มีตัวเลขที่น่าดีใจ เมื่อกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน รายงานข้อมูลการบรรจุงาน ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนตุลาคม 2552 ทำลายสถิติการบรรจุงานของปี 2550 และ 2551 ถือว่า มีสัญญาณดีขึ้น ส่วนสถานการณ์ด้านแรงงานเดือนกันยายน 2552 ตัวเลขการว่างงานเดือนกันยายน 2552 มีผู้ว่างงานทั้งสิ้น 460,000 คน คิดเป็นร้อยละ 1.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 30,000 คน แต่เทียบช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 10,000 คน
หากพิจารณาตามรายภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้ว่างงานมากสุด 130,000 คน รองลงมาเป็นภาคกลาง 120,000 คน ภาคเหนือ 90,000 คน ภาคใต้ 70,000 คน และกรุงเทพฯ 50,000 คน
ขณะที่เรื่องการดูแลสังคม เป็นอีกเทรนด์หนึ่งที่ภาคธุรกิจหันมาให้ความสำคัญ ซึ่งการสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ เป็น 1 ใน 10 หลักการ “ปฏิรูปประเทศไทย เพื่อเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก” ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโสระบุไว้ชัดเจน ต้องยึดการสร้างและพัฒนาอาชีพให้ทุกคนพึ่งพาตนเองได้ เพื่อขจัด ลดภาระสังคม ปัญหาการว่างงานแก่ชุมชนและสังคม และเห็นว่า การสร้างธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprises) โดยการดึงภาคเอกชนร่วมสร้างธุรกิจที่สามารถมีกำไรอยู่ได้และสังคมก็ได้ประโยชน์จากธุรกิจนั้นด้วย
ศ.นพ.ประเวศ ได้ยกตัวอย่างที่ประเทศอังกฤษมีหนังสือพิมพ์เรียกว่า Street Newspaper ให้คนเร่ร่อนตามท้องถนนเป็นผู้ขายและมีรายได้ เพราะคนเหล่านี้รู้จักตรอกซอกซอยของเมืองอย่างดี ปรากฎว่า คนซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับนี้กันมาก ขณะที่อาชญกรรมตามถนนที่เรียกว่า Street crimes ลดลง และยังมีธุรกิจบางอย่างที่สร้างงานให้คนจน ให้คนพิการทำ เป็นต้น
สำหรับประเทศไทย นอกจากสถาบันพัฒนาประชากรของนายมีชัย วีระไวทยะ เป็นธุรกิจเพื่อสังคมที่ชัดเจน ทำประโยชน์ให้ผู้คนเป็นจำนวนมากพร้อมกับมีการจ้างงานอย่างเหลือหลายแล้ว นิตยสารหมอชาวบ้าน ที่ทำมา 30 ปี ก็เป็นธุรกิจเพื่อสังคมทำประโยชน์เพื่อสังคม พร้อมๆกับเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่มีใครเอากำไรไปแบ่งกัน
มีอีกหนึ่งตัวอย่างธุรกิจคนไทยที่ได้ให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจเพื่อสังคม เช่นกัน นั่นคือ “นิตยสาร BE” หอบหิ้วแนวคิดกลัมมาจากอังกฤษ มุ่งมั่นต้องการช่วยลดจำนวนคนผู้ด้อยโอกาสในสังคมให้เหลือน้อยที่สุด ด้วยการสร้างโอกาสให้คนจรจัด คนว่างงาน นักเรียน นักศึกษา และผู้มีภาระแต่ขาดโอกาสในการทำกินในสังคมไทยให้สามารถเลี้ยงชีพได้จากการจำหน่ายนิตยสารฉบับนี้แม้ไม่มีเงินทุน อีกทั้งได้แบ่งกำไรส่วนหนึ่งของนิตยสารบริจาคสู่มูลนิธิต่างๆ
นายอารันดร์ อาชาพิลาส ผู้ก่อตั้ง นิตยสาร BE เล่าว่า ได้แนวคิดมาจากนิตยสาร Big Issue สมัยเรียนที่อังกฤษ ซึ่งมีการแจกให้คนจรจัดและผู้ลี้ภัยทางการเมืองไปขายเพื่อสร้างอาชีพ แต่เมืองไทยไม่มีการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสแบบนี้ จึงนำแนวคิดนี้มาใช้กับสังคมไทย ยึดหลักการทำธุรกิจให้สามารถช่วยเหลือสังคมได้ คือ ผลิตหนังสือรายเดือนที่มีเนื้อหาเป็นประโยชน์ต่อคนอ่าน และให้ผู้ด้อยโอกาสที่ลำบากสามารถนำไปขายสร้างอาชีพได้ เนื้อหาส่วนใหญ่จึงเป็นไลฟ์สไตล์ของคนเมืองในมิติต่างๆ รวมถึงเรื่องเด่นๆ ของคนทำงานในแต่ละอาชีพ
นายอารันดร์ กล่าวว่า เราต้องสร้างโอกาสในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในสังคม ให้คนที่ลำบากสามารถขายหนังสือมีรายได้ ให้รู้ว่าสังคมไม่ทอดทิ้ง โดยนิตยสาร BE จะเป็นบันไดขั้นแรกแห่งโอกาสของการมีอาชีพ มีรายได้ คนที่ไม่มีเงิน ตกงาน ไม่มีบ้านก็สามารถมาเริ่มต้นได้ที่นี่ ไม่ต้องมีทุนและไม่จำเป็นต้องขายตลอดชีวิต สามารถเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นได้ในอนาคต
“เราสามารถสร้างโอกาสให้สังคมช่วยเหลือกันเองได้ ถ้าคุณซื้อหนังสือจากคนที่ลำบากตอนนี้ เย็นวันนั้นก็กลายเป็นค่าข้าวของเขาแล้ว ดังนั้นจะทำอย่างไรให้คนช่วยเหลือกันมากขึ้น เนื่องจากเราไม่สามารถช่วยทุกคนได้ หน้าที่ของนิตยสาร BE คือ สร้างกลุ่มตัวอย่างของการช่วยเหลือกันขึ้นมาให้สังคมเห็น” นายอารันดร์ กล่าว
ปัจจุบันมีผู้ด้อยโอกาสร่วมจำหน่วยนิตยสาร BE แล้ว 112 คน เป็นผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่กรุงเทพ 46 คน จากสภาสังคมสงเคราะห์ 22 คน ต่างจังหวัด 23 คน และนักศึกษาอีก 11 คน ส่วนใหญ่ คือ กลุ่มคนจรจัดและคนตกงาน รองลงมาเป็นนักศึกษาและกลุ่มคนที่มีภาระมาก นายอารันดร์ กล่าวว่า เดิมตั้งเป้าช่วยเหลือไว้ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ คนตกงาน คนไร้บ้าน คนพิการ คนที่มีภาระแบกรับมาก
เมื่อมาดูสัดส่วนการจำหน่ายนิตยสาร BE นายอารันดร์ บอกว่า จากยอดพิมพ์เดือนละ 40,000 ฉบับ จำหน่ายหมดประมาณ 80 % ที่เหลือนำไปบริจาคสภากาชาดใช้เป็นหนังสือแนะนำอาชีพแก่ผู้อื่นต่อไป ซึ่งกระแสตอบรับจากสังคมค่อนข้างดี แบ่งสัดส่วนการขายให้ผู้ด้อยโอกาส 75-80 % ของยอดพิมพ์ อีก 25% ส่งตามร้านหนังสือทั่วไป และเหตุที่ต้องขึ้นแผงร้านหนังสือทั่วไปเพราะเมืองไทยไม่มีการทำฐานข้อมูลผู้ด้อยโอกาสที่ลำบาก ต่างจากอังกฤษที่มีมูลนิธิดูแลคนไร้บ้านและมีฐานข้อมูลตรงนี้ทำให้ง่ายต่อการช่วยเหลือ ดังนั้นจึงต้องวางหนังสือกระจายทั่วประเทศเพื่อให้คนอ่านบอกต่อและช่วยเหลือกันในสังคมได้
“วันนี้พอใจระดับหนึ่งที่ได้ช่วยเหลือสังคม อนาคตวางแผนว่าจะขยายโอกาสนี้สู่ต่างจังหวัด เช่น น่าน เชียงใหม่ อุดรธานี อาจจะดึงมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้าร่วมในส่วนการผลิตและช่วยเหลือสังคมด้วย ในต่างประเทศการทำธุรกิจเพื่อสังคมแบบนี้รัฐจะยกเว้นภาษีให้ผู้ประกอบการ แต่เมืองไทยยังเก็บภาษีตามปกติ อยากให้ภาครัฐเปิดโอกาสในการทำธุรกิจตรงนี้ให้มากขึ้น” เจ้าของธุรกิจนิตยสารเพื่อสังคม กล่าว
นายวรพล วายุพักตร์ อดีตพนักงานสนามบินสุวรรณภูมิ อีกหนึ่งตัวอย่างของบุคคลที่ล้มแล้วลุกขึ้นสู้ชีวิต เล่าว่า ตนจบปริญญาตรีบริหารจัดการ เคยทำงานเป็นผู้ควบคุมพนักงานในสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นพนักงานบริษัทและพนักงานขายหลายแห่งแต่ไม่ประสบความสำเร็จ พอทราบข่าวนิตยสารช่วยคนจากรายการสถานีประชาชน จึงติดต่อเข้ามาขายนิตยสารตั้งแต่เดือนสิงหาคม
สำหรับขั้นตอนการจำหน่ายนิตยสารฉบับนี้นายหนุ่ม วรพล เล่าว่า ขั้นแรกบริษัทจะสัมภาษณ์ พิจารณาก่อนว่าผู้ที่ติดต่อเข้ามานั้นมีความตั้งใจและพยายามที่จะขายหรือไม่ ต่อมาจะอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับนิตยสารก่อนขายจริง มีเอี๊ยม ถุงผ้าแจกเป็นเครื่องแบบ และแจกหนังสือฟรี 30 เล่ม ให้ทดลองขายราคาเล่มละ 45 บาท และเงินที่ขายได้เป็นทุนให้เปล่าสำหรับซื้อหนังสือมาขายครั้งต่อไป ถ้าขายหมดจะมีทุน 1,350 บาท ถ้าต้องการขายต่อก็มาซื้อหนังสือกับบริษัทได้ในราคา 25 บาท โดยได้กำไรเล่มละ 20 บาท และไม่จำกัดโควต้าการขาย ใครขายได้มากก็รับหนังสือไปมากตามความขยันของแต่ละคน
“ผมจะขายหนังสือประจำอยู่บริเวณบีทีเอสสยาม ขายทุกวันตั้งแต่สี่โมงเย็นถึงทุ่มครึ่ง ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนวัยทำงานกับนักศึกษา วิธีขายเริ่มจากแนะนำเนื้อหาภายในหนังสือว่ามีอะไรบ้าง เป็นประโยชน์อย่างไร และรายได้ของหนังสือเล่มนี้จะช่วยใครได้บ้าง แล้วให้ลูกค้าตัดสินใจเอง ช่วงแรกขายยากหน่อยเพราะคนยังไม่ค่อยรู้จัก แต่ตอนนี้ขายง่ายขึ้นเพราะได้การประชาสัมพันธ์จากสื่อต่างๆ โดยผมจะขายได้อย่างน้อยประมาณ 100 เล่มต่อเดือน ตอนนี้ขายได้เกือบ 400 เล่มแล้ว ทำให้ตอนนี้ผมมีรายได้และสามารถเลี้ยงชีพได้บนความพอเพียง สามารถส่งเงินให้แม่ได้บ้างเดือนละ 500 บาทจากที่ไม่มีจะกินเลย
ผมคิดว่านิตยสาร BE ทำให้คนมีอาชีพ ถ้าไม่มีอาชีพก็อาจทำให้เราไปทำผิดกฎหมาย การทำธุรกิจเพื่อสังคมแบบนี้เป็นความคิดที่ดีมาก คนตกงานก็มีเยอะ เมื่อไม่มีอาชีพอะไรการขายนิตยสารก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง และการขายหนังสือนั้นไม่ยากหากรู้จักพัฒนาการขาย และอยู่ที่ความตั้งใจ ความขยัน ความอดทนของเราเป็นสำคัญ” หนึ่งในผู้ว่างงานที่เข้าร่วมโครงการขายนิตยสารบี กล่าว
ด้านลุงจรัส อดีตพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ประสบปัญหาการว่างงาน ได้เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ตนตกงานไม่มีงานทำที่จริงจัง อาศัยกินอยู่กับลูก ซึ่งเป็นภาระให้กับลูกพอสมควร จึงอยากหาอาชีพที่สร้างรายได้ทำ ประกอบกับพอทราบข่าวนิตยสาร BE จากรายการตลาดสดสนามเป้าว่า มีนิตยสารสร้างอาชีพให้คนด้อยโอกาส ให้คนตกงานสามารถมาร่วมขายหนังสือได้ โดยไม่ต้องมีเงินทุน จึงเข้าร่วมขายนิตยสารทันที
ลุงจรัส บอกว่า ได้เริ่มขาย ตั้งแต่เดือนตุลาคมจนถึงวันนี้ขายได้เกือบ 500 เล่ม ทำให้มีรายได้เกือบหมื่นบาทจากการขายหนังสือ จากเดิมที่ไม่มีรายได้ ทุกวันนี้สามารถเลี้ยงชีพและดูแลคนในครอบครัวได้ โดยปกติจะขายหนังสือยู่บริเวณบีทีเอสอโศก ขายทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 12.00-14.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาพักทำให้ง่ายต่อการขายคนทำงาน ข้าราชการ และลูกค้าที่ซื้อนิตยสาร BE ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยทำงาน นักศึกษา และมีแฟนที่อ่านประจำบ้าง
“วิธีการขายของลุงจะแนะนำเนื้อภายในหนังสือ ส่งหนังสือให้ลูกค้าอ่านดู แล้วตัดสินใจซื้อเอง ไม่บังคับ หรือใช้วิธีการขอร้องว่านี่เป็นการบริจาค เน้นขายที่เนื้อหาภายในมากกว่า เหมือนกับขายหนังสือทั่วไป ซึ่งขายไม่ยากเพราะลูกค้าชอบเนื้อหาที่เข้ากับชีวิต สามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตได้จริง ตอนแรกก็ไม่คิดว่าขายหนังสือจะเป็นอาชีพได้ แต่พอลองขายมาเรื่อยๆ มีความพยายาม ความตั้งใจ ความขยันและอดทนในการขาย ยิ่งขยันมากก็มีรายได้มาก จนทำให้เกิดเป็นอาชีพหลัก พึ่งพาตนเองได้” ลุงจรัส เล่าอย่างภาคภูมิใจ
อย่างไรก็ดีนิตยสารช่วยคนด้อยโอกาสฉบับนี้ ยังจัดสรรกำไรให้สังคมอีกทางหนึ่งด้วย นอกจากให้กำไรแก่ผู้ด้อยโอกาสที่นำไปขายแล้ว ยังมีการหักกำไรจากสมาชิกนิตยสารรายปีอีกส่วนหนึ่งสู่มูลนิธิต่างๆ อีก เช่น มูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิบ้านนกขมิ้น มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ฯลฯ โดยหักเงินการสมัครสมาชิกจำนวน 240 บาท จากค่าสมัครสมาชิก 630 บาท เข้าสมทบมูลนิธิตามแต่สมาชิกระบุความต้องการบริจาค
นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการสร้างรายได้ทั้งต่อผู้ด้อยโอกาสที่นำนิตยสารไปขายและต่อมูลนิธิต่างๆ อีกด้วย