- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ถึงเวลา “จัดอันดับมหาวิทยาลัยไทย” แล้วหรือยัง??
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
ถึงเวลา “จัดอันดับมหาวิทยาลัยไทย” แล้วหรือยัง??
เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท Quacquarelli Symonds Ltd. (QS) ได้ประกาศผลการจัด 200 อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2010 ไปเรียบร้อยแล้ว โดยปีนี้เป็นปีแรกที่ QS แยกตัวออกมาจากนิตยสาร Time higther Education (THE)
สำหรับมหาวิทยาลัยที่ติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลก ได้แก่ อันดับ 1 University of Cambridge สหราชอาณาจักร อันดับ 2 Harvard University สหรัฐอเมริกา อันดับ 3 Yale University สหรัฐอเมริกา อันดับ 4 UCL (University College London) สหราชอาณาจักร อันดับ 5 Massachusetts Institute of Technology สหรัฐอเมริกา
อันดับ 6 University of Oxford สหราชอาณาจักร อันดับ 7 Imperial College London สหราชอาณาจักร อันดับ 8 University of Chicago สหรัฐอเมริกา อันดับ 9 California Institute of Technology สหรัฐอเมริกา และอันดับ 10 Princeton University สหรัฐอเมริกา
ปรากฏว่า Harvard University ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเดิมครองอันดับ 1 มาโดยตลอด ถูก University of Cambridge จากสหราชอาณาจักร เบียดหล่นลงมาอยู่ในอันดับที่ 2 ทำให้ University of Cambridge ได้อันดับ 1 ไปครองเป็นครั้งแรก
ส่วนมหาวิทยาลัยในภูมิภาคเอเชียที่ติดอยู่ในการจัด 200 อันดับมหาวิทยาลัยโลก โดยไล่จากมหาวิทยาลัยที่ได้อันดับสูงสุด อาทิ มหาวิทยาลัยฮ่องกง อันดับ 23 University of Tokyo ญี่ปุ่น อันดับ 24 Kyoto University ญี่ปุ่น อันดับ 25 National University of Singapore สิงคโปร์ อันดับ 31 Hong Kong University of Science and Technology ฮ่องกง อันดับ 40 Chinese University of Hong Kong ฮ่องกง อันดับ 42 Peking University สาธารณรัฐประชาชนจีน
อันดับ 47 Osaka University ญี่ปุ่น อันดับ 49 Seoul National University เกาหลีใต้ อันดับ 50 Tsinghua University สาธารณรัฐประชาชนจีน อันดับ 54 Tokyo Institute of Technology ญี่ปุ่น อันดับ 60 Nanyang Technological University สิงคโปร์ อันดับ 74 Korea Advanced Institute of Science & Technology เกาหลีใต้ อันดับ 79 Nagoya University ญี่ปุ่น อันดับ 91 National Taiwan University ไต้หวัน อันดับ 94
มหาวิทยาลัยไทยในปีนี้ มีเพียงแห่งเดียวที่ติดอยู่ใน 200 อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลก ได้แก่ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เช่นเดิม โดยติดอยู่ในอันดับที่ 180 จากเดิมที่ติดอันดับ 138 ในปี 2009 และอันดับที่ 166 ในปี 2008 โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยติดอยู่ในการจัด 200 อันดับมหาวิทยาลัยโลกมาเป็นปีที่ 3 แล้ว
แต่หากลงลึกในสาขาต่างๆ พบว่า ในหลายสาขาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังติดอยู่ใน 200 อันดับแรก อย่าง Arts & Humanities อยู่อันดับ 78, สาขา Social Sciences อันดับ 78, สาขา Engineering & IT อันดับ 101, สาขา Life Sciences & Biomedicine อันดับ 130 และสาขา Natural Sciences อันดับ 186
สำหรับมหาวิทยาลัยไทยแห่งอื่นๆ ที่ติดอยู่ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกของ QS ในปี 2010 แต่ติดในอันดับที่สูงกว่า 200 เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล อันดับ 228 จากเดิมอันดับ 220, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อันดับ 401-450 จากเดิมอันดับ 401-500, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันดับ 451-500 จากเดิมอันดับ 401-500, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อันดับ 501-550 จากเดิมอันดับ 501-600, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อันดับ 551-600 จากเดิมอันดับ 401-500 และมหาวิทยาลัยขอนแก่น อันดับ 551-600 จากเดิมอันดับ 501-600
นอกจากนี้ มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าหลายๆ ประเทศในกลุ่มอาเซียน อย่างน้อย 3-4 ประเทศ ได้รับการจัดอันดับในภาพรวมดีกว่าประเทศไทย อาทิ มหาวิทยาลัยของสิงคโปร์อย่าง National University of Singapore อันดับ 31 และ Nanyang Technological University อันดับ 74
ขณะที่มหาวิทยาลัยของมาเลเซีย ได้แก่ Universiti Malaya อันดับ 207, Universiti Kebangsaan Malaysia อันดับ 263, Universiti Sains Malaysia อันดับ 309, Universiti Putra Malaysia อันดับ 319 และ Universiti Technologi Malaysia อันดับ 365
มหาวิทยาลัยของอินโดนีเซีย ได้แก่ University of Indonesia อันดับ 236 Universitas Gudjah Mada อันดับ 321, Bandung Institute of Technology อันดับ 401-450 และ Airlanngga University อันดับ 451-500
ปิดท้ายที่ มหาวิทยาลัยของฟิลิปปินส์ Ateneo de Manila University อันดับ 307, University of the Philippines อันดับ 314 และ University of Sant Tomas อันดับ 501-550
ซึ่งเกณฑ์การจัดอันดับของ QS เป็นครั้งแรก ภายหลังแยกตัวออกจาก Times Higher Education นั้น QS ใช้เกณฑ์การสำรวจเกี่ยวกับชื่อเสียงในแวดวงวิชาการมากที่สุดถึง 40% คณะผู้บริหาร 10% สัดส่วนของนักศึกษาต่อผู้สอน 20% จำนวนเจ้าหน้าที่ 5% นักศึกษาต่างชาติ 5% และการอ้างอิงถึงผลงานศึกษาวิจัยของคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย 20%
นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แจกแจงกรณีที่อันดับของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หล่นลงมาอยู่ในอันดับ 180 ว่าเป็นเพราะทาง QS ได้นำเกณฑ์เรื่องความเป็นนานาชาติ เกณฑ์เรื่องงานวิจัย สัดส่วนของนักศึกษาต่อผู้สอน เป็นต้น ฉะนั้น เมื่อเปลี่ยนเกณฑ์ใหม่ ก็ต้องเริ่มต้นกันใหม่
“ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับจาก QS และ Times Higher Education ของนิตยสารไทม์ โดยในปี 2007 ติดอยู่ในอันดับ 233 ของโลก, ปี 2008 ติดอันดับ 166 และปี 2009 ติดอันดับ 138 มาปีนี้อยู่อันดับ 180 เมื่อไปแยกดูเป็นรายสาขาวิชาที่เปิดสอน จะมีหลายสาขาวิชาที่ติดอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก เช่น กลุ่มวิทยาศาสตร์การแพทย์ อันดับที่ 51 กลุ่มวิศวกรรมศาสตร์ อันดับ 78”
อย่างไรก็ตาม นพ.ภิรมย์บอกว่ากรณีที่อันดับของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยหล่นลงไปอยู่ที่อันดับ 180 ไม่น่ากังวล เพราะที่ผ่านมาได้พูดคุยกันในระดับผู้บริหารของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้ว่าอันดับที่ผ่านมาจะดีขึ้น แต่อย่าไปหลงกับเรื่องนี้ จนลืมความเป็นมหาวิทยาลัยที่จะต้องสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติ นอกจากนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะนำผลการประเมินในครั้งนี้ไปวิเคราะห์ตัวชี้วัดในแต่ละด้าน ว่าด้านใดดีขึ้น หรือด้านใดด้อยลง เพื่อที่จะปรับปรุงพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น แต่หากด้านไหนไม่เป็นประโยชน์ ก็จะให้ความสำคัญน้อย
พร้อมกับฝากถึงรัฐบาลว่า รัฐบาลจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งส่งเสริมมหาวิทยาลัยในประเทศไทย โดยสนับสนุนเงินด้านการวิจัยให้เพิ่มมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ที่ได้รับเพียง 0.2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี
ล่าสุด Times Higher Education ซึ่งร่วมกับ บริษัท Thomson Reuters เป็นครั้งแรก ได้ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ประจำปี 2010-2011 ผลปรากฏว่า มหาวิทยาลัยที่ติดอันดับท็อปเท็น หรือ 10 อันดับแรก ยังคงเป็นมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร ได้แก่
อันดับ 1 Harvard University สหรัฐอเมริกา อันดับ 2 California Institute of Technology สหรัฐอเมริกา อันดับ 3 Massachusetts Institute of Technology สหรัฐอเมริกา อันดับ 4 Stanford University สหรัฐอเมริกา อันดับ 5 Princeton University สหรัฐอเมริกา อันดับ
อันดับ 6 University of Cambridge และ University of Oxford สหราชอาณาจักร (ครองอันดับร่วม) อันดับ 8 University of California Berkeley สหรัฐอเมริกา อันดับ 9 Imperial College London สหราชอาณาจักร และอันดับ 10 Yale University สหรัฐอเมริกา
โดยอันดับ 1 ยังคงเป็นแชมป์เก่าอย่าง Harvard University สหรัฐอเมริกา ส่วนอันดับ 2 กลายเป็น California Institute of Technology สหรัฐอเมริกา ขณะที่ University of Cambridge ตกไปอยู่อันดับที่ 6 ร่วมกับ University of Oxford
ส่วนมหาวิทยาลัยชั้นนำในเอเชียที่ติดอยู่ใน 10 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 University of Hong Kong ฮ่องกง อันดับ 2 University of Tokyo ญี่ปุ่น อันดับ 3 Pohang University of Science and Technology สาธารณรัฐเกาหลี อันดับ 4 National University of Singapore สิงคโปร์ อันดับ 5 Peking University จีน อันดับ
อันดับ 6 Hong Kong University of Science and Technology ฮ่องกง อันดับ 7 University of Science and Technology of China จีน อันดับ 8 Kyoto University ญี่ปุ่น อันดับ 9 Tsinghua University จีน และอันดับ 10 Korea Advanced Institute of Science and Technology สาธารณรัฐเกาหลี
สำหรับมหาวิทยาลัยไทยติดอยู่ในท็อป 400 จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล อันดับที่ 306 และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันดับที่ 341
ซึ่ง รศ.พาสน์ศิริ นิสาลักษณ์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่าการจัดอันดับของ THE ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกภายหลัง Times Higher Education แยกตัวออกจาก QS โดยใช้หลักเกณฑ์ตัวชี้วัดในการพิจารณาที่กำหนดขึ้นใหม่ 5 ตัวชี้วัด ได้แก่
1. Teaching - the learning environment พิจารณาจากบรรยากาศการเรียนการสอน ประกอบด้วย ชื่อเสียงด้านการเรียนการสอน สัดส่วนนักศึกษาปริญญาเอกที่สำเร็จการศึกษาต่ออาจารย์ จำนวนการรับเข้านักศึกษาปริญญาตรีต่ออาจารย์ รายได้ต่ออาจารย์ และสัดส่วนนักศึกษาปริญญาเอกที่สำเร็จการศึกษาต่อนักศึกษาปริญญาตรีที่สำเร็จการศึกษา โดยให้ค่าน้ำหนัก 30%,
2. Research - volume, income and reputation พิจารณาจากปริมาณ ผลงานวิจัย รายได้ และชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย ประกอบด้วย ชื่อเสียงด้านการวิจัย รายได้จากการวิจัย จำนวนผลงานตีพิมพ์ต่ออาจารย์และนักวิจัย และรายได้วิจัยจากภาครัฐต่อรายได้วิจัยรวม ค่าน้ำหนัก 30%,
3. Citations - research influence พิจารณาจากจำนวนการอ้างอิงผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัย แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักวิชาการทั่วโลกในคุณภาพงานวิจัย ค่าน้ำหนัก 32.5%,
4. Industry income – innovation พิจารณาจากรายได้ของมหาวิทยาลัยที่ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงคุณภาพของการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่สังคม ค่าน้ำหนัก 2.5% และ
5. International mix - staff and students พิจารณาจากความหลากหลายของนักศึกษาและบุคลากรนานาชาติในมหาวิทยาลัย ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นมหาวิทยาลัยนานาชาติ โดยคำนึงถึงอัตราส่วนของบุคลากร และนักศึกษาจากต่างประเทศ ต่อบุคลากรและนักศึกษาภายในประเทศ ค่าน้ำหนัก 5%
จะเห็นได้ว่าหลักเกณฑ์ตัวชี้วัด และค่าน้ำหนักที่ทั้ง QS และ Times Higher Education ค่อนข้างจะแตกต่างกัน โดย QS จะให้ค่าน้ำหนักของชื่อเสียงในแวดวงวิชาการมากถึง 40% สำหรับสัดส่วนของนักศึกษาต่อผู้สอน และการอ้างอิงผลงานศึกษาวิจัยของคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย ให้น้ำหนักอย่างละ 20%
ขณะที่ Times Higher Education จะเน้นเรื่องการอ้างอิงผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมากที่สุด 32.5% ส่วนการเรียนการสอน และผลงานการวิจัย ให้น้ำหนักอย่างละ 30%
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า การจัด 200 อันดับมหาวิทยาลัยของโลก โดย QS และการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ของ Times Higher Education ในปี 2011 จะเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม นับจากนี้ต่อไป มหาวิทยาลัยไทยทั้งหลาย ไม่ว่าเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาล มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยเอกชน คงจะนิ่งเฉยไม่ได้แล้วอีกแล้ว เพราะยุคนี้ “กระแส” การจัดอันดับมหาวิทยาลัยมาแรง
ทั้งนี้ ประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อน เคยมีการ “จัดอันดับมหาวิทยาลัยไทย” เช่นกัน โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ในยุคที่ ศ.พิเศษ ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้ร่วมกับหนังสือพิมพ์มติชน “จัดอันดับมหาวิทยาลัยไทย”
เนื่องจากเล็งเห็นถึงความสำคัญของการจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทย เพราะมองว่ากระแสการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกมาแรง และมหาวิทยาลัยไทยคงหลีกเลี่ยงการจัดอันดับไม่พ้น บวกกับผลการจัดอันดับจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณภาพมาตรฐานของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งได้ในระดับหนึ่ง และผู้เรียนยังสามารถใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจเลือกว่าจะเข้าเรียนต่อในสถาบันอุดมศึกษาแห่งใด
ที่สำคัญ การจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทย ยังเป็นการกระตุ้นให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งต้องแข่งขันกันพัฒนาคุณภาพมาตรฐานในด้านต่างๆ ให้สูงขึ้น
แต่ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทยที่ออกมาในครั้งนั้น มีกระแสต่อต้านจากมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายๆ แห่งของไทยค่อนข้างมาก เพราะมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง และคิดว่าสถาบันของตนเองน่าจะติดอยู่ในอันดับต้นๆ หลายๆ แห่งกลับติดอยู่ในอันดับที่ค่อนข้างต่ำกว่าที่คาดหวังไว้ จึงไม่ยอมรับผลการจัดอันดับในครั้งนั้น
จึงมีผู้เสนอให้เปลี่ยนรูปแบบจากการ “จัดอันดับมหาวิทยาลัย” ไปเป็นการ “จัดกลุ่มมหาวิทยาลัย” แทน แต่จนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น
จากกระแสการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกที่ยังคงมาแรง และผลการจัดอันดับ ได้รับการยอมรับจากผู้ที่อยู่ในแวดวงอุดมศึกษาจากทั่วทุกมุมโลก บางทีอาจจะถึงเวลาแล้ว ที่สถาบันอุดมศึกษาของไทยทั้งหลาย อาจจะต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่กับการจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทย
เพราะเชื่อว่าการจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทย น่าจะเป็นตัวกระตุ้นอย่างดี ที่จะทำให้ “มหาวิทยาลัยไทย” พัฒนา “คุณภาพ” ได้อย่างก้าวกระโดด
และมีโอกาสที่จะทำให้ “ชื่อ” ของมหาวิทยาลัยไทยอีกหลายๆ แห่ง มากกว่าแค่ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” และ “มหาวิทยาลัยมหิดล”
ไปติดอยู่ในการจัด 200 อันดับมหาวิทยาลัยโลก หรือการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก!!