- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ศธ.คลอดเกณฑ์รับนักเรียน “ม.1-ม.4” ปี’54 สกัด “เด็กฝาก-แป๊ะเจี๊ยะ” ได้จริงหรือ??
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
ศธ.คลอดเกณฑ์รับนักเรียน “ม.1-ม.4” ปี’54 สกัด “เด็กฝาก-แป๊ะเจี๊ยะ” ได้จริงหรือ??
เรียบร้อยโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปแล้ว สำหรับเกณฑ์การรับนักเรียน ม.1 และ ม.4 ของโรงเรียนสังกัด สพฐ.โดยนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ลงนามในประกาศ สพฐ.เรื่องนโยบายและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรับนักเรียนชั้น ม.1 และ ม.4 สังกัด สพฐ.ปีการศึกษา 2554 เรียบร้อยแล้ว
โดยการรับนักเรียนชั้น “ม.1” ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) สำรวจรายชื่อนักเรียนชั้น ป.6 ภายในเขตพื้นที่การศึกษา และจำนวนรับนักเรียนชั้น ม.1 ที่โรงเรียนทุกสังกัดประกาศรับในปีการศึกษา 2554 เสนอต่อเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อจัดหาที่เรียนให้นักเรียนทุกคนในเขตพื้นที่การศึกษา โดยคำนึงถึงหลักการให้เด็กเรียนใกล้บ้าน และให้โรงเรียนประกาศรายชื่อโดยไม่มีการคัดเลือก
ให้โรงเรียนกำหนดเขตพื้นที่บริการของโรงเรียน สัดส่วนจำนวนนักเรียนในเขตพื้นที่บริการที่จะเปิดโอกาสให้จับสลาก พร้อมสัดส่วนจำนวนนักเรียนที่จะรับจากการคัดเลือก โดยเสนอสัดส่วน และวิธีต่อคณะกรรมการรับนักเรียนของโรงเรียน และคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา และคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เห็นชอบ
ทั้งนี้ ให้โรงเรียนทั่วไปรับนักเรียนในเขตพื้นที่บริการที่มาสมัครเข้าเรียนทุกคน หากไม่เต็ม ให้รับเด็กนอกเขตพื้นที่บริการ กรณีผู้สมัครเกินจำนวนรับได้ ให้ใช้วิธีจับสลาก
สำหรับโรงเรียนที่มีอัตรา “การแข่งขันสูง” กำหนดสัดส่วนการรับนักเรียน 50 ต่อ 50 โดยในเขตพื้นที่บริการ ให้รับไม่น้อยกว่า 50% หากนักเรียนในเขตพื้นที่บริการไม่ครบตามจำนวนรับ ให้นำสัดส่วนที่เหลือไปรับนักเรียนตามความเหมาะสม โดยใช้วิธีจับสลาก กรณีที่คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเห็นชอบให้สอบคัดเลือกนักเรียนในเขตพื้นที่บริการ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ให้เสนอร้อยละของการสอบคัดเลือก โดยขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการเขตพื้นที่ฯ
อีก 50% ให้รับนักเรียนทั่วไป โดยคัดเลือกจากการสอบ หรือการประเมินผลผู้เรียนด้วยวิธีการอื่นตามที่โรงเรียนกำหนด ในกรณีที่รับนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ ให้รวมอยู่ในการรับนักเรียนทั่วไป แต่ต้องไม่เกิน 5%
ทั้งนี้ การรับนักเรียนของโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง ให้รับเพียง “รอบเดียว” ตามแผนการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2554
กรณีสอบคัดเลือกชั้น ม.1 ให้โรงเรียนออกข้อสอบอยู่ในกรอบเนื้อหาของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ป.3-6 ใน 4 วิชาหลัก ได้แก่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย และสังคมศึกษา และให้ประกาศผลการคัดเลือกเรียงตามลำดับคะแนน โดยโรงเรียนต้องควบคุมการสอบให้เป็นไปอย่างโปร่งใส ถูกต้อง และยุติธรรม อีกทั้ง ในการสมัครนั้น ให้นักเรียนระบุชื่อโรงเรียนที่ประสงค์จะเข้าเรียนสำรองไว้ในกรณีที่พลาดการสอบ หรือจับสลาก ให้กลับไปเรียนในโรงเรียนที่ได้รับการประกาศรายชื่อในการจัดสรรโอกาสเข้าเรียน หรือเสนอชื่อให้ สพป.และ สพม.จัดหาที่เรียนให้ตามความเหมาะสม แต่ไม่ผูกพันที่จะต้องจัดหาที่เรียนเฉพาะในโรงเรียนที่พึงประสงค์
สำหรับการรับนักเรียนในชั้น “ม.4” ในส่วนของโรงเรียนที่เปิดสอนทั้งมัธยมต้น และมัธยมปลาย ให้รับนักเรียนชั้น ม.3 จากโรงเรียนเดิมที่มีศักยภาพเหมาะสมเข้าเรียน ไม่ต่ำกว่า 80% โดยคณะกรรมการเขตพื้นที่ฯ กำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกที่เป็นธรรม อาทิ พิจารณาจากผลการเรียนเฉลี่ยสะสม ผลคะแนนทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) คุณความดี
ให้รับนักเรียนทั่วไปจากโรงเรียนอื่นเข้าเรียนตามสัดส่วนที่คณะกรรมการเขตพื้นที่ฯ กำหนด แต่ต้องไม่เกิน 20% ของแผนการรับนักเรียน โดยให้ใช้วิธีสอบคัดเลือก โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถทางวิชาการของโรงเรียน หรือใช้คะแนนโอเน็ต
ส่วนโรงเรียนที่เปิดสอนเฉพาะมัธยมปลาย ให้รับนักเรียนโดยการสอบคัดเลือกจากนักเรียนทั่วไปไม่น้อยกว่า 80% โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถทางวิชาการของโรงเรียน และนักเรียนโควตาไม่เกิน 20%
ทั้งนี้ ได้กำหนดจำนวนรับนักเรียนต่อห้องในชั้น ม.1 และชั้น ม.4 ห้องละ 40 คน หากมีความจำเป็นให้รับได้ไม่เกินห้องละ 50 คน โดยเสนอ สพป.และ สพม.อนุมัติ
กรณี “เด็กฝาก” นั้น “นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีนโยบายให้เน้นคุณภาพ และโรงเรียนต้องสามารถพัฒนาสู่มาตรฐานสากล ฉะนั้น การรับนักเรียนต้องไม่อ้าง “ผู้มีอุปการคุณ” หรือ “เด็กฝากนักการเมือง” เด็ดขาด!!
ฉะนั้น ในแนวปฏิบัติในเรื่องเด็กฝาก จึงกำหนดให้โรงเรียนที่จำเป็นต้องรับนักเรียนโดยมี “เงื่อนไขพิเศษ” ซึ่งอาจมีหลายกรณี อาทิ เป็นข้อตกลงในการจัดตั้งโรงเรียน เป็นผู้บริจาคที่ดินให้โรงเรียน เป็นผู้ด้อยโอกาส หรือเป็นผู้ที่ประสบภัยพิบัติที่ต้องได้รับการสงเคราะห์ดูแลเป็นพิเศษ เป็นต้น โดยให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการรับนักเรียนที่มีเงื่อนไขพิเศษ พร้อมประกาศหลักเกณฑ์ทั้งก่อน และหลังการพิจารณา ให้สาธารณชนทราบ เมื่อกลั่นกรองแล้วให้ประกาศรายชื่อนักเรียนด้วย
ซึ่งนโยบายและแนวปฏิบัติในการรับนักเรียนชั้น ม.1 และ ม.4 ในปีการศึกษา 2554 ดังกล่าว บรรดาผู้อำนวยการโรงเรียนดังจากทั่วประเทศ ออกมา “รับลูก” โดยเฉพาะในเรื่องของ “เด็กฝาก” ที่สนับสนุนกันเต็มที่ เพราะหลายๆ แห่งมองว่า จะทำให้โรงเรียนสบายใจในการที่จะ “ปฏิเสธ” เด็กฝากได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
แต่สิ่งที่ผู้อำนวยการโรงเรียนต้องการความมั่นใจ และเพื่อให้การปฏิบัติตามแนวทางนี้เป็นไปได้จริง จึงขอให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ทำหนังสือถึงผู้อำนวยการโรงเรียนทุกแห่ง เพื่อจะใช้ในการปฏิเสธกับผู้ที่นำเด็กมาฝาก แต่ดูเหมือนนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ จะยืนยัน “กระต่ายขาเดียว” ว่า ได้ประกาศเป็นนโยบายที่ชัดเจนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องออกหนังสือแจ้งเป็นทางการ
ขณะที่ “นายชินภัทร ภูมิรัตน” เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พยายามตอกย้ำว่าเมื่อมีกติกาที่ชัดเจน ก็ไม่จำเป็นต้องทำหนังสือแจ้งไปยังโรงเรียนเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากนโยบายและแนวปฏิบัติมีความชัดเจนอยู่แล้ว ทั้งการให้คณะกรรมการรับนักเรียนระดับเขตพื้นที่ฯ กำหนดมาตรการป้องกันและป้องปรามไม่ให้เกิดเด็กฝาก รวมถึง การรับเงินเพื่อแลกกับการรับนักเรียน
คราวนี้ลองมาฟังเสียงจากผู้อำนวยการโรงเรียนชื่อดัง อย่างผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีวิทยา “นางพัชรา ทิพยทัศน์” กล่าวว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งกับนโยบายของนายชินวรณ์ ทั้งเรื่องการจำกัดนักเรียนไม่ให้เกิน 50 คนต่อห้อง การยกเลิกการเลื่อนชั้น ม.4 อัตโนมัติ ซึ่งทางโรงเรียนกำหนดแนวปฏิบัติไม่ได้เลื่อนชั้นอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่จะดูผลการเรียน ส่วนเรื่องเด็กฝาก ทางรัฐมนตรีว่าการ ศธ.หรือ สพฐ.ควรมีหนังสือแจ้งชัดเจน เพราะโรงเรียนจะได้สบายใจหากมีใครฝากเด็ก
ขณะที่ “นายสรายุทธ ฟูทรัพย์นิรันดร์” ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า กรุงเทพฯ ระบุว่า มีปัญหาเด็กในเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 เดิม มีจำนวนมาก ซึ่งปีที่แล้วแก้ปัญหาโดยเกลี่ยเด็กเหล่านี้ไปยังโรงเรียนต่างๆ เพื่อให้ได้เรียนทั้งหมด แต่ผู้ปกครองมักรวมตัวกันขอให้ขยายห้องเรียน โดยอ้างเหตุผลความจำเป็นต่างๆ เมื่อ ศธ.กำหนดนโยบายห้ามรับเด็กเกินกว่าที่กำหนด ทางโรงเรียนก็สบายใจ ส่วนนโยบายห้ามรับเด็กฝากนั้น ทำได้ โดยโรงเรียนจะอธิบาย หรือชี้แจงผู้ปกครอง และทุกฝ่ายให้ทราบว่าฝากไม่ได้ ถึงฝากโรงเรียนก็รับไม่ได้ ส่วนกรณีผู้มีอุปการคุณ จะกำหนดแนวทางชัดเจนอยู่แล้วว่าหมายถึงกลุ่มใดบ้าง เช่น ผู้ที่บริจาคที่ดินสร้างโรงเรียน ลูกของอาจารย์ที่สอนในโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนจะกำหนดโควต้าพิเศษให้ และประกาศรายชื่อแยกจากเด็กที่สอบเข้าได้ รวมถึง เด็กที่มีความสามารถพิเศษ
สำหรับผู้อำนวยการโรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร จ.หนองคาย “นายชัยรัตน์ หลายวัชระกุล” กล่าวว่า นโยบายส่วนใหญ่เป็นเรื่องเดิม แต่ปีนี้แนวปฏิบัติชัดเจนขึ้น รวมถึง นโยบายห้ามรับเด็กฝาก แต่ขอให้นายชินวรณ์ไปทำความเข้าใจกับนักการเมืองในพรรคเดียวกันให้ชัดเจน
ด้าน “นายเกษม สดงาม” ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีวิทยา 2 บอกเห็นด้วยกับนโยบายรับนักเรียนชั้น ม.1 และชั้น ม.4 แต่ยังห่วงเรื่องการจำกัดจำนวนนักเรียนไม่ให้เกิน 50 คนต่อห้อง เพราะโรงเรียนสตรีวิทยา 2 อยู่ในเขตพื้นที่ฯ ที่มีเด็กอยู่จำนวนมาก ซึ่งปีที่ผ่านมามีเด็กในเขตพื้นที่บริการล้น 500-600 คน ทำให้ต้องเกลี่ยไปยังโรงเรียนใกล้เคียง แต่เมื่อ ศธ.กำหนดจำนวนรับตายตัว ตนไม่แน่ใจว่าผู้ปกครองจะเข้าใจหรือไม่ และหากไม่พอใจ อาจทำให้เกิดปัญหาหรือไม่ ส่วนการรับนักเรียนชั้น ม.3 ในโรงเรียนเดิมขึ้น ม.4 จะดูจากผลการเรียนเฉลี่ยสะสมในชั้นมัธยมต้น สำหรับเด็กฝากนั้นไม่หนักใจ เพราะนโยบายชัดเจน แต่จะมีเด็กฝากที่เป็นผู้มีอุปการคุณจริงๆ เช่น ผู้มอบที่ดินสร้างโรงเรียน บุตรข้าราชการครูของโรงเรียน เป็นต้น โดยจะกำหนดสัดส่วนไม่เกิน 5%
อีกรายที่สนับสนุนนโยบายให้โรงเรียนดังรับนักเรียนเพียงรอบเดียว คือผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีสมุทรปราการ “นายประกาศิต ยังคง” ซึ่งเห็นด้วยกับการรับนักเรียนเพียงรอบเดียว เพราะจะทำให้โรงเรียนอื่นๆ รับเด็กเข้าเรียนได้เร็วขึ้น จากเดิมที่ต้องรอเป็นเดือนเพราะต้องรอเด็กที่พลาดหวังจากโรงเรียนดัง ส่วนเด็กฝากนั้น จะมีเฉพาะในส่วนของผู้มีอุปการคุณกับโรงเรียนเท่านั้น โดยจะมีคณะกรรมการรับนักเรียนเป็นผู้พิจารณาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
ขณะเดียวกัน ก็มีข้อเสนอจาก “นายอำนวย สุนทรโชติ” ประธานเครือข่ายค่านิยมเพื่อสร้างชาติ ที่เสนอให้นายชินวรณ์ประกาศให้ชัดเจนว่า 1.กรณีฝากเด็กเข้าเรียน และเรียกเก็บแป๊ะเจี๊ยะ ละเมิดสิทธิ และผิดกฎหมาย ผู้อำนวยการโรงเรียนที่รับเด็กฝากจะมีโทษทางอาญา มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ 2.ให้รัฐมนตรีสั่งการเด็ดขาดห้ามไม่ให้นักการเมือง หรือข้าราชการ ศธ.เป็นผู้ฝากเด็กเสียเอง 3.นำบุคคลภายนอกเข้ามาตรวจสอบการร้องเรียนเรื่องฝากเด็ก 4.ให้ ศธ.ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปรับทราบ หากพบเห็น หรือมีข้อมูล ให้แจ้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียน และ 5.ให้ทุกโรงเรียนแสดงความโปร่งใสด้วยการประกาศผลการสอบเข้าโดยเรียงลำดับคะแนนจากมากไปน้อย
ก็ต้องติดตามว่า นโยบายและแนวปฏิบัติในการรับนักเรียนชั้น ม.1 และชั้น ม.4 ปีการศึกษา 2554 จะบรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยแค่ไหน
โดยเฉพาะปัญหา “เด็กฝาก” ที่รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ประกาศชัดเจนว่าไม่ให้รับ จะลดลงได้จริงหรือไม่!!
ปฏิทินการรับนักเรียนชั้น “ม.1-ม.4” ปีการศึกษา 2554 สำหรับปฏิทินการรับนักเรียนชั้น ม.1 และชั้น ม.4 ปีการศึกษา 2554 มีดังนี้ ให้ สพป.และ สพม.ประกาศ รายชื่อโรงเรียน พร้อมสัดส่วนการรับนักเรียน ภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2554 ประกาศผลการจัดสรรที่เรียนชั้น ม.1 วันที่ 10 มีนาคม นักเรียนในเขตพื้นที่บริการ แบ่งเป็นสอบคัดเลือก รับสมัคร วันที่ 12-16 มีนาคม สอบคัดเลือก วันที่ 19 มีนาคม ประกาศผลและรายงานตัว วันที่ 22 มีนาคม มอบตัว วันที่ 2 เมษายน และจับสลาก รับสมัคร วันที่ 12-16 มีนาคม จับสลากพร้อมประกาศผลและรายงานตัว วันที่ 27 มีนาคม มอบตัววันที่ 2 เมษายน, นักเรียนทั่วไปที่ใช้คะแนนสอบ หรือผลประเมินตามที่โรงเรียนกำหนด รับสมัคร วันที่ 1-16 มีนาคม สอบคัดเลือก วันที่ 19 มีนาคม ประกาศผลและรายงานตัว วันที่ 22 มีนาคม มอบตัว วันที่ 2 เมษายน นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ รับสมัคร วันที่ 12-13 มีนาคม คัดเลือก วันที่ 14 มีนาคม ประกาศผลและรายงานตัว วันที่ 15 มีนาคม มอบตัว วันที่ 2 เมษายน นักเรียนที่มีความประสงค์จะให้ สพป.และ สพม.จัดหาที่เรียนให้ รับสมัคร วันที่ 3-4 เมษายน ประกาศผล วันที่ 7 เมษายน รายงานตัว วันที่ 8 เมษายน ประกาศการจัดหาที่เรียนให้นักเรียนในเขตพื้นที่ฯ ทุกคนอีกครั้ง วันที่ 16 พฤษภาคม ชั้น ม.4 โรงเรียนที่เปิดสอนทั้งมัธยมต้น และมัธยมปลาย นักเรียนที่จบชั้น ม.3 เดิม การรับสมัครและประกาศผลให้เป็นไปตามที่โรงเรียนกำหนด รายงานตัว วันที่ 27 มีนาคม มอบตัว วันที่ 3 เมษายน นักเรียนที่จบชั้น ม.3 จากโรงเรียนอื่น และโรงเรียนเดิม ในส่วนของการสอบคัดเลือก รับสมัคร วันที่ 12-16 มีนาคม สอบคัดเลือก วันที่ 20 มีนาคม ประกาศผล วันที่ 23 มีนาคม รายงานตัว วันที่ 27 มีนาคม มอบตัว วันที่ 3 เมษายน ในส่วนของคะแนนโอเน็ต หรือคะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรมัธยมปลาย รับสมัคร วันที่ 23-27 มีนาคม ประกาศผลและรายงานตัว วันที่ 29 มีนาคม มอบตัว วันที่ 3 เมษายน ส่วนโรงเรียนที่เปิดสอนเฉพาะมัธยมปลาย สอบคัดเลือก รับสมัคร วันที่ 12-16 มีนาคม สอบคัดเลือก วันที่ 20 มีนาคม ประกาศผลและรายงานตัว วันที่ 23 มีนาคม มอบตัว วันที่ 3 เมษายน นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ รับสมัคร วันที่ 12-13 มีนาคม คัดเลือก วันที่ 14 มีนาคม ประกาศผลและรายงานตัว วันที่ 15 มีนาคม มอบตัว วันที่ 3 เมษายน |