- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ปัดฝุ่น “วิชาหน้าที่พลเมือง” สร้างหัวใจประชาธิปไตยเต็มร้อย
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
ปัดฝุ่น “วิชาหน้าที่พลเมือง” สร้างหัวใจประชาธิปไตยเต็มร้อย
บทเรียนตลอด 78 ปีในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย ไม่ว่า 14 ตุลา 2516, 6 ตุลา 2519, พฤษภาทมิฬ 2535 รวมถึงล่าสุดพฤษภาคม 2553 ทุกฝ่ายล้วนต่อสู้เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยด้วยเหตุผลและความจำเป็นที่ต่างกัน แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือลงเอยที่ความสูญเสีย ทว่าจะมีสักกี่คนที่ตอบคำถามนี้ได้
“วันนี้เราเข้าใจคำว่าประชาธิปไตย-ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยกันดีเพียงใด ?”
จบเหตุ "เผาบ้าน-เผาเมือง" ไม่ทันใด นักการศึกษาฝีปากกล้า อย่าง "สมพงษ์ จิตระดับ" ออกมาแฉ "ความล้มเหลวประชาธิปไตยไทย" ว่าเหตุเพราะรัฐโดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการนั้นไม่ใส่ใจกำกับดูแล ปล่อยให้ "โรงเรียนแกนนำผู้ปฏิบัติงานนปช.แดงทั้งแผ่นดิน" เพาะบ่มนิสัย วัฒนธรรมประชาธิปไตยในแบบของตนเองให้คนหลายหมื่นในหลายพื้นที่นานร่วม 2 ปีจนเกิดเหตุ “ทฤษฎีลาวาแดง”ปะทุขึ้น
หลังวิกฤตที่เพิ่งผ่านพ้นไปนี้ บ้างก็ว่า ถึงเวลาที่เราคนไทยต้องกลับมาทำความเข้าใจและฝึกฝนความเป็น “ประชาธิปไตย” กันใหม่ ทั้งในและนอกระบบ กระทั่งทางกระทรวงศึกษาธิการได้มอบให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาเร่งสรุปรูปแบบกิจกรรมการสอนและงบประมาณเรื่องนี้ทันทีให้ทันในปีนี้ ยึด 6 ยุทธศาสตร์ คือ ปลูกฝังความเป็นพลเมือง,พัฒนาหลักสูตรพลเมืองที่เน้นการปฏิบัติจริง,ส่งเสริมสถาบันการศึกษาทุกระดับในผลิตพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข, คัดเลือกยกย่องพลเมืองต้นแบบของสังคมไทย,สร้างเครือข่ายขยายผล และระดมทรัพยากรทุกส่วนร่วมพัฒนาการศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมือง และล่าสุดกระทรวงศึกษาธิการประกาศแล้วว่าจะมีหลักสูตรพลเมืองศึกษาบังคับสอนในระดับอุดมศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมในภาคเรียนที่ 2 ปี 2553นี้
“ร.ร.ประชาธิปไตย” จุดถ่วงดุลย์การเมืองนอกระบบ
รศ.ดร.สม พงษ์ จิตระดับ อ.คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เป็น 1 ใน 10 อรหันต์คณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 (รวมถึงในฐานะอรหันต์ปฏิรูปการศึกษารอบแรกด้วย)บอกถึงสภาพปัญหาการสอนและการให้ความรู้เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยในระบบการศึกษาของไทย ยังติดที่ตัวเนื้อหาสาระมากกว่ากระบวนการนำไปสู่วิถีชีวิตและวัฒนธรรมแบบประชาธิปไตย เนื่องจากสังคมไทยยังเป็นระบบอำนาจนิยม ดังนั้นวิถีชีวิตเช่นนี้ต้องปรับเปลี่ยนกันอีกมาก อีกทั้งเพื่อให้เท่าทันกับโรงเรียนประชาธิปไตยนปช.ที่พยายามสอนประชาธิปไตย มีแนวคิดการสถาปนารัฐใหม่ด้วย
“โรงเรียนนปช.มีแนวคิดที่ใช้ลัทธิมาร์กซ์ ลัทธิชนชั้น ระบบสังคมนิยม ใช้วิธีการปลุกระดมมวลชน วิธีป้องกันการสลายการชุมนุม ฯลฯ มาจับใจมวลชนตามทฤษฎีลาวาแดงเพื่อรอการปะทุ ทำให้เกิดแกนนำหลักนปช.กว่า 3,000 คนขึ้นทั่วประเทศเพื่อขยายวงแนวร่วมลงสู่ระดับชาวบ้านใน 14 จังหวัดภาคเหนือและ 19 จังหวัดภาคอีสานผ่านทางสื่อวิทยุชุมชน ซึ่งได้ปลูกฝังความคิดความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสมกับระบอบประชาธิปไตยในเมืองไทย”
แนวคิดหลักของ “โรงเรียน สอนประชาธิปไตย” นั้น อ.สมพงษ์ ถอดสูตรออกมาให้เห็นว่า ต้องเน้นความเป็นโรงเรียนที่มีกระบวนการหล่อหลอม ฝึกฝนให้นักเรียนรู้จักสิทธิหน้าที่ ความรับผิดชอบ และจิตสำนึกในประชาธิปไตย ผ่านการเรียนรู้ทฤษฎีควบคู่กระบวนการปฏิบัติ ตั้งแต่อนุบาลถึงอุดมศึกษา ซึ่งโรงเรียนที่สอนต้องทำในลักษณะในระบบการศึกษาควบคู่กับนอกระบบการศึกษาด้วย
อรหันต์ปฏิรูปการศึกษา ย้ำว่า หลักสูตรนี้ต้องไม่ใช่เน้นที่ตัวเนื้อหาการสอนเรื่องประชาธิปไตย แต่ต้องเน้นการสร้างเรียนรู้ที่ทำให้เกิดวิถีชีวิต-วัฒนธรรมแบบประชาธิปไตย หากเน้นตัวเนื้อหาก็จะหลงทางกันอีก พร้อมจี้ให้ทำเรื่องนี้อย่างจริงจังได้แล้ว โดยให้สลัดกรอบคิดเดิมที่เน้นแต่เนื้อหาทิ้งเสียเพราะเรื่องการส่งเสริมประชาธิปไตยในโรงเรียนนี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตเสมา1 เคยพูดไว้ไม่น้อยกว่า 6 เดือน แต่ขณะนี้ยังไม่ขยับเลย
สำหรับเนื้อหาที่ควรบรรจุใน “หลักสูตรประชาธิปไตย” (Civic Education) นั้น อ.สมพงษ์ เสนอ 4 สาระหลัก คือ 1. Social Justice ต้องสอนให้เด็กรู้จักสังคมที่ยุติธรรมว่าเป็นอย่างไร 2. Austerity สอนกวดขันความเคร่งครัดในหน้าที่ เช่น คนที่ได้รับการเลือกตั้งมีอำนาจ มีหน้าที่แล้วต้องรู้จักเรื่องการบริหารจัดการและอะไรต่างๆ ให้เกิดประสิทธิผลด้วย 3. Privacy ความเป็นส่วนบุคคล ต้องสอนว่าจะไปละเมิดสิทธิบุคคลต่างๆ ไม่ได้ นี่คือเรื่องสำคัญที่ต้องสอน และ4. Responsibility ต้องสอนเรื่องความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ตนต้องทำด้วย เพราะถ้าไม่สอนเรื่องนี้ทั้งหมดที่พูดมาจะกลายเป็นแค่เนื้อหา
“ทั้งหมดนี้ต้องไม่ใช่แค่การสอนหนังสือ แต่ต้องทำให้เป็นวิถี วัฒนธรรมชีวิตที่เราทุกคนสามารถนำไปใช้ นี่เป็นกระบวนการหล่อหลอมความเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่ในโรงเรียนด้วยการ ปฏิบัติ ต้องทำให้เกิดวิถีชีวิตการเรียนรู้ประชาธิปไตยในห้องเรียนด้วย” รศ.ดร.สมพงษ์ย้ำ
ส่วนกระบวนการสอนใน “โรงเรียนประชาธิปไตย” อ.สมพงษ์เสนอให้เปลี่ยนมโนทัศน์ครูที่ต้องเลิกสอนแบบสั่งการ บงการความคิด มอบโจทย์บังคับนักเรียน เป็นสิ่งแรกที่ต้องเปลี่ยน เพราะขัดแย้งกับวัฒนธรรมแบบประชาธิปไตย รวมถึงต้องทำให้ทุกคนเรียนเรื่องนี้ในลักษณะการขัดเกลาทางสังคม (Socialization) ที่ต้องระบุให้ชัดถึงหลักการความเป็นประชาธิปไตย ในอนาคตจะต้องสอนการวิเคราะห์ สังเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันคู่กับประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยอย่างลึกซึ้งด้วย ไม่ใช่ปัจจุบันที่ในตำรามีเนื้อหาเหตุการณ์สำคัญ 14 ตุลาฯ เพียงไม่กี่หน้ากระดาษ
“ครูต้องทำให้เด็กมีโอกาส อภิปราย โต้ตอบ แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและมีเป้าหมายซึ่งเป็นวิถีทางประชาธิปไตย ให้เด็กรู้จักคิดมากกว่าแค่คิดตามครูเท่านั้น ทั้งต้องเปลี่ยนการสอบเข้าและการวัดผลที่ต้องเป็นประชาธิปไตยที่เอื้อให้คนที่ทำกิจกรรมอาสา คนที่โดดเด่นในการเป็นผู้นำมีสิทธิเข้าเรียนด้วย”อ.สมพงษ์อธิบาย
ส่วนวิธีการสอนนั้น อ.ครุศาสตร์ จุฬาฯ มองว่า ช่วงชั้นอนุบาลและประถมศึกษาให้สอนประชาธิปไตยที่เน้นกระบวนการปฏิบัติให้มากๆ อย่าเร่งใส่ตัวเนื้อหาเข้าไป เช่น เด็กอนุบาลต้องเรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบ ผ่านการเล่านิทาน การเล่น การแสดงบทบาทสมมติเพื่อค่อยๆ ซึมซับและเรียนรู้ ส่วนระดับมัธยมศึกษาให้เพิ่มเนื้อหาประวัติศาสตร์ความเป็นประชาธิปไตยให้เข้มขึ้น จัดกิจกรรมบูรณาการเนื้อหาโยงสู่สาระวิชาต่างๆ ให้เกิดการเรียนรู้แบบวิถีประชาธิปไตย ให้เป็นส่วนหนึ่งของปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน และระดับอุดมศึกษาเน้นสอนจริยธรรมวิชาชีพให้มาก ทำกิจกรรมเชิงปรัชญาจิตอาสา เพื่ออนาคตจะได้ไม่ต้องเกิดสังคมประชาธิปไตยแบบสุดโต่ง
ขณะเดียวกันส่วนนอกระบบการศึกษาก็ให้เน้นที่นำ “พลังคนหนุ่มสาว” นิสิตนักศึกษาไปร่วมกับท้องถิ่นทำกิจกรรมค่าย วิจัยทำประโยชน์กับชุมชนผ่านกระบวนการแบบประชาธิปไตย นำเชื่อมโยงกับแผนปรองดอง สร้างความเข้าใจร่วมกันผ่านสื่อวิทยุชุมชนทุกพื้นที่ ดึงวัดให้มีบทบาทร่วมหล่อหลอมวัฒนธรรมและจิตสำนึกประชาธิปไตย
“การเริ่มต้นโรงเรียนที่สอนประชาธิปไตยนี้ควรเริ่มจากทำตุ๊กตาแบบขึ้นก่อน เพื่อร่วมกันออกแบบว่าจะต้องปรับเปลี่ยนกันอย่างไรที่จะสอนเรื่องนี้ให้เป็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมประชาธิปไตยจริงๆ เบื้องต้นทางสถาบันพระปกเกล้าได้ทำเรื่องนี้กับโรงเรียนกว่า 100 แห่งทั่วประเทศบ้างแล้ว เช่น ตัวอย่างของโรงเรียนประชาธิปไตย โรงเรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา ที่ประสบความสำเร็จมากในการจัดการสอนแบบประชาธิปไตยทั้งในโรงเรียนและชุมชนจริงๆ ที่ไม่ใช่แค่ของโชว์” รศ.ดร.สมพงษ์ ยันยืน
"การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง" ทางออกจากทางตัน
ทว่าในมุมมองของ รศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา และอ.คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะรองประธาน “คณะกรรมการพัฒนาการศึกษาเพื่อสร้าง ความเป็นพลเมือง” (Civic Education) ซึ่งมีรศ.ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษาเป็นประธานนั้น บอกถึงแนวคิดหลักการศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมืองว่า หัวใจสำคัญคือ อบรมสั่งสอนความเป็นประชาธิปไตยด้วยการ “ฝึกฝน” ให้ผู้เรียนรู้จัก “เคารพผู้อื่น เคารพกติกา และเริ่มต้นที่ตัวเอง” เพราะการศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมืองหรือประชาธิปไตยนี้ ไม่ใช่เป็นแค่เรื่องความรู้ (Knowledge) แต่ต้องเป็นเรื่องของความเป็น (Being)
ดังนั้นจึงต้องฝึกต้องทำให้ “ทุกคนร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา” ต้องเลิกการคิดแบบ It's someone's else's problem. ให้ได้ด้วยสร้างการศึกษาพัฒนาความเป็นพลเมือง
อ.ปริญญา อธิบายถึงประชาธิปไตยว่าเป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติ เช่นเดียวกับปลาใหญ่ที่ต้องกินปลาเล็ก คนทุกคนไม่เท่ากัน แต่ประชาธิปไตยบอกให้ทุกคนต้องเท่ากัน ให้มีกติกาเพื่อให้คนอ่อนแอสามารถอยู่ได้ เช่น การเข้าคิวที่สามารถให้คนอ่อนแอ ตัวเล็กสามารถรับสิทธิได้ด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องฝึกฝน ฝึกมองคนให้เสมอภาคกัน ฝึกใช้-เคารพกติกาแก้ปัญหา ฝึกอดทนต่อสิ่งที่แตกต่างไปจากเรา ฝึกการปกครองกันเองและอยู่ร่วมกัน
จากบทเรียนเหตุการณ์ทั้ง 14 ตุลา 2516, 6 ตุลา 2519, พฤษภาทมิฬ 2535 และล่าสุด อ.ปริญญา มองว่า ที่ผ่านมาสังคมไทยไม่เคยถูกปกครองโดยประชาชน แต่เป็นการปกครองโดยนักการเมือง เช่น ส.ส.ที่ผ่านการเลือกตั้งระบบอุปถัมภ์ ทำให้คนไทยไม่เคยเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างไรในความแตกต่างที่เกิดขึ้น สังคมกำลังขาดการเคารพผู้อื่น-เคารพกติกา ทำให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยก ตัดสินปัญหาโดยใช้กำลังและฆ่ากัน จึงจำเป็นอย่างเร่งด่วนจากนี้ที่ต้องตั้งหลักกันใหม่ ต้องทำเรื่องการศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง ถ้ามีการศึกษาตรงนี้จะช่วยร่นระยะพัฒนาประชาธิปไตยไทยได้
“ตลอด 78 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยสอนเรื่องนี้เลย ฉะนั้นวิชาการหน้าที่พลเมืองต้องกลับมาสอนกันใหม่ ซึ่งต้องขยายเนื้อหาให้มากกว่าตำราทฤษฎี ต้องสอนความรับผิดชอบไม่ใช่แค่สอนเรียกร้องสิทธิ ต้องสอนโดยกระบวนการปฏิบัติตั้งแต่อนุบาลจนถึงผู้ใหญ่ในการศึกษานอกโรงเรียนด้วย ขณะนี้ประเทศไทยเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการมีประชาธิปไตยที่ไม่มีการศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง ว่าจะนำไปสู่ปัญหาอะไรบ้าง”
ตัวอย่างที่ชัดเจนของประเทศที่มี “การศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมือง” นั้น รองประธานคณะกรรมการพัฒนาการศึกษาฯ ยกตัวอย่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศเยอรมนีที่เป็นผู้นำเรื่องการจัดการ ศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมือง ซึ่งมีการจัดตั้ง Center for Civic Education ขึ้น เช่น เยอรมนี ที่ชาวเยอรมันถูกฝึกให้มองผู้อื่นเท่าเทียมกัน ไม่ว่าคนลาว กัมพูชา ไทย ดัชซ์ ที่เข้าไปในประเทศนี้จะได้รับการยอมรับและปฏิบัติเสมอกันทุกคน ซึ่งกรณีการฝึกฝนความเป็นพลเมืองนี้เยอรมันนีเป็น The Best Practice
“หลักสูตรดี ก็ต้องการตัวอย่างพฤติกรรมที่ดี”
อีกด้านหนึ่ง นายปานฑิต จันทร์ทอง อายุ 20 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในฐานะอดีตประธานสภาเด็กและเยาวชนเทศบาลเมืองจ.ฉะเชิงเทรา เมื่อได้รับรู้โครงการ "โรงเรียนประชาธิปไตย" นี้ ก็บอกว่า เห็นด้วยกับโครงการลักษณะนี้ แต่ขณะเดียวกันยังมองว่าโครงการนี้จะได้ผลสำเร็จอย่างแน่นอน หากผู้ใหญ่ได้ร่วมแสดงพฤติกรรมที่ดีอย่างจริงใจให้เด็กเห็นในสังคมด้วย เพราะพฤติกรรมของผู้ใหญ่ สภาพแวดล้อมในสังคมเป็นเหตุสำคัญมากต่อพฤติกรรมเด็ก ดังนั้นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมและความคิดของผู้ใหญ่ที่ขัดแย้งต่อวัฒนธรรมการเป็นประชาธิปไตยก่อน
อีกมุมหนึ่งต่อเรื่องนี้ นางสาววาสิฏฐี คงคาชนะ อายุ 21 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มองว่า
"หนูเชื่อว่าการเรียนรู้ประชาธิปไตยจริงๆ นั้นต้องทำให้เด็กได้รู้จักคิดเอง ครูผู้สอนต้องมีความสามารถในการกระตุ้นให้นักเรียนรู้สึกว่าอยากคิดต่อ อยากคิดเอง ไม่ใช่บังคับให้เด็กคิด และจริงอยู่ประชาธิปไตยที่ทุกคนต้องเท่ากัน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องได้เท่ากัน แต่เวลานี้คนไทยต้องเสียสละให้เท่าเทียมกันต่างหาก นั่นคือสิ่งที่หนูคิด" นางสาววาสิฏฐีกล่าว
แม้วันนี้ภาพของความเป็นโรงเรียนประชาธิปไตย การศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมือง จะยังไม่เด่นชัดนัก แต่สังคมก็พอเห็นแนวทางแล้ว หวังว่าผู้ที่เกี่ยวข้องได้กลับมาคิดและหยิบ “วิชาหน้าที่พลเมือง” ขึ้นมาปัดฝุ่นสอนกันใหม่อีกครั้ง
เพื่อให้คน ไทยรู้จักเคารพผู้อื่น-เคารพกติกา ไม่กลับไปสู่จุดเดิมที่คน ไทยเข่นฆ่ากันเอง ... เมื่อเจอปัญหาทางตันทางการเมืองอีก.