดอย่างมีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์เพียงอย่างเดียว”
สมบัติ บุญงามอนงค์ ตอกย้ำด้วยว่า คนที่เสนอตัวเป็นอาสาสมัคร จะต้องเป็นนักเรียนรู้ตัวยง ต้องเข้าใจว่าตัวเองกระโดดเข้าไปอยู่ในภัยพิบัติ นั่นเท่ากับว่า เป็นหนึ่งในผู้ประสบภัยแล้ว แน่นอนว่าจะไม่สามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ ได้ และความสามารถที่มีก็จะถูกลดทอนลงไปด้วย เช่น ลงกายลงแรงไป 100 % ผลลัพธ์อาจได้เพียงแค่ 10 % เท่านั้น การเป็นอาสาสมัครจึงต้องทำลาย “อีโก้” ตัวเองให้หมดสิ้นไป
ส่วนสาเหตุที่คนจำนวนมากหันมาเดินบนเส้นทางสายอาสามากขึ้นนั้น ผู้ก่อตั้งมูลนิธิกระจกเงา มองว่า ผู้ที่ขันอาสาส่วนหนึ่งซึมซับและเสพข่าวสารจนกระทั่งรู้สึก “เจ็บปวด” เช่นเดียวกับผู้ประสบภัย จึงหันมาเป็นอาสาสมัครเพื่อบำบัดความเจ็บปวดดังกล่าว หรืออาจเพราะตนเคยตกอยู่ในฐานะผู้ประสบภัยและเกิดการสูญเสีย จึงใช้วิถีแห่งการเป็นอาสามาช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำ
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม สังคมก็เริ่มคุ้นชินกับการต่อสู้ปัญหาด้วยการเสนอตัวเป็นอาสาสมัครไปเสียแล้ว
“ผมคิดว่ากระแสและวัฒนธรรมอาสา ได้ถูกจุดประกายขึ้นในสังคมไทยแล้ว เราหว่านความคิดและวัฒนธรรมนี้ไปอย่างกว้างขวาง แต่ปัญหาที่พบคือ เราขาดระบบจัดการ ขาดองค์ความรู้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการรับมือกับภัยพิบัติครั้งต่อไป” ผู้ก่อตั้งมูลนิธิกระจกเงา สะท้อนถึงความวิตกกังวล
อาสาสมัครในยุค Social Network
สำหรับอาสาสมัครในยุค Social Network อย่าง “พัชร เกิดศิริ” ผู้จัดการการตลาดออนไลน์ (Online Marketing manager) และคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ฝังตัวกลายเป็นพลเมืองในทวิตเตอร์ (Twitter) ไปแล้ว
ชายหนุ่มนักปั่นกระแสบนโลกออนไลน์ เล่าว่า ช่วงที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ แม้จะไม่ได้ลงไปช่วยงานในพื้นที่จริง แต่เขาก็เป็นอาสาสมัคร ‘แนวหลัง’ เป็นแขนเป็นขาให้กับคนที่ลงไปลุยงานในพื้นที่ ได้ดีทีเดียว
“ผมเริ่มทำงานอาสาสมัครครั้งแรกเมื่อช่วงอุทกภัยครั้งใหญ่ที่ผ่านมา โดยติดตามเหตุการณ์จากทวิตเตอร์ และเมื่อมีอาสาสมัครในพื้นที่ทวิตข้อความว่าต้องการเครื่องเรือยนต์ ผมก็เลยคิดว่า การที่จะลงพื้นที่ไปช่วยคงเป็นไปไม่ได้ เพราะผมเป็นคนธรรมดาที่เป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง จึงเลือกใช้วิธีการอาสาตัวเองเป็นผู้จัดส่งเครื่องเรือลงไปในพื้นที่ประสบภัย โดยใช้กระแสโซเชียลมีเดีย มาช่วยระดมทุน ซึ่งก็ได้เงินประมาณ 200,000 บาท และเมื่อนำเงินไปใช้จ่ายก็เอาใบเสร็จรับเงินมาอัพบนบล็อก (blog) เพื่อแสดงความโปร่งใส เพราะกระแสของคนที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยนั้นมีจำนวนมาก แต่เขาต้องการความชัดเจน พอมีความชัดเจน ความช่วยเหลือก็ตามมา”
อาสาสมัคร ‘แนวหลัง’ มองว่า คนกรุงเทพฯ แม้จะมีบทบาทรองจากคนในพื้นที่ แต่ก็เป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ (resource) ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ส่วนใครที่คิดจะเข้ามาทำงานอาสา เขาหรือเธอจะต้องเรียนรู้ที่จะเปิดใจให้กว้าง เพราะคนที่เข้ามาทำงานตรงนี้มาจากหลายร้อยพ่อพันแม่ และจากหลายหน่วยงาน ซึ่งแต่ละแห่งก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน
“อย่างเช่น น้องๆ ที่อาสาเข้ามาช่วยงานในตอนปิดเทอม เขาก็จะมาด้วยใจ แต่ข้อเสียคือควบคุมยาก ไม่สามารถวิพากษ์การทำงานได้เพราะจะเสียใจ (hurt) ได้ง่าย หรือกรณีอาสาสมัครที่เป็นมูลนิธิต่างๆ ก็จะเป็นมืออาชีพ แต่ทว่าพวกเขาก็ยังต้องการมีชื่อผ่านสื่ออยู่บ้าง หรือกรณีรัฐส่วนกลางนั้นจะมีความน่าเชื่อถือ มีความรอบคอบในการวางแผน แต่ข้อเสียคือช้ามาก กว่าจะมีการตัดสินใจช่วยเหลือ บางครั้งน้ำก็ลดลงแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงน่าจะมีระบบโครงสร้างอาสาสมัครยุคใหม่ขึ้น เพื่อให้รัฐ อาสาสมัคร มูลนิธิ ฯ ที่ต่างคนต่างทำในสิ่งที่ตนถนัดได้มีการเชื่อมกันเป็นระบบใยแมงมุมผ่านเครือข่ายโซเชียลมีเดีย”
“พัชร เกิดศิริ” ชี้ให้เห็นด้วยว่า ปัจเจกบุคคลในยุคนี้ใครก็สามารถเป็นอาสาสมัครได้ ไม่ต้องรอตั้งมูลนิธิเหมือนแต่ก่อน เพราะการอาสาสามารถเกิดขึ้นได้จากกลุ่มเล็กๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเข้าใจก่อนว่า งานอาสาคือการทำงานจากลบไปบวก ทำสังคมที่ไม่ปกติให้กลับคืนสู่ปกติสุข
อาสาสมัคร เกิดได้ทุกที่ ทุกเวลา
เพื่อตอกย้ำให้เห็นว่า ยุคสมัยได้เปลี่ยนแปลงไป คนที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีความคิดดีๆ ได้ คนรุ่นใหม่ในวงการจิตอาสา ที่จะตอบโจทย์นี้ได้ดี ต้อง “สิงห์ - วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล” ผู้ประกอบการทางสังคม มองว่า การสื่อสารสร้างแรงบันดาลใจ มีแนวคิดดีๆ มากมายที่ติดอยู่บนหน้าเฟสบุ๊ค (facebook) สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ว่าต้องพยายามเชื่อมโยง ‘ผู้คิด’ กับ ‘ผู้ทำ’ ให้มาเจอกันได้อย่างไร เนื่องจากบางคนอาจชอบคิด แต่ไม่ชอบลงมือทำ ขณะที่อีกคนอยากจะทำ แต่กลับคิดไม่ออก ก็สร้างมาเจอกันบนเส้นทางออนไลน์
“ระบบคิดที่ถูกส่งออกมาบนสังคมออนไลน์ ทำให้ใครหลายคนที่นั่งคิดอยู่กับบ้านกลายเป็นอาสาสมัครได้เช่นกัน ยิ่งถ้าเราทำให้การช่วยเหลือสังคมเป็นเรื่องธรรมดา ก็เท่ากับเป็นการเปิดพื้นที่ เปิดประตูให้คนตัวเล็กๆ ได้ทำประโยชน์ตามที่ใจต้องการ” วรรณสิงห์ ถอดประสบการณ์ อาสาสมัคร ที่ทุกวันนี้เกิดได้ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง เพราะงานอาสาสมัครมีหลากหลายรูปแบบ และเห็นว่า ขณะนี้โลกก็กำลังเรียนรู้ว่า สังคมออนไลน์นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในแง่ใดได้บ้าง ส่วนในแง่ที่ไม่สามารถทำได้ก็ต้องหาวิธีการแก้ปัญหาวิธีอื่นมาทดแทน
“สตีฟ จ๊อบส์ ซีอีโอ ของบริษัทแอปเปิ้ล เคยบอกไว้ว่า เราไม่ต้องการร้านขายซีดีที่ดีกว่าเดิม แต่เราต้องการไอพอด (iPod) ฉะนั้นเครือข่ายจิตอาสา (ChangeFusion) และผมจึงคิดว่า ถ้าจะปฏิวัติหรือสร้างนวัตกรรมจริงๆ ก็คงไม่ได้ต้องการสิ่งเดิมที่ดีขึ้น แต่ต้องการสิ่งใหม่ไปเลย” วรรณสิงห์ สรุปทิ้งท้ายเรื่องการทำงานอาสา และว่า
การทำงานเพื่อสังคม การทำงานอาสา อย่าไปยึดติดหรือหลงใหลกับคำว่าดี ศีลธรรม หรือจิตอาสามากเกินไป เพราะสังคมเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น มากกว่าความถูกต้องหรือความดี แต่ควรคิดแค่ว่า สิ่งที่ทำจะก่อผลในแง่บวกให้สังคมอย่างไรบ้าง