- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- เปิดตัว "QE Fund" ต้นแบบโคลนนิ่ง ‘สสส.การศึกษา’ จาก ‘ฮ่องกง’ สู่ไทย
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
เปิดตัว "QE Fund" ต้นแบบโคลนนิ่ง ‘สสส.การศึกษา’ จาก ‘ฮ่องกง’ สู่ไทย
“จุดเด่นของกองทุนตัวใหม่นี้จะอยู่ที่การลงทุนที่เห็นผล คือ เราจะลงทุนโดยเริ่มจากโรงเรียนที่มีความพร้อมแล้ว เพื่อที่จะได้ไม่ต้องใช้วิธีหว่านการสนับสนุนแบบเสียเปล่า หรือเป็นการลงทุนอย่างสูญค่า…”
ขึ้นชื่อว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญทางการศึกษา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจึงไม่รอช้า…
ส่งทีมงานคุณภาพนำโดยคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ดร.อภิชาต การิกาญจน์ ประธานกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร นายเฉลียว อยู่สีมารักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกุร ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และทีมงานที่เกี่ยวข้องเข้าศึกษาดูแนวทางการจัดระบบการศึกษาที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ขาดเพียงนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการศึกษา ที่แม้จะเป็นตัวตั้งตัวตีในโปรเจ็คท์นี้ แต่ติดภารกิจด่วน เพื่อหวังจะหาแนวทางในการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปการเรียนรู้ในทศวรรษที่ 2 เพราะแม้ประเทศไทยจะมีพระราชบัญญัติการศึกษาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2542 แต่คุณภาพของการศึกษาในประเทศไทยนั้นกลับสวนทาง
ล่าสุดในการประชุมองค์กรหลักที่เกี่ยวข้องก็มีมติเห็นชอบให้จัดตั้ง “สถาบันส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)” โดยนายชินวรณ์ รมว.ศธ.ได้เตรียมผลักดันร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชนพ.ศ. ... คู่ขนานไปด้วยเพื่อความรวดเร็ว พร้อมยังอนุมัติเงินต้นมาแล้วร่วม 120 ล้าน
เมื่อย้อนกลับมายังต้นแบบ “สสส.การศึกษา” หรือ “สสค.” นั้น ต้องยอมรับว่า ฟันเฟืองสำคัญในการปฏิรูปการศึกษาในฮ่องกง ก็คือ การบริหารงานของ “กองทุนพัฒนาการศึกษา” (Quality Education Fund) หรือเรียกสั้นๆว่า “QE Fund” (QEF) ซึ่งถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2541 ด้วยเงินลงทุนประมาณ 5,000 ล้านฮ่องกง (หรือประมาณ 25,000 ล้านบาท)
ในปี 2549 “ปีซ่า” โครงการประเมินผลการศึกษาของประเทศสมาชิก OECD (Organization for Economic Co-operation and Development) ได้จัดลำดับให้การศึกษาในฮ่องกงนำโด่งเป็นที่ 1 ของเอเชีย และในปี 2552 ก็ติด ท็อป 50 ของโลก จนปฏิเสธไม่ได้ว่า ฮ่องกงได้กลายเป็นฮับของการศึกษาในเอเชียที่น่าจับตามอง
อย่างไรก็ดีหากวิเคราะห์จุดแข็งที่ QE Fund ทำให้ฮ่องกงก้าวไปไกลกว่าเมืองแห่งการช้อปปิ้งจะพบว่า 1. ด้วยระบบการบริหารจัดการที่เป็นคล่องตัว ตรงดิ่งสู่เป้าประสงค์ ตอบรับทุกความต้องการของนักเรียน 2. การติดตามผลดำเนินการ และ 3.การบริหาร และจัดสรรผลิตผลทางปัญญาให้เกิดประโยชน์ นั้นทำให้ QEF กลายเป็นแผนปฏิรูปการศึกษาที่เป็นทั้งตัว ‘จุดประกาย’ และ ‘หล่อลื่น’ ระบบการศึกษาฮ่องกง เพราะยึดหยุ่นให้ตรงจุดตามความต้องการของนักเรียน และโรงเรียน ภายใต้ 5 หัวข้อหลัก (ภายใต้งบประมาณที่แตกต่างกันไปตามระดับรูปแบบโครงการ ตั้งแต่ต่ำกว่า 300,000 เหรียญ - มากกว่า 600,000 เหรียญต่อโครงการ) ได้แก่
1.การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Learning)
2.การศึกษาแบบรอบด้าน (All-round Education)
3.การศึกษาโดยมีโรงเรียนเป็นฐาน (School-based Management)
4.การวิจัยทางการศึกษา (Education Research)
และ 5.การพัฒนาด้านไอที (Information Technology)
ที่สำคัญ QEF จะเป็นรูปแบบการให้ทุนกับ “โรงเรียนที่มีศักยภาพพร้อมเป็นต้นแบบ” เท่านั้น
จากเดิมที่เคยกระจายทุนสนับสนุนให้ทุนโรงเรียนอย่างเสมอภาค แต่ด้วยศักยภาพในการพัฒนาบุคลากรในแต่ละโรงเรียนยังแตกต่าง QEF จึงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ด้วยการพุ่งเป้าไปที่โรงเรียนที่มีศักยภาพมาเป็นต้นแบบ พร้อมกับการดึงผู้ปกครอง โรงเรียนรอบข้าง และชุมชน มาเป็นเครือข่ายในการพัฒนา และกระจายความสำเร็จจากโรงเรียนสู่ชุมชน เช่น
- โรงเรียนมัธยม SATIN PUI YING College ที่ปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนเป็นหนึ่งนวัตกรรมการแสดง…หลากอาชีพ ผ่านละครเวทีเรื่อง “The Lost Face (2550)” และ “Heart in Arms (2552)” แทนที่การสอนภาษาอังกฤษในตำรา ทำให้เด็กเรียนรู้การประกอบอาชีพในด้านต่างๆ ตั้งแต่ การตัดเย็บผ้าร่วมกับผู้ปกครอง การทำฉากประกอบ การแต่งเพลง การบรรเลงเพลง การแต่งหน้าทำผม ฯลฯ
- โรงเรียมประถม Buddhist Wing Yan School ที่เน้นโครงการให้สอดคล้องตามแผนพัฒนาฉบับล่าสุดของฮ่องกงที่ดึงเอาเทคโนโลยีและการพัฒนาด้านไอทีมาเป็นจุดขาย ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าจำลอง หอดูดาว การ์ดบันทึกเวลาเรียนอัจฉริยะ ระบบเรียนออนไลน์ ฯ ทำให้โรงเรียนการเป็นศูนย์กลางของชุมชน ทำให้เกิดกิจกรรมร่วมระหว่างโรงเรียนและครอบครัว
เมื่อประกอบกับการสร้างระบบ “ติดตาม-ติวเตอร์” อย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การสมัครเข้าขอรับทุน การอนุมัติ และการตรวจสอบติดตามผล ทำให้ทั้งผู้ทรงคุณวุฒิที่เข้าตรวจงาน และผู้ขอทุนสามารถนำคำแนะนำไปปรับปรุงพัฒนาโครงงานได้อย่างถูกทิศทาง ภายใต้การบริหารงานแบบ Trust Fund ที่แม้จะเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ แต่ก็มีความเป็นอิสระในการทำงาน
สำหรับการปฏิรูประบบการศึกษา และการเรียนรู้เด็กไทยในทศวรรษที่ 2 ภายใต้งบประมาณจำกัดนั้น
สถาบันส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ที่กำลังจะก่อร่างสร้างตัว จึงจำเป็นต้องมีความคล่องตัวสูง ทั้งในแง่การสนับสนุนทางการเงิน และการบริหารอย่างเป็นอิสระ เพื่อลดทอนช่องว่างของการศึกษาให้ตัดตรงสู่นักเรียน โรงเรียน และการวิจัย ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ได้กล่าวถึงการสำรวจกองทุนพัฒนาการศึกษาครั้งนี้ก็เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความเป็นไปได้ในการนำ QEF มาปรับใช้กับระบบการศึกษาในประเทศไทย โดยเฉพาะหัวใจหลักของการบริหารงาน ที่ช่วยขับเคลื่อนให้ฮ่องกงสามารถยกระดับการศึกษา ทำให้คุณภาพของนักเรียนฮ่องกงพัฒนาอย่างก้าวกระโดด อันจะยังผลต่อเนื่องในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ และสังคมของฮ่องกง ว่า
“จุดเด่นของกองทุนตัวใหม่นี้จะอยู่ที่การลงทุนที่เห็นผล คือ เราจะลงทุนโดยเริ่มจากโรงเรียนที่มีความพร้อมแล้ว เพื่อที่จะได้ไม่ต้องใช้วิธีหว่านการสนับสนุนแบบเสียเปล่า หรือเป็นการลงทุนอย่างสูญค่า” คุณหญิงสุพัตรากล่าว และเสริมว่า นายกฯอภิสิทธิ์จึงได้ส่งทีมงานเร่งสำรวจ เพื่อการศึกษาที่ดีขึ้นของเยาวชนไทย
ดร.อภิชาต การิกาญจน์ ประธานกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎรให้สัมภาษณ์ว่า “การมีหน่วยงานอิสระที่เข้ามากระทุ้ง หรืออัดฉีดให้ระบบการศึกษาไทยได้รับการพัฒนาอย่างถูกทิศทางนั้น อาจต้องเริ่มให้การสนับสนุนจากโรงเรียน หรือสถาบันต้นแบบที่มีศักยภาพ เพื่อให้เห็นผลการพัฒนาอย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างให้เกิดการเรียนรู้อย่างหลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ศึกษา ผู้สอน หรือผู้ที่ต้องการวิจัย สร้างองค์ความรู้ใหม่ๆได้ครบทุกมิติด้วย”
เพราะฉะนั้นระหว่างรอข้อมูลที่คุณหญิงสุพัตรา นายชินวรณ์ และทีมงานประมวลผลเพื่อการเกิด “สถาบันส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)" การทำความเข้าใจกับ “QEF” จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ทางรอดของระบบการศึกษาไทย ที่สามารถวัดความสำเร็จผ่านนวัตกรรมการศึกษาของฮ่องกง ซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องอาศัยการเรียนรู้ ความร่วมมือ และแรงสนับสนุนจากทุกภาคส่วน เพื่อการก้าวสู่การปฏิรูปการเรียนรู้ของไทยในทศวรรษที่ 2 อย่างเป็นองคาพยบ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่เด็กและเยาวชนไทย
*** ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ หน่วยสื่อสารสาธารณะ ฝ่ายสื่อสารองค์กร สสส. คุณกนกวรรณ: 084-124-4426