- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- บริหารวิกฤติด้วยปัญญา: ถอดบทเรียน 3 วัน 3 คืน อุทกภัยเทศบาลตำบลปริก
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
บริหารวิกฤติด้วยปัญญา: ถอดบทเรียน 3 วัน 3 คืน อุทกภัยเทศบาลตำบลปริก
“จากน้ำท่วมที่ปริกไม่มีคนตาย ถ้ามีคนตายวันรุ่งขึ้นผมลาออกทันที เพราะถือว่า ช่วยชาวบ้านไม่ได้ ก็ไม่ควรอยู่”
“ไม่เคยเจอมาก่อน หนักจริงๆ ตั้งแต่เกิดมา สิ่งที่เราเห็นข้างหน้า เป็นสิ่งที่น่ากลัวนะ พอน้ำเริ่มปริ่ม ไล่มาเรื่อยๆ เรื่อยๆ วันที่ 30 ตุลาคม ก็ยังไม่เท่าไหร่ พอวันที่ 31 ตุลาคม เห็นชัดขึ้น ขณะที่หาดใหญ่ยังไม่เห็นอะไร ยังเป็นเมืองปกติอยู่”
อุทกภัยที่ถือเป็นพิบัติภัยครั้งใหญ่สุดในชีวิตของ “สุริยา ยีขุน” นายกเทศมนตรีตำบลปริก อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ถ่ายทอดออกมาเป็นคำบอกเล่าจากที่ได้ประสบพบเจอมากับตัว ให้นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ทำงานในนาม “สถาบันเครือข่ายทางปัญญา” ฟังระหว่างเข้าร่วมประชุมในเวทีปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสุขภาวะของคนไทย ครั้งที่ 43 ณ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพ ฯ โดยมีนพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ในฐานะประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป เป็นประธานการประชุม
ความจริงเขาได้ตระเตรียมการเอาไว้ว่า 1- 3 พฤศจิกายน 2553 จะจัดงานวันรวมพลคนเครือข่ายสุขภาวะ ระดมผู้คนที่เคยไปเรียนรู้ร่วมกันที่ปริก จาก 20 ตำบล ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล แต่พอวันที่ 30 ตุลาคม สถานการณ์มีทีท่าจะไม่ดีแล้ว ทั้งฝนที่ตั้งเค้า ท้องฟ้ามืดครึ้มไปทั่วทั้งจังหวัดสงขลา
“ผมอยู่หาดใหญ่มองไปทางทิศใต้ ก็ใช่ มองไปทางทิศเหนือของหาดใหญ่ ก็ใช่ มองไปที่ปริกเองก็มืดทะมึนหมดเลย ผมมีความรู้สึกว่า เอ๊ะ ชักจะไม่ค่อยดีแล้ว เลยมาคุยเรื่องยกเลิกการจัดงาน” นายกเทศมนตรีตำบลปริก เล่าย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น
ความสับสน ความอลหม่าน ทั่วทั้งอำเภอสะเดา เกิดขึ้นทันทีเมื่อได้รับแจ้งว่า น้ำทะลักเข้ามาแล้ว เขาได้ยกหูโทรศัพท์ประสานขอความช่วยเหลือก่อนหน้าเกิดภัยน้ำท่วมไปแล้ว ทั้งที่อำเภอ จังหวัด แต่คำร้องขอกลับไปติดระเบียบขั้นตอนของทางราชการ
แต่เสียงปลายสายหลายคนเหมือนยังไม่รู้ว่า พื้นที่รอบๆ นอกนั้น เกิดอะไรขึ้น น้ำท่วมหนักขนาดไหน จึงบอกให้เขาต้องทำตามขั้นตอน ทั้งการแจ้งไปยังอำเภอ แล้วให้อำเภอแจ้งไปยังจังหวัด คำพูดเหล่านี้นี่เองที่ทำให้นายกเทศมนตรีตำบลปริก เล่าเรื่องราวอย่างน้อยอกน้อยใจว่า
“แต่พอวันรุ่งขึ้น เมื่อน้ำท่วมหนักแล้วทุกอย่างกลับไม่มีขั้นตอน ก่อนหน้าวันเดียวไปขอความช่วยเหลือกองทัพเรือ ก็ได้รับคำตอบว่า ต้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอนุมัติ โทรไปที่ผู้ว่าฯ ก็ได้คำตอบ ต้องให้นายอำเภอแจ้งมาก่อน คนกำลังจะตาย ผมก็เลยบอกว่า จังหวัดก็รักษาขั้นตอนไปแล้วกัน ผมช่วยกันเองดีกว่า
คืนนั้นคนที่ปริกสับสนมาก น้ำมันมาแรง และเร็ว สูงถึงหลังคาบ้าน โดยเฉพาะบ้านชั้นเดียวน่าสงสาร ต้องหนีออกมา เราอพยพชาวบ้านกว่า 400 ครัวครัวเรือน อพยพอย่างทุลักทุเล ไม่มีเครื่องมือ เพราะเทศบาลก็ไม่เคยคิดว่าจะท่วมอย่างนี้ เรือก็ไม่มีสักลำ”
ทุกๆ สิ่งโหมประดังแบบไม่ทันตั้งตัว และในฐานะผู้นำท้องถิ่นต้องทำงานท่ามกลางความสับสนอลหม่าน จะไปขอความช่วยเหลือใครก็ไม่ได้ เขาจึงต้องจัดแจงชักชวนชาวบ้านที่เป็นแกนนำมาตั้งฐานต่อสู้ด้วยตัวเอง
พอเล่ามาถึงตรงนี้ นายกเทศมนตรีตำบลปริก เสียงเริ่มสั่นเครือ พูดไม่ออก เมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นที่จะก้าวแต่ละก้าวยังยากลำบาก “เพียงแค่....ลำพัง เดินคนเดียวธรรมดายังเดินไม่ได้ และไหนจะต้องช่วยคน บางคนร้องไห้...ทำให้ผมต้องโทรไปรบกวน คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ เพื่อจะบอกว่า เราต้องการเรือ ไม่มีใครให้เรือเราเลย”
นายกเทศมนตรีตำบลปริก พยายามเปิดให้ดูสภาพพื้นที่ จากภาพถ่ายที่ใส่ไว้ในเฟชบุค ที่ไม่ต่างอะไรกับท้องทะเล ก่อนจะยอมรับว่า ตัวเขาเองก็ประมาทที่คิดว่า น้ำจะขึ้นทีละช้าๆ ทำให้ไม่ได้ขนข้าวของภายในบ้านขึ้นมาไว้บนที่สูง
“น้ำไม่ได้ท่วมเหมือนสมัยก่อน ที่มาทีละนิดๆ แต่นี่ฟึ้บ ฟึ้บ ขึ้นมาเลย น้ำขึ้นมาที 3-4 นิ้ว”
กระทั่งเขาออกไปช่วยชาวบ้าน แต่เมื่อกลับเข้ามาบ้านตัวเอง ปรากฏว่า เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องเสียง จมอยู่ในน้ำหมด ห้องครัวระดับน้ำสูงถึงหน้าอก ขณะที่หน้าบ้านติดกับถนนกาญจนวานิส คนแถวนั้นจะรู้ว่า ถนนเส้นนี้สูงกว่าชุมชนถึง 3 เมตร น้ำก็ท่วมหมดเช่นกัน
บทเรียนที่ นายกเทศมนตรีท่านนี้ ผู้ที่เพิ่งได้รับรางวัลพระปกเกล้าทองคำประจำปี 2553 ประเภทที่ 1 ด้านความโปร่งใสและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน มาหมาดๆ เหมือนจะย้ำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับรู้แล้วว่า เรื่องของภัยพิบัติเป็นจุดหนึ่งที่ต้องมีการทบทวน ขอให้มีอะไรที่ไม่เป็นทางการได้หรือไม่ ประเภทสายตรงมาเร็ว โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เห็นชัดว่า ประสานกันเองได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า มีการช่วยเหลือกันเอง ช่วยแบบไม่เป็นทางการ แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ดังนั้นเราต้องหันกลับไปสร้างความเข้มแข็งให้กับท้องถิ่น เพื่อให้เป็นมือไม้ เป็นกลไกในระดับพื้นที่
ทั้งนี้ เขาเชื่อว่า หากเป็นอำเภอแบบสมัยก่อน ช่วยเหลือชาวบ้านเรื่องภัยพิบัติไม่ได้รวดเร็วอย่างปัจจุบันแน่นอน เรื่องภัยพิบัติจะต้องมีการเตรียมพร้อมให้ดี ทั้งในระดับพื้นที่ ระดับสนับสนุนเครื่องมือ และเครื่องมือการสื่อสาร ที่สำคัญต้องไม่ลืมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในระดับเทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)อย่างน้อยก็มีงบประมาณขั้นต้นในการจัดการได้อย่างเร่งด่วน
สุดท้ายประเด็นที่เจอเรื่องที่มากับน้ำ แม้ฝนจะตกนานเป็นสัปดาห์ แต่วันที่มีน้ำเจิ่งนอง นายกเทศมนตรีตำบลปริก เล่าต่ออีกว่า เรากลับพบชาวบ้านไม่มีน้ำอาบชำระล้างร่างกาย ซึ่งน่าคิดต่อว่า การที่ท้องถิ่นไม่ได้เตรียมสถานที่รองรับน้ำ สำหรับน้ำกินน้ำอาบ พอไฟฟ้าดับ ประปาเดี้ยง คิดว่าเปิดก๊อกแล้วจะได้น้ำ นั้น มีคำตอบแล้วว่า ยามวิกฤติเปิดก๊อกแล้วเราไม่ได้น้ำ
หลังจากน้ำท่วม เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน น้ำก็ได้ลดลงและแห้งคืนสู่สภาวะปกติ ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ตอนสาย แต่สิ่งที่เหลือไว้คือความสูญเสียที่มีระดับแตกต่างกันไป
นี่เป็นแค่ตัวอย่างพื้นที่เล็กๆ อย่างตำบลปริก ก็พบว่า มีความเสียหายจากน้ำท่วมกว่า 33 ล้านบาท...
ถอดประสบการณ์จากสึนามิ ถึงน้ำท่วม เรียนรู้ช่วยผู้ประสบภัย
นายโกเมศร์ ทองบุญชู ผู้ใหญ่บ้าน อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ผู้ประสานงานเครือข่ายแผนแม่บทชุมชนภาคใต้
“กระบวนการทำงานของเครือข่ายแผนชีวิตชุมชนภาคใต้ จะมีกระบวนการทำงาน 3 ขั้นตอน คือ ก่อนเกิดภัยพิบัติ ที่ต้องจัดทำแผนงานข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัย ฝึกอบรมอาสาสมัคร เตรียมอุปกรณ์-เครื่องมือ กองทุนและเตรียมถุงยังชีพ ขั้นต่อมาในช่วงเกิดเหตุการณ์ ต้องประสานพื้นที่ ข้อมูลที่เกิดเหตุ และประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเคลื่อนย้ายเครื่องมือ-อุปกรณ์ รวมทั้งลงปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ส่วนในขั้นหลังเกิดภัยพิบัติ ก็เป็นช่วงสำคัญที่ต้องวางแผนฟื้นฟูชุมชน ฟื้นฟูอาชีพ แหล่งน้ำ แหล่งอาหาร และเตรียมอาสาสมัครในการดูแลผู้ประสบภัย
แต่ที่ผ่านมาจะพบว่า มีการทำแค่ช่วงเกิดเหตุ ลงไปช่วย และตามด้วยการไปฟื้นฟู แต่ก่อนเกิดเหตุหรือก่อนเกิดภัยพิบัติ ไม่มีเลย
บทเรียนสำคัญที่สุดที่หาดใหญ่ นครราชสีมา พบว่า เรือถูกส่งไปจากหลายหน่วยงานมาก ถูกนำไปไว้ที่สนามบิน เพราะคนขับเรือไม่มี เรือเหล่านี้จึงไม่ได้นำใช้ประโยชน์ หรือมีการส่งเครื่องมือไปก็ใช้การไม่ได้ เช่น กองทัพเรือส่งเรือที่ราคาแพงมาก แต่ใช้ระบบดูด ใช้เครื่องยนต์แบบเจ็ตสกี ก็ช่วยเหลือชาวบ้านไม่ได้ เพราะหาดใหญ่ถุงพลาสติกเยอะ เครื่องยนต์ก็เลยแตกหมด เรือตำรวจน้ำแตก ในที่สุดสู้เรือหางยาวของชาวบ้านไม่ได้
การเรียนรู้เรื่องนี้จึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะการฝึกอบรมอาสาสมัคร อย่างกรณีที่หาดใหญ่ทุกคนอยากออกจากบ้าน แต่ภารกิจของอาสาสมัคร คือ การขนอาหารไปให้ เมื่อชาวบ้านต้องการออกจากบ้าน ทั้งๆ ที่เรือบรรทุกได้ไม่กี่คน รวมทั้งเขาไม่รู้ว่า กระแสน้ำเชี่ยวและอันตรายขนาดไหน ดังนั้นเป็นหน้าที่ของอาสาสมัครที่ของต้องรู้หลัก ว่า สามารถช่วยผู้ป่วยกับเด็กเท่านั้น ที่เหลือส่งอาหารและบอกให้อยู่ที่บนอาคารไปก่อน
สำหรับเรื่องกองทุนและถุงยังชีพก็สำคัญ แต่ก็พบว่า บางพื้นที่ไม่ได้ต้องการปลากระป๋อง เช่น ที่นครราชสีมา ชาวบ้านต้องการอวนดักปลา น้ำท่วมปลาชุกชุม เขาออกมาซื้ออวนไม่ได้ ซึ่งชาวบ้านไม่ได้อยากกินปลากระป๋องหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่เราก็เอาไปให้ เป็นต้น อีกทั้งช่วงเกิดภัยน้ำท่วม พวกเรา ยังพบว่่า การประสานในพื้นที่มีจำกัด อาสาสมัครจากพื้นที่อื่นเมื่อลงไปช่วยเหลือ แทบไม่มีข้อมูล เช่น ไม่รู้ว่าท้องทุ่งนานั้น เป็นแม่น้ำมูลอยู่ด้วย ทำให้การทำงานของอาสาสมัครมีชีวติอยู่บนความเสี่ยง เกือบเอาชีวิตไม่รอด
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุน้ำท่วมแล้ว พวกเรามองว่า งานฟื้นฟูสำคัญที่สุด วันนี้หลายคนหลายจังหวัด บอกว่า หมดภารกิจไปแล้ว น้ำท่วมจบแล้ว แต่จริงๆเรื่องการฟื้นฟูเพิ่งจะเริ่มต้น เรือพลาสติกยังคงมีความต้องการในพื้นที่รอบลุ่มน้ำทะเลสงขลา และลุ่มน้ำปากพนัง โดยเฉพาะกระบวนการช่วยเหลือที่จังหวัดปัตตานี ที่ยังไม่มีใครพูดถึง คือ เรื่องดินสไลด์ ที่บูโด มีเกือบทุกจุดไม่มีใครนำเสนอเรื่องนี้
สุดท้ายสิ่งสำคัญ คือ ทำอย่างไรให้คนในพื้นที่จัดการตัวเอง การทำงานเป็นเครือข่ายสำคัญ ต้องคิดว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภัยพิบัติ จะไปเติมอย่างไรให้เครือข่ายเหล่านี้ขับเคลื่อนได้ ส่วนเครื่องไม้เครื่องมือ แต่ละพื้นที่เกิดพิบัติภัย ก็พบว่า ใช้ไม่เหมือนกัน ดังนั้นขอให้ดึงเอาภูมิปัญญาชาวบ้านมาใช้ เพราะต้นทุนน้อย สามารถใช้ได้ และสะดวกในการจัดหา"
ขอบคุณภาพประกอบจาก:http://www.facebook.com/search.php?q=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81&init=quick&tas=search_preload#!/profile.php?id=100001790175881