- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- รื้อโครงสร้าง ศธ. เสียงที่ 'ชินวรณ์' ควรรับฟัง
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
รื้อโครงสร้าง ศธ. เสียงที่ 'ชินวรณ์' ควรรับฟัง
หลังจาก “การปฎิรูปการศึกษาในทศวรรษแรก” ต้อง “ล้มเหลว” ลงอย่างไม่เป็นท่า โดยถูกมองว่าการปฏิรูปการศึกษาในช่วงที่ผ่านมา มุ่งเน้นที่โครงสร้างของหน่วยงานเป็นหลัก ไม่ได้มุ่งที่คุณภาพ หรือที่ตัวนักเรียนอย่างแท้จริง
เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เข้ามาเป็นผู้นำในการบริหารประเทศ จึงได้ประกาศเดินหน้า “การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง” ทันทีที่เข้ามาเป็นผู้นำในการบริหารประเทศ ซึ่งช่วงนั้น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หรือ ศธ.
แต่การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองในยุคของนายจุรินทร์เป็นไปอย่างเงียบเชียบ และไม่มีสิ่งใดที่เห็นเป็นรูปธรรมนัก กระทั่งนายจุรินทร์ถูกโยกไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หลังอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เกือบ 1 ปีเต็ม
ล่าสุด นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ หลังรับตำแหน่งแล้วได้ประกาศที่จะเดินหน้าการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองโดยทันที โดยมีนโยบายที่เตรียมขับเคลื่อน ประกอบด้วย 8 โครงการหลัก ได้แก่
1.โครงการจัดสมัชชาปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง ในเดือนกุมภาพันธ์ และเดือนมีนาคม
2.โครงการเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ
3.โครงการจัดตั้งโรงเรียนดีประจำตำบล
4.โครงการพัฒนาการศึกษา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย จัดการศึกษาเป็นกรณีพิเศษ ทั้งสายสามัญ และศาสนาควบคู่กันไป รวมทั้ง ส่งเสริมการจัดการศึกษาของสถานศึกษาปอเนาะให้มเข้มแข็ง เพื่อสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในพื้นที่
5.โครงการส่งเสริมแหล่งเรียนรู้ราคาถูก โดยจัดตั้ง กศน.ตำบล ให้ครบในปี 2553 เพื่อเป็นแหล่งพัฒนาความเข้าใจ และความปรองดองให้เกิดขึ้นในชาติ
6.โครงการจัดตั้งทีชเชอร์ชาแนล และสานต่อโครงการติวเตอร์ชาแนล
7.โครงการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ครู โดยเร่งผลักดัน พ.ร.บ.เงินเดือนเงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้ครูสามารถปรับโครงสร้างเงินเดือนใหม่เช่นเดียวกับข้าราชการอื่น ที่ปรับไปก่อนหน้านี้ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) พิจารณาเรื่องเงินวิทยพัฒน์ และกองทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตครู เพื่อพัฒนาครูอย่างเป็นรูปธรรม และ
8.โครงการสนับสนุนองค์ความรู้ด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
หลังจากนายชินวรณ์ได้ประกาศนโยบายดังกล่าวแล้ว ดูเหมือนจะมีเสียงเรียกร้องให้นายชินวรณ์หันมาปฏิรูป “โครงสร้างกระทรวงศึกษิการ” ใหม่อีกครั้ง เพราะมองว่าโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน “มีปัญหา” และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษแรกไปไม่ถึงไหน
เริ่มจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ.ได้เสนอให้ทบทวนโครงสร้างกระทรวงใหม่ให้เหมาะสมกับการทำงาน และภารกิจ ซึ่งสอดคล้องกับการประชุมผู้บริหาร 5 องค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ ที่เห็นพร้องกันว่าต้องปรับปรุงโครงสร้างที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2546 เพื่อให้เกิดความเหมาะสม โดยกฎหมายได้เปิดช่องให้ผลักดันเป็น “ทบวง” ได้ คือ สำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็น “ทบวงการศึกษาขั้นพื้นฐาน” สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เป็น “ทบวงอาชีวศึกษา” และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เป็น “ทบวงอุดมศึกษา” ส่วนสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ยังคงเป็น “สำนักงาน” เหมือนเดิม
โดยยังคงมี “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ” และ “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ” เช่นเดิม
ซึ่งแนวคิดในเรื่องของการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการใหม่นั้น มีทั้งผู้ที่ “สนับสนุน” และ “คัดค้าน”
โดยผู้ที่สนับสนุนให้ปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการใหม่ เพราะมองว่าโครงสร้างที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีปัญหาหลาย ๆ อย่าง ที่ทำให้กลไกต่าง ๆ ไม่ทำงาน และเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาในการบริหารงานบุคคล ซึ่งส่งผลต่อการผลักดันงานด้านการปฏิรูปการศึกษาให้ก้าวไปข้างหน้า โดยปฏิรูปครู ปฏิรูปการเรียนการสอน และปฏิรูปคุณภาพนักเรียน ควบคู่ไปกับการปฏิรูปโครงสร้าง
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้เสนอในที่ประชุมคณะกรรมการการอุดมศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ให้แยกตัวออกมาเป็น “กระทรวง” ต่างหาก หลังจากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย หรือ ทปอ.เคยออกมาเคลื่อนไหวให้แยกสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาออกมาเป็น “กระทรวงอุดมศึกษาและการวิจัย” หลังเริ่มการปฏิรูปการศึกษาในรอบแรกไปได้ไม่นานนัก แต่เรื่องก็เงียบๆ ไป
แต่เมื่อได้พูดคุยกับผู้ที่คลุกอยู่ในแวดวงมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ยอมรับของนักวิชาการทั้งของไทย และนานาชาติแล้ว ทั้งยังเคยดำรงตำแหน่ง “อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม”, “ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย” และ “เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา” รวมถึง ตำแหน่งอื่น ๆ อีกมากมาย อย่าง รศ.ภาวิช ทองโรจน์ เกี่ยวกับแนวคิดในการ “ยกเครื่อง” โครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการใหม่ ว่าจะสวนทางกับแนวทางในการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองหรือไม่?
ซึ่งเรื่องนี้ รศ.ภาวิช ทองโรจน์ มองว่า การปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ “ไม่ขัดแย้ง” และ “ไม่สวนทาง” กับหัวใจของการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง
“การปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการใหม่ ไม่ขัดแย้งกับหัวใจของการปฏิรูปการศึกษา เพราะต้องดูว่าการกระจุกตัวอยู่รวมกัน เป็นผลเสียกับการบริหารหรือไม่ รวมทั้ง การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน และระดับอุดมศึกษา แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฉะนั้น ต้องดูด้วยว่าระบบการศึกษาที่ชัดเจน สามารถตอบสนองความต้องการของประเทศในการผลิตกำลังคนได้หรือไม่ ทั้งในเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ”
รศ.ภาวิช ทองโรจน์ ยังทิ้งท้ายว่า ที่สำคัญคือ “เครื่องมือ” ที่จะใช้ เพื่อนำพาการปฏิรูปการศึกษาไปสู่เป้าหมายนั้น “เหมาะสม” หรือไม่ เพราะฉะนั้น ถ้าเครื่องมือของการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งก็คือ “โครงสร้าง” ของหน่วยงานที่ “ไม่เหมาะสม” แล้ว
“ก็จะไม่สามารถนำพาการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง ให้ไปสู่จุดหมายปลายทางอย่างที่ตั้งเป้าเอาไว้ได้”!!