- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- “ถังขยะไร้มด-เหยี่ยวตาไฟไล่พิราบ” ความรู้ “วิทยาศาสตร์”ฉบับใช้ได้จริง
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
“ถังขยะไร้มด-เหยี่ยวตาไฟไล่พิราบ” ความรู้ “วิทยาศาสตร์”ฉบับใช้ได้จริง
ต่อให้เป็นเด็กเรียนสักแค่ไหน แต่เมื่อถึงคราวต้องทำโครงงานวิทยาศาสตร์ส่งครูปลายเทอม เชื่อได้ว่าไม่มากก็น้อยคงมีอันต้องกลุ้มใจเป็นแน่ เพราะไหนจะตั้งประเด็นหัวข้อไหนจะตั้งสมมุติฐาน ไหนจะหาข้อมูล ทดลอง จดบันทึก สรุปผล ฯลฯ โอ๊ย..ช่างชวนปวดหัว
ถึงเช่นนั้นก็ใช่ว่าเรื่องวิทยาศาสตร์จะเป็นความรู้ที่ชวนถอยห่างซะทีเดียว เพราะรู้กันดีว่าหากเข้าใจในแก่นจริงๆ เรื่องน่าเครียด ก็กลับน่าสนุกได้ไม่น้อย
โดยเฉพาะแนวทางการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ด้วยการดึงประเด็นใกล้ตัวที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและเป็นเรื่องที่นักเรียน (ในฐานะผู้เรียนรู้) มีความชอบ ความสนใจอยู่แล้ว ที่ช่วยเปลี่ยนความรู้สึกน่าเบื่อให้เป็นเรื่องสนุกได้ ประหนึ่งความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่ได้จากโครงงานฯได้ตอบโจทย์สงสัยใคร่รู้ของตัวผู้ทำ ไม่ใช่เพียงนามธรรมเลื่อนลอย
“โครงงาน(เชิง)วิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า” โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ร่วมสนับสนุนและวางแนวทางให้เป็นกิจกรรมพิเศษนอกหลักสูตรปกติที่มุ่งพัฒนาศักยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์ให้แก่สังคมบนหลักการ“วิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเกิดประโยชน์จริง”
ชายกร สินธุชัย ผู้จัดการโครงการฯอธิบายว่า หลังสิ้นสุดในระยะแรก (กลาง50-ต้นปี52) พร้อมเดินทางเข้าสู่ระยะต่อมา (เม.ย.52-เม.ย.55)ค่ายโครงงาน(เชิง)วิทย์เพื่อสุขภาพฯ เป็นกิจกรรมที่ได้รับการตอบรับจากบุคลากรและหน่วยงาน ในระดับชั้นมัธยมศึกษาทั่วประเทศมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ตอนแรก ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ที่กิจกรรมได้เน้นแก่ผู้ที่เข้าร่วมนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย เป็นกิจกรรมที่มุ่งตอบความสงสัยของผู้เรียนและรับใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ชุมชนจริงๆ
เมื่อโครงการได้ไปกระตุ้นให้นักเรียนอยากเข้ามาร่วมกระบวนการเรียนวิทยาศาสตร์ผ่านการทำโครงงานเพื่อตอบปัญหาและสิ่งที่พวกเขาสนใจแล้วในระยะแรก จากนี้เพื่อให้การพัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับครู นักเรียน และผู้นำชุมชนในชนบทก่อนประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ในการเชื่อมโยงกับบริบทชุมชน ภูมิปัญญา เทคโนโลยีท้องถิ่น รวมถึงมุ่งสร้างทักษะและการคิดแบบวิทยาศาสตร์ ได้แข็งแรงขึ้น
ขั้นต่อไปโครงการฯจึงเน้นที่การสร้างเครือข่ายให้กระบวนการเรียนรู้เช่นนี้ได้เข้าไปร่วมกับกลไกที่มีอยู่ อาทิ ในกิจกรรมพิเศษของโรงเรียน การเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษา”เขาอธิบายผ่านวงสนทนาเล็กๆ เมื่อครั้งระดมสมองจากผู้เกี่ยวข้องที่เห็นพ้องกันว่ามา “ถูกทาง” แล้ว
“ครูหนู” ปรียา เตี้ยมชุมพล โรงเรียนรัฐราษฎร์อนุสรณ์ จ.นครสวรรค์ หนึ่งในตัวแทนครูผู้ร่วมกิจกรรเล่าว่า แรกๆไม่ค่อยเต็มใจที่จะร่วมโครงการฯนัก เนื่องด้วยมีความคิดว่าลำพังงานประจำของตัวเองก็เยอะพออยู่แล้ว ไม่รู้จะไปเพิ่มงานอีกทำไม ที่สำคัญโครงงานวิทยฯดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับนักเรียน คงมีน้อยคนที่อยากจะเข้าร่วม
“แต่พอมาร่วมกิจกรรมโดยเริ่มจากการอบรม มันทำให้เราต้องเปลี่ยนความคิด และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทุกอย่างเชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์ได้หมด เวลาสอนให้เด็กคิดก็จะบอกเช่นนี้ ว่าให้สังเกตว่ารอบตัวเรามีอะไรบ้าง อะไรที่เป็นปัญหาและวิทยาศาสตร์สามารถช่วยเราได้ ดึงกระบวนการคิดผ่านการวิเคราะห์ประสบการณ์ในท้องถิ่น พร้อมตั้งคำถามว่าเราจะเปลี่ยนแปลงอะไรด้วยวิทยาศาสตร์กันดี”
จึงเป็นที่มาของโครงงาน “ถังขยะไร้มด” ของนักเรียนโรงเรียนรัฐราษฎร์อนุสรณ์ ที่ต่อยอดมาจากกระบวนการคิดแบบไม่ซับซ้อน แต่เน้นประโยชน์และใช้ได้จริงบนความสงสัยที่ว่า จะดีแค่ไหน ถ้าถังขยะในชั้นเรียนไม่มีมดมาให้วุ่นวายใจ?
“โบว์” ศศิภา สีทิน นักเรียนชั้นม.5 อธิบายว่า โครงงานถังขยะไร้มด เกิดจากการมองเห็นปัญหาทีี่เพื่อนในชั้นเรียนต่างรำคาญใจที่บริเวณถังขยะเต็มไปด้วยมด ดังนั้นจึงร่วมกันคิดว่าต้องผลิตถังขยะด้วยวัสดุอะไรมดจึงจะหายไป
“ระหว่างนั้นพวกเราก็ได้ค้นคว้าในห้องสมุด ถามครู ถามญาติผู้ใหญ่ว่า มีสมุนไพรชนิดใดบ้างไหมที่มีคุณสมบัติไล่แมลง ก่อนจะได้คำแนะนำว่าให้ลองใช้ใบมะกรูด จึงเป็นที่มาของการศึกษาสารที่อยู่ในใบมะกรูด ถึงรู้ว่าในนั้นมีน้ำมันหอมระเหยซึ่งช่วยขับไล่แมลงต่าง ได้เป็นอย่างดี ก่อนจะเอามาทำเป็นถังขยะผสมร่วมกับเศษกระดาษที่ใช้แล้ว ในรูปแบบเปเปอร์มาร์เช่”
“แต่กว่าจะทำได้มันก็ต้องใช้เวลานานเหมือนกัน กว่าจะรู้ว่าต้องใช้ใบมะกรูด ใช้กระดาษในปริมาณเท่าใด กว่าจะทำถังขยะให้เข้ารูป มันก็ต้องใช้ความอดทนเหมือนกันนะ” เธอสรุป
ส่วน ยุทธนา หนูหอม มองต่างจากเพื่อนว่าในโรงเรียนของตัวเองนั้นนอกจากมดแล้ว มูลนกพิราบบนหลังคาอาคารเรียนนั้นได้สร้างความรำคาญใจให้ตนและเพื่อนๆไม่ต่างกัน จึงเป็นที่มาของชื่อโครงงานเก๋ๆ "นกเหยี่ยวตาไฟ เสียงเค้าแมวอัตโนมัติไล่นกพิราบ"
“ผมชอบที่ความรู้ที่พวกเราไปหามา มันใช้ได้จริง เวลาเครื่องนี้มันดังทุก15นาที และมีเสียงดังในระยะไม่เกิน1-2เมตร นอกจากจะไล่นกพิราบไม่ให้ขี้บนหลังคาแล้ว เรายังภูมิใจไปกับมันว่าผลงานของเรามีคนชอบ และนี่เป็นครั้งแรกที่ทำโครงงานวิทย์ฯ เพราะไม่นึกว่าตัวเองจะร่วมได้เพราะไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไร” ยุทธนา พูดปนยิ้ม
อย่างไรก็ดี ในมุมของการทดลองทางวิทยาศาสตร์ใช่ว่าจะเกิดผลลัพธ์ที่ได้จากการทำโครงงานจะมีแต่เรื่องดีที่เห็นผลรวดเร็วเสมอไป หากแต่กับโครงงาน “เครื่องคัดลอกและจัดเก็บเยื่อหุ้มเมล็ดถั่วลิสง” ของนักเรียนโรงเรียนจอมทอง จ.เชียงใหม่ก็ใช่เวลาเป็นปีๆกว่าจะประสบความสำเร็จ
“จำได้ว่าเริ่มทำตอนม.4 แต่สำเร็จจริงๆ ก็ตอนม.6 นั้นก็เพราะเมื่อมีความรู้ที่พิสูจน์ว่าดีกว่าครั้งเก่าก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป” พิชิตพล มุ่งเกษม หรือ “มอส” 1ใน4สมาชิกกลุ่มโครงงานบอก
มอส เล่าว่า ในชุมชนที่เขาอาศัยมีการลอกถั่วลิสงเพื่อไปจำหน่ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่เดิมการใช้มือลอกและไม่จัดเก็บให้ดี ย่อมสร้างความสกปรกในผลผลิต และเกิดโรคทางเดินหายใจจากการหายใจนำเศษเปลือกเข้าร่างกาย
“เราเริ่มจากการไปค้นคว้าที่ห้องสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงได้มาซึ่งหลักการเสียดสีของวัสดุให้เปลือกถั่วลิสงหลุดออก พร้อมกับจัดเก็บเปลือกและผลิตผลที่ถูกสุขลักษณะ แต่ที่เป็นปัญหาคือวัสดุที่ใช้มาเสียดสีกันนั้นควรจเป็นอะไรกันแน่ ที่จะทำให้เหยื่อนหุ้มถั่วลอกดีที่สุด
ขณะเดียวกันตัวเมล็ดต้องสมบูรณ์ด้วย พวกเราลองใช้ทั้งคู่วัสดุเสียสีทั้งสก็อตไบร์ท-สก็อตไบร์ท, ไม้ไผ่สาน-ผ้าใยสังเคราะห์ ก่อนจะสรุปว่าที่ดีที่สุดคือพลาสติกสานกับผ้าใยสังเคราะห์ เนื่องจากได้ผลที่ดีที่สุดและทนทานที่สุด”เขาเล่าถึงประสบการณ์การทำโครงงานที่ใช้เวลากว่าครึ่งในชั้นเรียนระดับมัธยมปลาย
วิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่ว่าจึงเป็นเรื่องที่จับต้องได้จริงๆ
การทำโครงงานวิทยาศาสตร์พ่วงความรู้สึกกลุ้มใจยังคงเป็นจริง หากแต่เมื่อผลลัพธ์ของการเรียนได้ถูกนำไปใช้จริงอย่างเป็นรูปธรรม และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีได้ด้วยองค์ความรู้จากความเพียรพยายาม อย่างน้อยๆโครงงานวิทยาศาสตร์คงไม่ใช่เรื่องที่ต้องถอยห่างเป็นแน่