- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ถอดบทเรียนยุทธศาสตร์สร้าง “ครู” ชั้นเยี่ยม
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
ถอดบทเรียนยุทธศาสตร์สร้าง “ครู” ชั้นเยี่ยม
แผนด้านการศึกษาฉบับล่าสุดของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ประกาศเมื่อเร็วๆนี้ว่า จะทุ่มเงินกว่า 250 ล้านดอลลาร์หสหรัฐฯ หรือ 8,285 ล้านบาท เพื่อเร่งฝึกอบรมครูคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ทั่วประเทศ10,000 คน ในระยะเวลา 5 ปี และปรับปรุงเพิ่มทักษะของครูอีก 100,000 คน โดยอ้างผลการศึกษาชิ้นหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ชี้ว่า เด็กอเมริกันอายุ 15 ปี มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์อันดับ 21 ของโลก ขณะที่ด้านคณิตศาสตร์อยู่ในอันดับที่ 25 เมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกันของประเทศอื่น
ผู้นำสหรัฐฯเชื่อว่า นี่คือสัญญาณเตือนประเทศที่มีความก้าวหน้าทางการศึกษากำลังจะแซงหน้าสหรัฐฯไปแล้ว
สำหรับประเทศไทยนับจากที่มีการประกาศใช้พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 -ปัจจุบัน 10 ปี ของการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ มีการประเมินผลพบว่า แม้หลายเรื่องจะประสบความสำเร็จ แต่ก็มีหลายเรื่องที่เป็นปัญหาต้องเร่งพัฒนา ปรับปรุง โดยเฉพาะเราอยากเห็นระดับความเป็นวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษาของไทยสูงขึ้น ดังนั้นหนึ่งกรอบแนวทางการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ.2552-2561) จึงมีเรื่องการผลิตและพัฒนาครู คณาจารย์ อาจารย์ให้มีความรู้ความสามารถ และมีปริมาณพียงพอ
ประเทศต่างๆเลือกปฏิรูปการศึกษากันอย่างไร
มาดูกลยุทธ์ที่ประเทศต่างๆ ใช้ในการพัฒนาการศึกษา ในการสร้างครูชั้นเยี่ยมเพื่อมาสอนคนชั้นเยี่ยม ให้เป็นครูชั้นเยี่ยมนั้น ดร.ดิเรก พรสีมา ประธานกรรมการครุสภา ให้ข้อมูลว่า จากรายงานของ McKinsey &company ได้ทำการศึกษาประเทศอุตสาหกรรมที่เป็นสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ( OECD : Organisation for Economic Co-operation and Development) เพื่อดูว่า มีวิธีการปฏิรูปการศึกษาในประเทศของตัวเองอย่างไร
McKinsey & company สรุปไว้ในรายงานเมื่อปี 2007 ประเทศที่ประสบความสำเร็จสูงสุดทางการศึกษา คือ ประเทศที่ทุ่มเทไปในเรื่องการผลิตครู การพัฒนาครู ไม่ว่าสิงคโปร์ เกาหลีใต้ ฟินแลนด์ ขณะที่ประเทศที่ทำเรื่องกระจายอำนาจ หรือเน้นทุกเรื่อง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนกลับติดลบ และต่ำกว่าประเทศที่เน้นเรื่องครู
“สหรัฐฯ ทำเรื่องการกระจายอำนาจ มาตั้งแต่ปีค.ศ. 1988 ทำมา 20-30 ปี คุณภาพการศึกษาของคนอเมริกันลดลง รวมทั้งเบลเยี่ยม อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส และ นิวซีแลนด์ ซึ่งถือเป็นเป็นประเทศที่บริหารแบบกระจายอำนาจประสบความสำเร็จสูงสุดของโลก บริหารแบบยึดโรงเรียนเป็นฐาน SBM (School-based Management) แต่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในปีค.ศ. 1970-1994 กลับติดลบถึง 10%”ดร.ดิเรก ระบุ
คัดเฉพาะคนระดับท็อปเท่านั้นมาเรียนครู
“ประเทศที่ให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาวิชาชีพครูจะคัดเลือกคนดีคนเก่งมาเรียนครู เห็นชัด ฟินแลนด์รับนักเรียนกลุ่ม 10% สูงมาเรียนครู สิงคโปร์ รับนักเรียนกลุ่ม 30% สูงมาเรียนครู ต่ำกว่านั้นไม่มีสิทธิสมัคร ขณะที่เกาหลีใต้จะคัดจากนักเรียนกลุ่ม 10% สูงมาเรียนครู แต่เมื่อคัดไปถึงที่สุดคนที่จะได้เข้าเรียนเป็นนักเรียนครูล้วนแต่เป็นคนที่อยู่ในกลุ่มนักเรียนเยี่ยม 5%แรกเท่านั้น ยังจำกัดจำนวนนักเรียนครูที่รับเข้าเรียนใหม่แต่ละปีให้สอดคล้องกับความต้องการของครูในอนาคต ทำให้ทุกคนจบมาแล้วมีงานทำ”
ประธานกรรมการครุสภา ถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟังอีกว่า โครงการทุนนักเรียนครูของประเทศต่างๆ นั้น ที่สิงคโปร์จะให้ทุนกับนักเรียนครูทุกคน พอเข้าปี1 ให้เป็นเงินเดือน ส่วนเกาหลีใต้ประมาณ 70% นักเรียนครูได้ทุนจากรัฐบาล อีก 30% ได้ทุนจากบริษัท ห้างร้าน
“เรื่องการพัฒนาครู หลายประเทศมีระบบและมาตรการพัฒนาที่ดี เช่น การผลิตโค้ช ในรูปของ Expert Teacher หรือ Master Teacher เพื่อช่วยให้ครูทุกคนเป็นครูวิชาชีพ เกาหลีใต้ ฟิลแลนด์ทำแล้ว ประเทศที่เพิ่งทำคืออังกฤษ สหรัฐอเมริกาบางเคาน์ตี นอกจากนั้นยังจัดเวลาให้ครูได้เรียนจากเพื่อนครู โรงเรียนในมาเลเซีย ญี่ปุ่น ทุกโรงเรียนต้องจัดให้มีการพัฒนาครูในโรงเรียน (In-house training) สัปดาห์ละ 3 ชม. ที่มณฑลเซี่ยงไฮ้ของจีนบังคับให้ครูแต่ละคนต้องไปสังเกตการสอนของ master teacher หรือ expert teacher ภาคเรียนละ8 ชม.เป็นอย่างน้อย เพื่อที่จะได้ดูว่าครูที่เขาสอนกันเก่งๆ เขาสอนกันอย่างไร ส่วนครูฟินแลนด์ที่สอนวิชาเดียวกัน ต้องวิเคราะห์หลักสูตร ทำแผนการสอนร่วมกัน และวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดจากการสอนร่วมกันทุก 2 สัปดาห์”
ทำขั้นเงินเดือนให้มีน้อยขั้น จูงใจคนดี-เก่งมาเรียน
ดร.ดิเรก กล่าวถึงยุทธศาสตร์ในการชักชวนคนดีคนเก่งมาเรียนครู ว่า การเพิ่มเงินเดือนครูให้สูง เป็นอีกวิธีหนึ่ง รวมทั้งการทำจำนวนขั้นเงินเดือนให้มีน้อยขั้น ทำขั้นเงินเดือนเงินที่จะขึ้นแต่ละปีให้ใหญ่ขึ้น พร้อมยกตัวอย่างที่ฟินแลนด์ลดขั้นเงินเดือนเริ่มต้นและเงินเดือนขั้นสูงสุดของครูให้เหลือ 18 ขั้น ในปี 2001 จากที่เคยมี 26 ขั้น และกำลังจะลดลงให้เหลือ 15 ขั้น ส่วนแคนาดาบรรจุปีนี้ถ้าได้ปีละหนึ่งขั้น จะเต็มขั้นภายใน11ปี แต่ถ้าได้สองขั้นก็จะเต็มขั้นก่อน11 ปี เป็นต้น
ในเรื่องผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนก็เช่นกัน ประธานกรรมการครุสภา ชี้ว่า สามารถพยากรณ์คุณภาพการศึกษาของประเทศนั้นๆ ได้ จากการทดสอบวัดผลคะแนนสอบ Pisa (Programme for International Student Assessment ) ของนักเรียนที่มีอายุ 15 ปี ในปี 2000 เกาหลีใต้ ฟินแลนด์เน้นเรื่องครู ผลการสอบในปีนั้น เกาหลีใต้ได้ที่ 1 ของโลก ตามด้วยฟินแลนด์ และนิวซีแลนด์ ซึ่งบริหารแบบกระจายอำนาจ ต่อมาปี 2003 ฟินแลนด์ขึ้นอันดับ 1 ของโลกในการทำคะแนนสอบ Pisa ตามด้วยญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ และปี 2006 ฟินแลนด์ก็ยังรั้งอันดับ 1 อยู่ ตามด้วยแคนาดา และนิวซีแลนด์ ส่วนเกาหลีใต้หล่นไปอยู่ที่อันดับ 6
บทเรียนจากบอสตันถึงไทย
บทเรียนหลังจากที่ฟินแลนด์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จอย่างสูง ดร.ดิเรก บอกว่า สหรัฐฯ เห็นตัวอย่างและมั่นใจแล้วว่า ครูเป็นผู้ที่จะมาชี้นำความสำเร็จ จึงได้นำเรื่องครูไปทำในหลายเคาน์ตี บอสตัน ชิคาโก นิวยอร์ก สามเมืองนี้ให้ทุนกับนักเรียนครู คัดเลือกนักศึกษาตั้งแต่อยู่ปี 1 พอเด็กปี 4 จบก็บรรจุ ปรากฎว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“กรณีของบอสตัน หลังจากที่เขาบรรจุนักเรียนทุนเข้าไปเป็นครูสอนได้ 6 ปี นักเรียนที่จบม.6 ของบอสตันที่สอบข้อสอบวัดความรู้ของคนที่จบม.6 แล้วอยากเข้ามหาวิทยาลัย (Medical College Admission Test standard: MCAT) สอบผ่านมาตรฐานของ MCAT ในวิชาคณิตศาตร์เพิ่มจาก 25% เป็น 74% ในวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มจาก 43% เป็น 77%”
สำหรับประเทศไทย ก่อนปฏิรูปการศึกษารอบแรก คุณภาพการศึกษาของเยาวชนไทย เป็นอย่างไร ดร.ดิเรก โชว์ตัวเลข เมื่อปี 2546 คะแนน GAT ของเด็กม.6 เฉลี่ยทั่วประเทศวิชาภาษาไทยอยู่ที่ 44.49 % คณิตศาสตร์ 33.98% สังคม 41.85% วิทยาศาสตร์ 48.82% เคมี 38.64% ชีววิทยา 36.76% ฟิสิกส์ 32.58% ภาษาอังกฤษ 39.14% ต่ำสุดคือฟิสิกส์ 32.58% และคณิตศาสตร์ 33.98%
“หลังจากปฏิรูปมาได้ 5 ปี ผล O-NET เมื่อปี 2551 วิชาภาษาอังกฤษหล่นไปอยู่ที่ 28% คณิตศาสตร์ 30 % วิทยาศาสตร์ 31.25% สังคมศึกษา 36.25% วันนี้ไม่มีใครเถียง การปฏิรูปการศึกษาของไทยที่ทุ่มเทไปในเรื่องโครงสร้าง จัดคนเข้าที่แต่ก็ยังไม่เข้าที่ จัดคนเข้าที่เข้าแท่นแต่ก็ยังไม่เข้าที่เข้าแท่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลับลดลง ไม่ว่าจะเป็นผลคะแนน Pisa, O-NET หรือ A-NET”
ประธานกรรมการครุสภา มั่นใจว่า วันนี้คงไม่มีคำตอบใดจะทำให้การปฏิรูปการศึกษารอบสองประสบความสำเร็จ ได้เท่ากับการปฏิรูปครู ซึ่งพิสูจน์มาแล้วจากประเทศที่ประสบความสำเร็จ อย่าง เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฟินแลนด์ ทุ่มเทพัฒนา “ครู” วัดได้จากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อีกทั้งประชากรของ 3 ประเทศนี้มีผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไปจดทะเบียนสิทธิบัตรในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก เพิ่มมากขึ้น
สุดท้าย ดร.ดิเรก เปรียบเทียบให้เห็นว่า การปฏิรูปการศึกษาที่เน้นแต่โครงสร้างและกระบวนการเรียนการสอน มีสภาพไม่แตกต่างจากใต้ฝุ่น รัฐบาลเก่าออกไป รัฐบาลใหม่เข้ามา เปลี่ยนรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านการศึกษา เริ่มนโยบายใหม่ โครงการใหม่ แต่สภาพการเรียนการสอนในห้องเรียนยังคงเดิม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนจึงเหมือนเดิม เพราะเราไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนการสอนในห้องเรียนของ”ครู”