- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- นร. เผา ร.ร.มหิดลวิทยานุสรณ์ 'เด็กโคม่า' หรือ 'ระบบวิกฤต'
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
นร. เผา ร.ร.มหิดลวิทยานุสรณ์ 'เด็กโคม่า' หรือ 'ระบบวิกฤต'
"โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์" เป็นโรงเรียนระดับมัธยมปลาย จัดว่า เป็นโรงเรียนอันดับ 1 ด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศไทยสถานภาพเป็นองค์การมหาชน ที่เน้นการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์
หลายต่อหลายครั้ง นักเรียนของโรงเรียนแห่งนี้ได้สร้างเกียรติประวัติด้านวิชาการในสาขาวิทยาศาสตร์ ให้กับประเทศไทยมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งเป็นข่าวเกรียวกราวอีกครั้ง ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ “นักเรียนชาย ม.5 เครียดจัดจากผลการเรียน ลงมือก่อเหตุวางเพลิงเผาโรงเรียน”
เหตุการณ์นี้ได้สร้างความเสียหายไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท จนล่าสุดผู้บริหารต้องประกาศปิดโรงเรียนเป็นเวลา 7 วัน
นายอาญาสิทธิ์ เหล่าชัย ศิษย์เก่ารุ่นที่ 12 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ เล่าให้ฟังว่า โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ เป็นโรงเรียนที่เน้นการเรียนการสอน วิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ เป็นหลัก โดยนักเรียนทุกคนจะรู้โปรแกรมที่ได้เรียนในโรงเรียนว่าในแต่ละปี จะได้เรียนวิชาอะไร เป็นวิชาการและกิจกรรมเสริม มีกิจกรรมเข้าค่ายอาสา อย่างน้อยปีละ 2 ค่าย , บำเพ็ญประโยชน์ต่อชุมชนและสังคม อย่างน้อย 40 ชม., และเด็กทุกคนต้องเข้าค่ายปฏิบัติธรรม นอนวัด และปฏิบัติสมาธิ เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพและความฉลาดทางอารมณ์ นอกจากกระบวนการเรียนการสอนด้านวิชาการ
“เวลาเรียนปกติ ไม่แตกต่างจากโรงเรียนทั่วไป แต่สิ่งที่เพิ่มเติมคือ ช่วงเวลาหลังทานข้าวเย็น 19.00 น.- 21.00 น. จะมีคลินิกวิชาการ สำหรับผู้ที่เรียนไม่ทันในแต่ละวัน ไปทบทวนความรู้จากอาจารย์ผู้สอนได้ โดยในช่วงชั้นมัธยมปลาย ชั้น ม.4 จะให้เด็กแต่ละห้องคละกันโดยอิสระ พอขึ้นชั้น ม.5 จะแยกห้องเรียนว่าใครมีความถนัดเรื่องอะไรเป็นพิเศษ และแบ่งตามรายวิชา เช่น เลข อังกฤษ เคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์ โดยยังมีห้องฟรีอยู่อีกห้องหนึ่ง หากใครไม่ต้องการอยู่เฉพาะห้อง ซึ่งเป็นไปโดยอิสระ ไม่มีการบังคับ”
นายอาญาสิทธิ์ เล่าอีกว่า เด็กในโรงเรียนมหิดลฯนั้น คุณครูจะสอนให้รักโรงเรียน รักเพื่อน รักพี่ รักน้อง และช่วยเหลือกัน ในเวลาที่แต่ละคนมีปัญหา หรือ สามารถคุยกับคุณครูได้ทุกเรื่อง เพราะจะอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากเป็นโรงเรียนประจำ
แต่สำหรับกรณีที่นักเรียนชั้น ม.5 เผาห้องสมุดของโรงเรียนนั้น นายอาญาสิทธิ์ บอกว่า แต่ละรุ่นจะมีนักเรียนกลุ่มที่มีปัญหาอยู่อย่างน้อย 10 % เกิดมาจากสภาพอารมณ์ ความคิด แรงบันดาลใจ และการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่แตกต่าง ทำให้การแสดงออกมาแปลกแยกกว่าเพื่อนคนอื่น อย่างเพื่อนในรุ่นตนเองที่ผ่านมา ก็จะมีอยู่บ้าง อาทิ เดินบ่นคนเดียว กินข้าวคนเดียว พูดจาโผงผาง แต่ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนแก่คนทั่วไป และเดินตามครรลองครองธรรม
“แต่ที่เด็กถึงกับเผาห้องสมุด น่าจะเกิดมาจากปมในใจ ที่สื่อออกมาในรูปแบบการประชดประชัน แล้วกลายเป็นอุบัติเหตุ ถึงขั้นรุนแรง เพราะเด็กบางคนมีแรงบันดาลใจทางลบอยู่เยอะ มีอารมณ์ความรู้สึกว่าตนเองอยู่ในสนามรบ มีการแข่งขันสูง ซึ่งมีอยู่ในสังคมทุกที่ ซึ่งสิ่งที่จะช่วยได้จริงๆนั้น ไม่ได้อยู่ที่ระบบของโรงเรียนอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับผู้ปกครอง ที่ใช้ลูกเป็นเครื่องมือ หน้าตาทางสังคม แล้วสร้างความกดดันมาสู่ตัวลูก ซึ่งต้องพยายามเข้าใจในสิ่งที่เด็กต้องการให้มากขึ้น”
ดร.ธงชัย ชิวปรีชา อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนมหดิลวิทยานุสรณ์ คนแรก บอกว่าตกใจและไม่เชื่อว่าเหตุจูงใจของการก่อเหตุทั้งหมดมาจากการเรียนการสอนที่กดดัน
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นกรณีพิเศษ เป็นอุบัติเหตุร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโรงเรียน ที่ผ่านมาก็เคยพบเด็กเครียดแต่ไม่เท่าครั้งนี้ ต้องยอมรับว่า นักเรียนแต่ละคนมีความคิดแตกต่างกัน และนักเรียนจำนวนมากก็ทำให้มีโอกาสเสี่ยงบ้าง แม้จะมีระบบที่ดีแล้วก็ตาม กรณีนี้เป็นเพียงความรู้สึกของเด็กคนนี้เท่านั้น ส่วนสาเหตุที่แท้จริงต้องมีการตรวจสอบกันต่อไป และต้องเข้าใจด้วยว่าเด็กคนนี้ยังเป็นเยาวชนอยู่”
ดร.ธงชัย เล่าถึงประสบการณ์ที่เคยบริหารโรงเรียนแห่งนี้มากว่า 8 ปี พร้อมกับยืนยันว่าโรงเรียนมีระบบจัดการดูแลสุขภาพจิตของเด็กอย่างดีมาตลอด และโรงเรียนมีระบบการสอนที่ส่งเสริมให้เด็กช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีน้ำใจแก่กัน มีจัดกิจกรรมสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้นักเรียนช่วยเหลือกัน ไม่ได้มุ่งเน้นที่ตัววิชาการอย่างเดียว
“ โรงเรียนมีการจัดนักจิตวิทยา 4 คนเพื่อดูแลและเป็นที่ปรึกษาให้นักเรียนจำนวน 720 คนทั้งโรงเรียน และแต่ละห้องเรียนมีนักเรียนประมาณ 24 คน ซึ่งมีครูที่ปรึกษาดูแล 2-3 คน ต่อเนื่อง ทั้งม. 4,5,6 อีกทั้งมีระบบดูแลและผ่อนคลายให้กับนักเรียนที่ต้องเครียดจากการเรียน เช่น มีห้องดนตรี ห้องภาพยนตร์ คาราโอเกะ กิจกรรมชุมนุม มีศูนย์กีฬา ฯลฯ”
ส่วนการระบบการสอน อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนคนแรก ชี้แจงว่า ยังมีกิจกรรมพี่-น้อง ช่วยสอนและเกื้อกูลกัน มีระบบการกิจกรรมการสอนที่ทำให้นักเรียนทุกคนภูมิใจในตนเอง ส่งเสริมให้เด็กเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ เช่น กิจกรรมประจำที่พานักเรียนชั้นม.4 ไปบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกับสังคมและชุมชน เป็นต้น
ด้าน ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช นายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล และ ประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มองเหตุการณ์ลอบเผาโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศว่า หากจะกล่าวโทษการศึกษาล้มเหลว ต้องบอกว่า ใช่และไม่ใช่ เพราะระบบการเรียนการสอนอย่างโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ เน้นเด็กเก่งและส่งเสริมการเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์นั้น ถือเป็นเรื่องที่ต้องตระหนักด้วยว่า จะมีความเสี่ยง ทั้งผลดีและผลร้าย
“จากการที่เด็กอยู่ภายใต้สภาพบีบคั้น แข่งขัน และมีความคาดหวังสูง ซึ่งแต่ละคนอดทนได้ไม่เท่ากัน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องฝึกในหลายๆ ด้านพร้อมกัน เพราะหากไม่พอดี จะทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้อีก”
สำหรับโรงเรียนที่กระตุ้นเชิงความคาดหวังของเด็กๆ ที่มีอยู่ให้เห็นจำนวนมากนั้น ศ.นพ.วิจารณ์ ยืนยันว่า เด็กบางคนทั้งเก่งและบ้า หากเด็กตกอยู่สภาพความบีบคั้นมากๆ ความบ้าก็จะถูกกระตุ้นออกมา บางคน มีความเครียดมากอย่างชัดเจน ซึ่งหากต้องการได้คนเก่งมากๆ ต้องหาวิธีอดทนกับความบ้าด้วย และป้องกันไม่ให้ความบ้าออกมาอาละวาด
“เหตุเผาโรงเรียนที่เกิดขึ้น ถือเป็นบทเรียนของการศึกษาว่าต้องคิดให้รอบคอบทุกมิติ การให้เด็กเก่งวิทยาศาสตร์ ต้องมองด้านอื่นควบคู่ด้วย ใส่ทักษะเชิงอารมณ์ สังคม จริยธรรมความเป็นคนดีเข้าไปในหลักการสอน ไม่ใช่ทำด้านหนึ่งด้านใด อย่างสุดโต่ง ทั้งนี้ ไม่ใช่วิธีการและระบบการศึกษาไม่ดี เพียงแต่ว่าครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนทางการศึกษาที่มีจุดต้องปรับปรุงอยู่บ้าง”
สำหรับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในฐานะคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า กรณีนี้ได้จุดประกายสะท้อนสังคมว่า เด็กไม่สามารถทนต่อภาวะการแข่งขันในการเรียนที่ทำให้ตนต้องตกเป็นผู้พ่ายแพ้ในเรียนได้ เป็นเรื่องสะท้อนจุดตายทางการศึกษา สะท้อนว่า ใครเป็นผู้พ่ายแพ้ต้องออก
“ที่ผ่านมาเด็กบ้านนอกมักถูกล้อเลียนในโรงเรียนระดับนี้ ทำให้เกิดสังคมเด็กเก่งที่แล้งน้ำใจและเห็นแก่ตัว เรื่องนี้กำลังเปิดเผยโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์อีกด้านหนึ่ง ผู้บริหาร ครูควรหูตาสว่าง ไม่ใช่เอาแต่โทษเด็กว่าป่วย ควรต้องโทษระบบด้วยว่าทำไมเด็กจึงเครียดและป่วย ควรห่วงประเด็นนี้มากว่าเด็กคนนี้อาจตกกลายเป็นเหยื่อของระบบการศึกษาที่ มุ่งเน้นการแข่งขันเชิงวิชาการ ผมคิดว่าเด็กคนนี้ไม่ผิด เด็กคนนี้ได้สะท้อนบทเรียนใหม่ เด็กกล้าพูดความจริง แต่ความจริงนี้ผู้ใหญ่รู้สึกเจ็บปวดและไม่อยากที่จะฟังเท่านั้นเอง” รศ.ดร.สมพงษ์ วิเคราะห์อย่างถึงแก่น
อาจารย์ครุศาสตร์ จุฬาฯ มองว่า โรงเรียนนี้เน้นการแข่งขันทางวิชาการ การแข่งขัน ประกวดให้ได้รางวัลต่างๆ โดยไม่คำนึงถึงกลุ่มนักเรียนที่ไม่สามารถเรียนได้ไหว หรือกลุ่มนักเรียนมีผลการเรียนอ่อน โรงเรียนไม่ได้คำนึง ดูแล และช่วยเหลือนักเรียนในกลุ่มนี้ มุ่งดูแลเอาใจใส่เฉพาะกลุ่มเด็กเก่ง วิชาการ เด็กที่ได้รับรางวัล ทำให้เด็กกลุ่มที่เรียนอ่อนนี้ขาดที่พึ่งพิง ซึ่งเชื่อว่า เด็กคนนี้ไม่ตั้งใจให้เหตุการณ์บานปลายถึงขั้นนี้ เนื่องจากเด็กคนนี้มีการเผาโซฟาครั้งแรกเพื่อสะท้อนความจริงบางอย่างก่อน แล้ว จนมาครั้งนี้ เด็กคนนี้เพียงต้องการคนพูดคุย ไม่ถูกล้อเลียนจากเพื่อน ต้องการกลับไปหากำลังใจที่บ้านเท่านั้น เด็กเพียงจะบอกผู้ใหญ่สะท้อนความจริงสู่สังคม
เมื่อถามว่ากรณีเผาโรงเรียนนี้จัดเป็นพฤติกรรมเลียนแบบหรือไม่นั้น รศ.ดร.สมพงษ์ ยอมรับว่า ใช่ เด็กได้ซึมซับความรุนแรง จากผู้ใหญ่มาสู่เด็กและเยาวชน เป็นพฤติกรรมเลียนแบบผู้ใหญ่ที่เผาบ้านเผาเมืองในช่วงที่ผ่านมา
“ผู้ใหญ่หลายคนในสังคมที่เคยออกมาสนับสนุน ประกาศบนเวทีชุมนุมเรื่องเผาบ้านเผาเมือง ควรให้ระมัดระวังพฤติกรรมเหล่า นี้ด้วย เพราะเห็นได้ชัดแล้วว่า เด็กและเยาวชนซึมซับความรุนแรงในการแก้ปัญหา”
สุดท้ายแนวทางในการแก้ปัญหาการศึกษาที่บีดรัด แข่งขัน และช่วงชิงนั้น รศ.ดร.สมพงษ์ เสนอทางออกว่า ทางหนึ่งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เคยเสนอไว้แล้วในแนวทางการปฏิรูปการศึกษาจะต้องมีตัวชี้วัดความสำเร็จทาง การเรียนในการใช้ชีวิตของเด็กด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลดเนื้อหาการสอนวิชาการ หันไปเพิ่มการทำกิจกรรมให้มากขึ้นเป็น 2 ชั่วโมงในสัปดาห์ ในสัดส่วนร้อยละ 70:30