- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ข่าวร้ายในข่าวดี เมื่อ "การศึกษาไทย" รั้งท้าย... เวทีโลก
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
ข่าวร้ายในข่าวดี เมื่อ "การศึกษาไทย" รั้งท้าย... เวทีโลก
ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา มีข่าวดีๆ ที่ทำให้คนไทยได้ชื่นอกชื่นใจกันทั้งประเทศ นั่นเป็นเพราะ “เด็กไทย” ไปกวาด “เหรียญรางวัล” มากมายมาจากการแข่งขันทางด้านวิชาการจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกวิชาการระหว่างประเทศ ครั้งที่ 51 ประจำปี 2553 ที่เมืองแอสตานา ประเทคาซักสถาน ที่นักเรียนมัธยมศึกษาไปได้มา 1 เหรียญทอง 5 เหรียญเงิน และยังมีคะแนนรวมของประเทศอยู่ในอันดับที่ 5 จากผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 98 ประเทศ
หรือการแข่งขันเคมีโอลิมปิกวิชาการระหว่างประเทศ ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ที่ไปได้ 3 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และเด็กไทยที่ไปร่วมการแข่งขันครั้งนี้ ยังคว้ารางวัลผู้ทำคะแนนสอบภาคทฤษฎีได้เต็มอีกด้วย
ส่วนนักเรียนชั้นประถมศึกษา ก็ไปกวาดรางวัลในระดับนานาชาติมาได้ชนิดถล่มทลาย จากการแข่งขันคณิตศาสตร์โลกระดับประถมศึกษา ครั้งที่ 13 Po Leung Kuk Primary Mathematics World Contest (PMWC) ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง โดยกวาดมาได้มากถึง 18 รางวัล แบ่งเป็น 4 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน 7 เหรียญทองแดง และอีก 4 รางวัลชมเชย
และยังกวาดรางวัลจากการแข่งขันคณิตศาสตร์ระหว่างประเทศระดับประถมศึกษา International Mathematics Competition 2010 (IMC) และการแข่งขันคณิตศาสตร์ ระหว่างประเทศ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น Mathematics Competition 2010 (IMC) ที่สาธารณรัฐเกาหลีใต้ มากถึง 45 เหรียญรางวัล แบ่งเป็น 10 เหรียญทอง 11 เหรียญเงิน 19 เหรียญทองแดง และ 4 รางวัลชมเชย
รวมทั้ง ยังได้รับถ้วยรางวัลคะแนนรวมรองอันดับหนึ่งอีกด้วย
สร้างชื่อเสียง และสร้างความปลาบปลื้มให้กับคนไทยอย่างมากมาย ที่ “เด็กไทย” ของเรา มีความรู้ความสามารถ ไม่แพ้ “เด็ก” ชาติไหนๆ ในโลกใบนี้
เป็นการ “ตอกย้ำ” ศักยภาพของเด็กไทยให้เป็นที่ประจักษ์บนเวทีโลก
ขณะเดียวกัน ก็ต้อง “ไม่ลืม” ว่า การศึกษาของไทย ยังมีสารพัดสารพันปัญหามากมายที่ยังแก้ไม่ตก สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย จนต้องเกิดการปฏิรูปการศึกษาในรอบแรก และตามมาติดๆ ด้วยการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง
เนื่องจากยังมีเด็กไทย ทั้งที่อยู่ในระบบการศึกษา หรืออยู่นอกระบบการศึกษา หรือแม้แต่ตกสำรวจไปเลย อีกจำนวนมากมายมหาศาล รอให้รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันขจัดปัดเป่าปัญหาเหล่านั้นให้หมดสิ้นไป
ไม่ว่าจะเป็น “ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน” ของเด็กไทยที่ตกต่ำอย่างสม่ำเสมอ ทั้งผลการทดสอบทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) ผลการทดสอบความถนัดทั่วไป (GAT) หรือผลการทดสอบวัดความถนัดทางวิชาชีพ/ วิชาการ (PAT) ในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา รวมถึง ผลการสอบโอเน็ต GAT และ PAT ครั้งล่าสุด
หรือการรายงานผลการประเมินนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประจำปีการศึกษา 2552 เรื่อง "การอ่านออก เขียนได้ คิดคำนวณได้" ที่เพิ่งประเมินเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ที่ผ่านมา ปรากฎว่ายังมีนักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินอีกในแต่ละด้านจำนวนมาก
ล่าสุด สำนักงานโครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการพัฒนาการศึกษา จังหวัดชายแดนใต้ ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ตรวจสอบคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อปี 2552 พบว่า คุณภาพโดยรวมดีขึ้น แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากๆ คือ ปัญหาการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนชั้น ป.6 โดยพบว่านักเรียนชั้น ป.6 อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ จำนวนมาก
ในช่วงเดียวกันนี้ ก็มีรายงานตัวเลขเปรียบเทียบสมรรถนะของประเทศไทยกับนานาชาติในด้านต่างๆ บนเวทีโลก ปรากฏให้เห็นในช่วงเดียวกัน โดยเฉพาะด้าน “การศึกษา” ซึ่งผลที่ได้ ค่อนข้างจะสวนทางกับเหรียญรางวัลนับไม่ถ้วน ที่เด็กไทยไปกวาดมาจากเวทีโลก
ทั้งนี้ “สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา” ได้เปรียบเทียบสมรรถนะของประเทศไทยกับนานาชาติ โดยใช้ดัชนีของสถาบันเพื่อพัฒนาการจัดการ หรือ International Institute for Management Development (IMD) ในปี 2552 โดยจัดอันดับประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวม 57 ประเทศ เพิ่มขึ้น 2 ประเทศ ได้แก่ คาซัคสถาน และกาตาร์
โดยนำเสนอทั้งหมด 329 ตัวชี้วัด นำมาจัดอันดับภาพรวมเพียง 245 ตัวชี้วัด โดยได้ข้อมูลจาก 2 ทาง คือ ข้อมูลทุติยภูมิ และข้อมูลจากการสำรวจ นำเสนอเปรียบเทียบองค์ประกอบ 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ผลประกอบการของเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของรัฐ ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมีการศึกษาเป็น 1 ในปัจจัยย่อยด้านโครงสร้างพื้นฐาน
จากการเปรียบเทียบ พบว่า ประเทศพัฒนาแล้วยังคงรักษาอันดับที่ดีเด่นไว้ใน 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ และเดนมาร์ก ตามลำดับ
ส่วนภาพรวมความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติของประเทศไทย ได้อันดับที่ 26 ดีขึ้น 1 อันดับ
หากเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเอเชีย 11 ประเทศ พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ต่ำกว่า 6 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง อันดับ 2 สิงคโปร์ อันดับ 3 ญี่ปุ่น อันดับ 17 มาเลเซีย อันดับ 18 จีน อันดับ 20 และไต้หวัน อันดับ 23
แต่เหนือกว่า 4 ประเทศ ได้แก่ เกาหลี อันดับ 27 อินเดีย อันดับ 30 อินโดนีเซีย อันดับ 42 และฟิลิปปินส์ อันดับ 43
เมื่อเปรียบเทียบปัจจัยหลัก 4 กลุ่มของประเทศไทย พบว่า กลุ่มผลประกอบการของเศรษฐกิจ ไทย อันดับ 14 หล่นลงมา 2 อันดับ กลุ่มประสิทธิภาพของรัฐ อันดับ 17 ดีขึ้น 5 อันดับ กลุ่มประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ อันดับ 25 เท่าเดิม และกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน อันดับ 42 หล่นลง 3 อันดับ
แต่หากลงลึกในการเปรียบเทียบสมรรถนะในแต่ละองค์ประกอบหลัก โดยเน้นไปที่ “สมรรถนะด้านโครงสร้างพื้นฐาน” โดยพิจารณาจาก 5 ปัจจัยย่อย ได้แก่ 1.โครงสร้างและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน 2.โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี 3.โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ 4.สุขภาพและสิ่งแวดล้อม และ 5.ด้านการศึกษา
โดยพบว่า ความสามารถในการแข่งขันด้านโครงสร้างพื้นฐานในทุกกลุ่มยังด้อย โดยภาพรวมอยู่ในอันดับ 42 เนื่องจาก “จุดอ่อน” ในปัจจัยด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม อยู่อันดับ 50 โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ อันดับ 40 และด้านการศึกษา อันดับ 47 มีเพียงกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ที่อยู่อันดับ 36 ดีขึ้นถึง 7 อันดับ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบโครงสร้างพื้นฐานทั้ง 5 ด้าน กับประเทศเพื่อนบ้าน พบว่า สิงคโปร์ และมาเลยเซีย มีอันดับดีกว่าไทยในทุกด้าน รวมทั้ง โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ของอินโดนีเซีย ที่มีอันดับดีกว่าไทยถึง 15 อันดับ
ทั้งนี้ แม้ IMD ประเมินให้ไทยมีสมรรถนะด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารดีขึ้น 7 อันดับ แต่ยังมีจุดอ่อนอยู่ที่จำนวนผู้ใช้คอมพิวเตอร์ อยู่ที่อันดับ 49 และอินเตอร์เน็ต อันดับที่ 52 ยังต่ำมาก ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศก็ต่ำ อยู่ในอันดับ 45 รวมถึง การมีส่วนร่วมสนับสนุนการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของภาครัฐ และเอกชนยังไม่มากเท่าที่ควร อันดับ 30
ขณะที่ “สมรรถนะโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์” พบว่า ไทยมีจุดเด่นอยู่ที่สัดส่วนบัณฑิตระดับปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ ต่อจำนวนบัณฑิตระดับปริญญาตรีทั้งหมด สูงกว่าประเทศอื่นๆ โดยสูงถึงร้อยละ 68.9 โดย IMD จัดให้อยู่อันดับที่ 1 ส่วนจุดอ่อนอยู่ที่บุคลากรด้านวิจัยและพัฒนายังน้อยมาก คือ 1 คน ต่อประชากร 1 หมื่นคน อยู่อันดับ 47 งบประมาณด้านวิจัยและพัฒนาต่อหัวน้อยมากเพียง 7.6 ดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 52 บทความด้านวิทยาศาสตร์ที่เผยแพร่ในระดับสากลของไทยยังน้อย 1,249 เล่ม ในปี พ.ศ.2548 อันดับที่ 39
ผลสำรวจของ IMD ยังพบว่า การสอนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนของประเทศไทย ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ โดยอยู่อันดับ 32
หากพิจารณาจาก “ความสามารถในการแข่งขันด้านการศึกษาของประเทศไทย” แล้ว จะพบว่า ภาพรวมสมรรถนะด้านการศึกษาในปี 2552 ไทยถูกจัดอยู่ในอันดับ 47 จากทั้งหมด 57 ประเทศ หล่นลงมาจากปี 2551 ถึง 4 อันดับ
ซึ่งในด้านโอกาส และความเสมอภาคทางการศึกษา ถ้าพิจารณาจากอัตราการเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษา และอัตราการไม่รู้หนังสือ พบว่า อัตราการเข้าเรียนสุทธิระดับมัธยมศึกษาของไทยอยู่ที่ร้อยละ 71 อันดับ 49 ลดลง 3 อันดับ อัตราการไม่รู้หนังสือของผู้ใหญ่อายุ 15 ปีขึ้นไป ลดลงเหลือร้อยละ 5.9 คงที่ในอันดับ 42
ด้านคุณภาพการศึกษา IMD พิจารณาจากเกณฑ์ต่างๆ คือ อัตราส่วนนักเรียนต่อครูระดับประถมศึกษา 18:3:1 อันดับ 41 ระดับมัธยม 21:7:1 อยู่อันดับ 52 ส่วนผลสัมฤทธิ์ของการอุดมศึกษา ยังมีผู้จบระดับอุดมศึกษาเพียงร้อยละ 18 อยู่อันดับ 43 และผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางคณิต-วิทย์ ในโครงการ PISA ของเด็กอายุ 15 ปี ได้คะแนนต่ำกว่าครึ่ง อยู่อันดับ 39 รวมทั้ง ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของไทยยังด้อย โดยอยู่ในอันดับที่ 51
ส่วนประสิทธิภาพการจัดการศึกษา IMD พิจารณาจากงบประมาณรายจ่ายด้านการศึกษาต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP อยู่ที่ร้อยละ 4.4 และรายจ่ายด้านการศึกษาต่อหัวอยู่ที่ 165 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 55 ดอลลาร์สหรัฐ อยู่อันดับที่ 52 หล่นลง 1 อันดับ
อีก 4 เกณฑ์ชี้วัดที่ IMD ใช้สำรวจ ได้แก่ มีการถ่ายโอนความรู้ระหว่างมหาวิทยากับภาคธุรกิจ อันดับ 32 การจัดการศึกษาที่สนองตอบความต้องการของภาคธุรกิจ อันดับ 23 การตอบสนองความสามารถในการแข่งขันของระบบการศึกษา อันดับ 30 และการตอบสนองความสามารถในการแข่งขันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย อันดับ 29
นอกจากนี้ นักศึกษาไทยยังไปเรียนต่อระดับอุดมศึกษามากกว่านักศึกษาต่างชาติเข้ามาเรียนในไทยอีกด้วย
จากผลการเปรียบเทียบสมรรถนะการศึกษาไทยในเวทีสากลครั้งนี้ สรุปได้ว่า สมรรถนะการศึกษาไทยยังอยู่ในระดับไม่เป็นที่น่าพอใจ และยังล้าหลังกว่าหลายประเทศ ทั้งด้านโอกาส คุณภาพ และประสิทธิภาพการจัดการศึกษา
เรื่องนี้ “ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ” เลขาธิการสภาการศึกษา ได้แจกแจงถึงข้อเสนอแนะที่สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาได้ศึกษา และนำเสนอ เพื่อเพิ่มสมรรถนะการศึกษาไทยในเวทีโลกในอนาคต ได้แก่
1.จัดให้ประชาชนทุกคนได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง และมีคุณภาพไม่น้อยกว่า 12 ปี พัฒนาระบบการศึกษาให้ยืดหยุ่น หลากหลาย เข้าถึงง่าย เทียบโอนความรู้ และประสบการณ์ เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต รวมทั้ง ส่งเสริมกำลังแรงงาน และผู้สูงอายุให้มีโอกาสศึกษา และเรียนรู้อย่างมีคุณภาพเพิ่มเติมตามความต้องการ
2.ยกระดับคุณภาพการศึกษาให้มากขึ้น ทั้งคุณภาพครู คุณภาพผู้เรียน และคุณภาพของระบบการศึกษา รวมทั้ง ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการจัดการศึกษา โดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้น ส่งเสริมการรู้หนังสือ และรณรงค์ให้คนไทยมีนิสัยรักการอ่าน ส่งเสริมการผลิตสื่อที่มีคุณภาพ และราคาเหมาะสม
3.จัดและส่งสริมสนับสนุนการใช้สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต การศึกษาทางไกล สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา และสื่ออื่นๆ รวมทั้ง ผลิต และพัฒนาเนื้อหาสาระผ่านสื่อที่มีคุณภาพ เร่งรัดพัฒนาเครือข่าย และเชื่อมโยงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา ที่เข้าถึงง่าย ประหยัด และสะดวกต่อการใช้ สำหรับผู้เรียน นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป
4.ให้ความรู้แก่ประชาชนผ่านกระบวนการศึกษา ผ่านหลักสูตร และกระบวนการเรียนการสอนในทุกระดับ ทุกประเภท ทั้งใน และนอกสถานศึกษา รวมทั้ง การใฝ่รู้ใฝ่เรียน รักการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต รู้จักคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผล เฝ้าระวังปัญหาด้านศิลธรรม คุณธรรม จริยธรรม
5.ส่งเสริม และสนับสนุน การผลิต และพัฒนาครู คณาจารย์ นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และบุคลากรวิชาชีพทางด้านการวิจัย ให้ทำวิจัยและพัฒนา สร้างองค์ความรู้ นวัตกรรม ทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้ง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัย และส่งเสริมให้วิจัยและพัฒนา และถ่ายทอดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมระหว่างภาคธุรกิจเอกชน สถานประกอบการ กับสถาบันอุดมศึกษา และอาชีวศึกษา
6.ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาสากลที่สอง ตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และการเรียนภาษาที่สาม เพื่อให้สื่อสารกันได้ และเปิดโลกทัศน์การเรียนรู้อย่างกว้างขวาง ส่งเสริมสถาบันการศึกษาจัดหลักสูตรนานาชาติ หรือหลักสูตรสมทบ หลักสูตรร่วมกับสถาบันต่างประเทศ เพื่อความเป็นสากลของการศึกษา และรองรับตลาดแรงงาน และ
7.ปรับปรุงระบบสารสนเทศทางการศึกษาให้มีมาตรฐานเดียวกัน ครบถ้วน ทันสมัย มีเอกภาพ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวางแผนการบริหาร และติดตามประเมินผล
ฉะนั้น หากเราต้องการให้เด็กไทยทั่วทั้งประเทศ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น ต้องการเห็นเด็กไทยไปกวาดเหรียญทองจากการแข่งขันในระดับนานาชาติ ต้องการให้การศึกษาของประเทศขยับขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆ ในการจัดอันดับด้านต่างๆ ในระดับโลก
ก็ถึงเวลาแล้ว ที่รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องเร่งยกคุณภาพ และมาตรฐานการศึกษาไทยให้สูงขึ้นในทุกๆ ด้าน เพื่อให้เทียบเคียงกับนานาอารยประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลกให้ได้
ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้!!