- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- Social Enterprise อีกความหวังสร้างระบบเศรษฐกิจพอเพียงขั้นก้าวหน้า
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
Social Enterprise อีกความหวังสร้างระบบเศรษฐกิจพอเพียงขั้นก้าวหน้า
กิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) เป็นอีกวิวัฒนาการของความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility) เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ขณะที่ประเทศต่างๆ เกิดภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจโลก หลายบริษัทมีอันต้องปิดตัวลง มีผลกำไรลดลง แต่กิจการเพื่อสังคมยังสามารถเจริญเติบโตและคงสถานภาพได้ดีกว่า
จะเห็นว่า ในยุโรปโดยเฉพาะรัฐบาลอังกฤษได้ให้ความสนใจในการเข้าไปพัฒนากิจการเพื่อสังคมของประเทศตนเองจนเกิดกิจการลักษณะนี้กว่า 50,000 แห่ง และปรากฏผลว่า กิจการเพื่อสังคมสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศถึง 8,000 ล้านปอนด์ต่อปี และยังสร้างผลเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย
สำหรับประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมขึ้น โดยรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยการน้อมนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่เน้นความร่วมมือเอื้อเฟื้อต่อกันและกัน ไม่เบียดเบียนกันระหว่างกิจการต่าง ๆ ของทุกภาคส่วนในสังคม มาใช้เป็นฐานในการสร้างระบบ เศรษฐกิจใหม่อย่างเป็นรูปธรรม โดยเรียกกิจการดังกล่าวว่า “กิจการเพื่อสังคม”
และเมื่อเร็วๆ นี้ในการประชุม เวทีปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสุขภาวะคนไทย ครั้งที่ 33 ณ ห้องประชุม 1 ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ กรุงเทพมหานคร มีการพูดถึงแผนแม่บทการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม พ.ศ. 2553 – 2557 นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม ชี้ให้เห็นว่า หลายประเทศวางรากฐานสนับสนุนกิจการเพื่อสังคมอย่างเป็นระบบ
สำหรับประเทศไทยมีองค์กรเอกชนใหญ่ๆ ทำนโยบายเพื่อสังคมอยู่บ้าง หรือที่เรียกกันว่า Corporate Social Responsibility: CSR เพื่อร่วมแสดงรับผิดชอบต่อสังคม แต่สิ่งที่บริษัทนั้นๆ ทำ ยังเป็นเพียงแค่กิจกรรม เช่น การแบ่งผลกำไร มาปลูกป่า ลดภาวะโลกร้อน , การมอบทุนการศึกษาแก่เด็กยากจนในชนบท ซึ่งไม่ได้มีรูปแบบและเป้าหมายในการพัฒนาประเทศและสังคมโดยตรง อีกทั้งโครงสร้างหลักการทำงานขององค์กรยังทำเพื่อหวังกำไรเช่นเดิม
“กระแส CSR ที่บริษัทใหญ่ๆ กำลังทำอยู่ ในด้านต่างๆ คล้ายการสร้างภาพลักษณ์เพื่อให้องค์กรนั้นๆดูดีเสียมากกว่า เพราะการทำ CSR ราคาถูกกว่าการทำโฆษณา ให้ผลตอบรับที่ดี แต่กิจการเพื่อสังคม ไม่ใช่ CSR ข้อเท็จจริงต่างกันโดยสิ้นเชิง”
ลักษณะพิเศษแยกแยะอะไรคือกิจการเพื่อสังคม
สำหรับคำนิยาม “กิจการเพื่อสังคม” นายอภิรักษ์ อธิบายว่า คือกิจการที่มีรายรับจากการขาย การผลิตสินค้า และ/หรือการให้บริการ ที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อเป้าหมายอย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่ม หรือมีการกำหนดเพิ่มเติม หรือปรับเปลี่ยนเป้าหมาย ในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคม และ/หรือสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก โดยไม่ได้มีเป้าหมายในการสร้างกำไรสูงสุดต่อผู้ถือหุ้นและเจ้าของเท่านั้น
และหากจะแยกแยะอะไรคือกิจการเพื่อสังคม ให้ดูลักษณะพิเศษ ดังต่อไปนี้ กระบวนการผลิต การดำเนินกิจการ รวมถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการ ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อเนื่องในระยะยาวต่อสังคม สุขภาวะ และสิ่งแวดล้อม,มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี,มีศักยภาพที่จะมีความยั่งยืนทางการเงินได้ด้วยตนเอง, ผลกำไรส่วนใหญ่ถูกนำไปเพื่อการลงทุนกลับไปในการขยายผลเพื่อการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว หรือคืนผลประโยชน์ให้แก่สังคม หรือผู้ให้บริการ,สามารถมีรูปแบบองค์กรที่หลากหลาย และมีการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้
ประเด็นที่นายอภิรักษ์ ได้เน้นย้ำ คือ กิจการเพื่อสังคมสามารถทำได้โดยมีตั้งแต่รูปแบบที่ 1 จากหน่วยงานของรัฐที่ทำนโยบายสาธารณะ ทำกิจการสาธารณะ กลุ่มที่ 2 ธุรกิจที่เป็นส่วนตัว สร้างรายได้ สร้างกำไร แต่เพิ่ม หันมาทำธุรกิจเพื่อสังคม เป็นบริษัทในเครือข่าย และส่วนที่ 3 มีการตั้งหน่วยงานของรัฐบาลเพื่อช่วยหน่วยงานต่างๆที่อยากทำ แต่ไม่อยากทำในเชิงของมูลนิธิ ไม่อยากพึ่งเงินของใคร สามารถมากู้เงินจากรัฐไปทำกิจการ
หวังสร้างผู้ประกอบการทางสังคมรุ่นใหม่
นายอภิรักษ์ เชื่อว่า กิจการเพื่อสังคม จะเป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่ให้คนรุ่นใหม่ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม หากมีการเชื่อมโยงที่เป็นหน่วยใหญ่ขึ้น สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น จะช่วยให้คนเปลี่ยนความคิดจากการเรียนจบมหาวิทยาลัย แล้วมาเป็นลูกจ้าง ก็มาเป็นผู้ประกอบการ สอนให้สร้างอาชีพ ไม่ใช่สอนให้เขาไปหาทำงานแล้วต้องตกงาน ทั้งนี้ คนรุ่นใหม่สามารถนำไปต่อยอดกิจการรุ่นพ่อ รุ่นแม่ที่เขามี เช่น พ่อแม่ทำการเกษตร ก็กลับไปต่อยอด บริหารการจัดการให้ดีขึ้นได้
“ต่อไปกิจการเพื่อสังคม จะเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ ประเภทเบื่อการทำงานในระบบราชการ หรือองค์กรเอกชน กิจการเพื่อสังคม กลายเป็นทางเลือกมาทำธุรกิจเล็กๆ ซึ่งอาจมีความสนใจเรื่องต่างกัน เช่น เรื่อง พลังงานทดแทน ทำเรื่องก๊าซชีวภาพ ช่วยทำให้มีการแก้ไขสิ่งแวดล้อม สร้างรูปแบบการวางรากฐานกิจการอย่างเป็นระบบ และยังช่วยเรื่องการเข้าถึงแหล่งทรัพยากร แหล่งเงินทุน ตรงนี้ก็มีกลไกทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาในระดับสังคม แทนที่รัฐบาลจะเอาเงินมาแก้ปัญหายาเสพติด แก้ปัญหาเด็กไม่มีที่เรียน”
กิจการเพื่อสังคมอย่าทำเพียงเป็นกระแส
ด้าน นพ.วิชัย โชควิวัฒน รองประธานคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) คนที่ 2 และสมาชิกเครือข่ายสถาบันทางปัญญา มองว่า กิจการเพื่อสังคม หากจะทำจริงๆ ต้องยึดหลักการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อย่าทำเพียงเป็นกระแส หรือว่าทำเพื่อพอใจ แล้วจบไป แต่ต้องศึกษาให้ลึกซึ้ง ไม่เช่นนั้น จะกลายเป็นว่า ของอะไรดีๆ พอมาเมืองไทยแล้วก็เสียหมด
“อย่างที่ประเทศอังกฤษที่กิจการเพื่อสังคม ประสบความสำเร็จ เติบโตได้ รัฐไม่ได้เข้าไปส่งเสริมทั้งหมด แต่เกิดจากสำนึกของคนรุ่นใหม่ ว่า ถ้าไปทำธุรกิจที่ไม่มีคุณค่าไม่ใช่สิ่งที่ดี หรือไปเรียกร้องความสงสารเงินจากคนอื่นก็ไม่ได้ แต่ต้องทำสิ่งที่เป็นกุศล เป็นความดี ทำแบบธุรกิจ เป็นสินค้าที่ดี มีคุณค่า แล้วคนในสังคมอยากซื้อ คนไทยก็ต้องทำให้เกิดมาจากจิตสำนึกแบบนี้เช่นเดียวกันด้วย”
ไม่รอช้า เร่งนโยบายรัฐเข้าช่วย กดดันเอกชนร่วมมือ
แม้ว่ากิจการเพื่อสังคม จะเป็นกิจการที่ช่วยส่งเสริมเรื่องการแก้ปัญหาต่างๆในสังคมเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน แต่ปัญหาความไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง และการเปลี่ยนเป้าหมายการทำงานในองค์กรธุรกิจ ดูจะเป็นเรื่องที่ยาก ดร.ชิงชัย หาญเจนลักษณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าระหว่างประเทศ เห็นว่า ช่วงเวลานี้เป็นจังหวะที่ดี ช้าไม่ได้ ประเทศไทยต้องอยู่ต่อไป หากจะทำให้อยู่รอดได้ ต้องทำแนวธุรกิจทำเพื่อสังคมด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ CSR หรือกิจการให้สินเชื่อขนาดเล็กสำหรับคนยากจน (micro-credit) ที่มีอยู่แล้วทั่วไป
ดร.ชิงชัย เสนออีกว่า การทำกิจการเพื่อสังคมต้องสร้างแรงกดดัน โดยให้รัฐบาลไปดึงเอกชนเข้ามา ทุกคนต้องร่วมมือกัน ภาครัฐเป็นผู้ชี้แนะ สร้างแรงกดดันทางสังคม ดีกว่าไปเน้นให้เอกชนทำเพียงสื่อสารทางสังคมอย่างเดียว
เช่นเดียวกับ อาจารย์มิ่งสรรพ์ ขาวสะอาด ผู้อำนวยการสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ให้ข้อเสนอเกี่ยวกับการทำงานของกิจการเพื่อสังคมว่า ลำพังเอกชนทำกันเองไม่มีทางสำเร็จ คนที่จะทำได้ดี คือ รัฐบาล ที่ต้องปฏิรูปนโยบายให้มีความเท่าเทียมกัน เช่น การส่งเสริมการลงทุน ( BOI) การลดหย่อนภาษี นำวัตถุดิบ หรือเครื่องจักรเข้าฟรี แต่เรากลับพบว่า กิจการเหล่านั้นทำเพื่อสังคมเพียงเล็กน้อย ซึ่งต้องให้รัฐบาลปรับมอบนโยบายใหม่ เรื่องการให้สิทธิประโยชน์ตรงนี้
ตัวอย่างกิจการเพื่อสังคมที่น่าสนใจในประเทศไทย
- กิจการเพื่อสังคมที่จัดตั้งโดยภาคเอกชน
- ร้านเลมอนฟาร์ม ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท มงคลชัยพัฒนา จำกัด ร่วมกับบริษัท บางจากจำกัด (มหาชน)
-โรงเรียนปัญญาภิวัฒน์ เทคโนโลยี บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
- กิจการเพื่อสังคมที่จัดตั้งโดยองค์กรสาธารณะประโยชน์
- โครงการดอยตุง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง
- สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน ก่อตั้งโดยนายมีชัย วีระไวทยะ
-ThaiCraft ไม่มีผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเอง ไม่ได้เป็นผู้ผลิต รายได้มาจากการให้บริการจัดหาตลาดให้ผู้ลิตแสดงสินค้าหัตถกรรม ให้บริการเรื่องการตลาด ออกแบบผลิตภัณธ์ และการผลิตให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ผู้ก่อตั้ง The ThaiCraft Association
-โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ จ.ปราจีนบุรี
- โรงเรียนรุ่งอรุณ โรงเรียนเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร เน้นการศึกษาแนวใหม่ที่นักเรียนสามารถเรียนรู้อย่างเป็นองค์รวม ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคมและจิตใจ ผู้ก่อตั้งรศ.ประภาภัทร นิยม
- กิจการเพื่อสังคมที่จัดตั้งโดยเครือข่ายและองค์กรชุมชน
-กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ ครูชบ ยอดแก้ว โดยกองทุนนี้เกิดจากการออมเงินของสมาชิกด้วยการลดรายจ่ายประจำวัน วันละ 1 บาท ให้มารวมกันจากในชุมชน เป็นตำบล จากตำบลเป็นจังหวัด จนเกิดเครือข่ายที่มั่นคง มุ่งเน้นการจัดสวัสดิการภาคประชาชน
-ธนาคารต้นไม้จังหวัดชุมพร สร้างกระบวนการออมโดยใช้ต้นไม้เป็นทรัพย์ แก้ปัญหาหนี้สิน แก้ปัญหาใช้ประโยชน์จากที่ดิน
-ชุมพร คาบาน่า รีสอร์ต และศูนย์กีฬาดำน้ำ ศูนย์เรียนรู้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง จัดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ระหว่างสมาชิกในชุมชน ให้เกิดการช่วยเหลือเกื้อกูลทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม
- กิจการเพื่อสังคมที่จัดตั้งโดยผู้ประกอบการใหม่
- บริษัทวงษ์พาณิชย์ ศูนย์รับขยะรีไซเคิล เพื่อรีไซเคิลแบบครบวงจร และสร้างอาชีพให้แรงงานยากจนในท้องถิ่น ผู้ก่อตั้ง นายสมไทย วงษ์เจริญ
-แปลนทอยส์ ออกแบบของเล่นเด็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก
- นิตยสาร บี แมกกาซีน ที่รับคนที่ไร้บ้านในกรุงเทพมหานคร มาทำ ให้หนังสือ เพื่อสร้างอาชีพ