- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ยุคปฏิรูป...มองมหาวิทยาลัยในบริบทใหม่
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
ยุคปฏิรูป...มองมหาวิทยาลัยในบริบทใหม่
กระแสปฏิรูปดูเหมือนจะติดตาตรึงใจผู้คนทุกภาคส่วน จนปฏิเสธที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เสียแล้ว โดยเฉพาะสถาบันการศึกษา โครงสร้างหนึ่งที่ต้องการการจัดรูปใหม่ วันนี้ยิ่งต้องรีบกำหนดจุดยืนของตนเองให้ชัดขึ้น จะเคลื่อนไหวหรือกำกับดูแลกันอย่างไร เพื่อมุ่งสู่ปลายทางผลิตบัณฑิตให้เป็นพลเมืองอันมีคุณภาพให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
ในเวทีอภิปรายเรื่อง “บริบทมหาวิทยาลัยในยุคปฏิรูปการศึกษารอบที่สองกับการปฏิรูปประเทศไทย” จัดโดยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ณ อาคารวิจัยและการศึกษาต่อเนื่องฯ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้ทรงคุณวุฒิที่รับผิดชอบด้านการศึกษา นำโดย ดร.ชุมพล พรประภา ประธานสมาคมสภามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา และ ดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการสำนักคณะกรรมการการอุดมศึกษา พยายามวิเคราะห์ถึงบทบาทมหาวิทยาลัยสู่การปฏิรูปประเทศ
มองปัญหาสู่แนวทางแก้ไข
"ก่อนที่สถาบันอุดมศึกษาจะก้าวเท้าออกไปปฏิรูปประเทศได้นั้น ต้องแก้ไขปัญหาที่เกาะกินอยู่ภายในเสียก่อน"
ดร.ชุมพล เริ่มต้นเปิดประเด็นเป็นคนแรก พร้อมกับมองปัญหาในรอบทศวรรษที่ผ่านมาว่า การปฏิรูปการศึกษาได้มุ่งความสำคัญไปที่การศึกษาขั้นพื้นฐาน แม้จะทำให้เด็กและเยาวชนมีโอกาสได้รับการศึกษามากขึ้น แต่แทบไม่ได้เหลียวมองสถาบันอุดมศึกษา หรืออาชีวะศึกษา มิหนำซ้ำยังเกิดความล้มเหลวตั้งแต่ต้นเรื่อง นั่นคือ แนวนโยบาย กล่าวคือ ผู้ร่างกฎหมายมักใช้หลักคิด “ผู้ปฏิบัติน่าจะรู้” ในการกำหนดข้อนโยบายต่างๆ จนทำให้ไม่เกิดผลสำเร็จอย่างที่ตั้งความหวังไว้
แนวคิดการกระจายอำนาจคือหนึ่งในนโยบายที่ล้มเหลว ประธานสมาคมสภามหาวิทยาลัยฯ ย้ำชัด โดยชี้ไปที่เนื้อหาสาระสำคัญล้วนแล้วแต่เป็นการเก็บกักอำนาจไว้ไม่ไกลเกินกว่ากรุงเทพมหานคร อีกทั้งสังคมไทยมีความเชื่อในการให้อำนาจบุคคลใดบุคลคนหนึ่งในการบริหารจัดการ สำหรับภาคการศึกษาแม้จะมีการแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยการโอนอำนาจจากเดิมที่มีอยู่ในทบวงไปสู่สภามหาวิทยาลัย แต่ก็เหมือนการย่ำเท้าอยู่กับที่ การกระจุกตัวของอำนาจยังคงอยู่เช่นเคย
"การผลิตบัณฑิตในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาก็เป็นภาพสะท้อนปัญหาได้ไม่น้อย เมื่อบางคณะอย่างนิเทศศาสตร์ นิติศาสตร์ และคุรุศาสตร์มีอัตรานักศึกษาที่จบออกไปจำนวนมาก แต่ก็ยังขาดคนเก่งในการทำงาน" สิ่งนี้ ดร.ชุมพล ตั้งคำถามถึงมหาวิทยาลัยมุ่งเน้น “ปริมาณ” มากกว่า “คุณภาพ” ในตัวของบัณฑิตใช่หรือไม่
ประธานสมาคมสภามหาวิทยาลัยฯ ขยายภาพให้เห็นชัดยิ่งขึ้นว่า คุณภาพที่บกพร่องประการแรก คือ ครูผู้สอนไม่รู้จักนักศึกษาอย่างแท้จริง มักเอาตนเป็นที่ตั้งของทุกสรรพสิ่ง หลายครั้งที่นักศึกษาร้องเรียนว่าครูอาจารย์สอนไม่ตรงกับความต้องการของนักศึกษา เพราะอาจารย์บางท่านถือคติ “ฉันสอนอย่างนี้มาตั้งนาน เด็กต่างหากต้องปรับตัวเข้าหาฉัน”
ประการที่สองที่สังคมมักทำเป็นมองไม่เห็น คือนโยบายในการบริหารจัดการ แม้ว่ามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะมีแผนการบริหารจัดการที่ดี ระบบบัญชี ระบบการเงินชัดเจน แต่ตัวเลขหนึ่งที่ไม่เคยพบข้อเท็จจริงเลย คือ จำนวนการผลิตบัณฑิตอย่างตรงไปตรงมาในแต่ละปี ผู้ปฏิบัติเชิงนโยบายมักตัดสินใจตัวเลขนี้ด้วยเชิงอนุมาน วิเคราะห์เหมารวมตัวเลขของนักศึกษาที่พ้นสภาพลงไปด้วย เหล่านี้มหาวิทยาลัยทำเพื่อมุ่งยกรระดับมาตรฐาน โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพของบัณฑิตที่จะจบออกไปเป็นพลเมืองของสังคม
การบริหารจัดการที่เป็นปัญหาอีกข้อหนึ่งคือ การสรรหาครูอาจารย์เข้ามาทำงาน บางมหาวิทยาลัยไม่ได้มีการศึกษาวิเคราะห์เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงประจักษ์ ว่าขณะนั้นต้องการผู้รู้ด้านภาควิชาใด เช่น บางคณะมีการจัดจ้างอาจารย์สอนวิชาเคมีจำนวนมาก แต่ขณะเดียวกันกลับมียอดจำนวนนักศึกษาที่เรียนเคมีที่ไม่ตอบโจทย์กับจำนวนอาจารย์ผู้สอน ซึ่งสะท้อนให้เห็นการใช้งบประมาณอย่างสูญเปล่า
สร้างพลเมืองดี สอนแต่ในตำราไม่ได้
เช่นเดียวกันกับ ศ.พิเศษธงทอง ที่บอกว่า คุณภาพในการบริหารจัดการเป็นสิ่งสำคัญ อันจะช่วยผลิตพลเมืองของประเทศ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาโดยไม่รู้ตัวคือความแตกต่างกันระหว่างเนื้อในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ประถมศึกษา – มัธยมศึกษา) กับเกณฑ์การเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ทั้งสองระบบมีหลักสูตรการเรียนการสอนที่จูนไม่ตรงกัน บางครั้งทำให้เด็กเกิดอาการสับสน จึงต้องหันไปพึ่งโรงเรียนกวดวิชา เพื่อปรับระดับความรู้ให้ตรงตามมหาวิทยาลัยที่ตนเองคาดหวังไว้ ดังนั้นสถาบันการศึกษาต้องเร่งสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
“มหาวิทยาลัยอาจต้องใช้เวลาส่วนหนึ่งในการลงไปปรับพื้นฐานให้กับเด็ก หรือเปิดหลักสูตรปูพื้นฐานก่อนเข้าเรียน ประเทศไทยไม่ใช่ชาติที่ร่ำรวยมากพอที่จะเสียเงินมากมายอย่างไร้เหตุผล มันคุ้มค่าหรือไม่ที่มหาวิทยาลัยจะแข่งกันทำในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัด” เลขาธิการสภาการศึกษา เสนอมุมมองให้เห็นว่า การศึกษาไทยมีความเชื่อแบบไดโนเสาร์เต่าล้านปี แม้จะมีความปรารถนาดีในการสรรสร้างบัณฑิตที่มีคุณภาพ แต่การบรรจุทุกอย่างเพื่อสร้างสิ่งดีงามไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนดูจะมากเกินไป
สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการแข่งขันอย่างไม่มีหลักการ เป็นเพียงการมุ่งยกระดับมหาวิทยาลัยโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพของบัณฑิตในสังคม ซึ่งอาจารย์ธงทอง เชื่อว่า การสร้างคนดีให้ปฏิบัติตามกรอบจารีตนิยมของสังคมได้ ไม่จำเป็นต้องบรรจุเข้าไปเป็นหลักสูตรหลักการเรียนการสอน ไม่จำเป็นต้องพิมพ์แจกจ่ายเป็นตำราให้ท่องจำ เพราะเนื้อแท้ของการเป็นพลเมืองที่ดีไม่สามารถบ่งบอก หรือสอนผ่านกันได้ผ่านตำรับตำราเรียน
"แก่นของหลักสูตรการเรียนการสอน ขึ้นอยู่กับพลังในการชี้นำนักศึกษาเพื่อก่อให้เกิดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ข้อมูลจนตกผลึกทางความคิด พร้อมทั้งนำสิ่งเหล่านี้ไปแสวงหาความรู้ต่อในโลกภายนอกได้ นั่นคือคุณค่าที่มีพลังในการขับเคลื่อนสังคมอย่างแท้จริงของการศึกษา
นอกจากหลักสูตรจะต้องทำหน้าที่อย่างถูกต้องแล้ว ประเด็นสำคัญอยู่ที่พฤติกรรมของตัวผู้สอนอย่างครูบาอาจารย์ด้วยเช่นกันที่ต้องมีการเปลี่ยนภาพลักษณ์และทัศนคติกันใหม่ จากเดิมที่มีความคิดแค่ว่าครูเป็นเพียงนักวิชาการในสังกัดมหาวิทยาลัย ต้องเปลี่ยนรูปมาเป็นผู้นำทางความคิดให้แก่พลเมืองยุคใหม่ของสังคม"
ในขณะที่ ดร.สุเมธ เห็นด้วยที่จะลุกขึ้น “ปฏิรูปคุณภาพของบัณฑิต” ไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม โดยอยากให้ทุกภาคส่วนมองปลายทางเป็นสำคัญ มองให้ไกลไปถึง “ประสิทธิภาพ” ในสถาบันอุดมศึกษา ทั้งนี้ต้องเริ่มจากการสร้างระบบธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้นในองค์กร เปลี่ยนแปลงระบบคิดการบริหารจัดการเสียใหม่
โดยเฉพาะหลักสูตรการเรียนการสอน สถาบันการศึกษามุ่งที่จะก้าวไปสู่เวทีนานาชาติ เพื่อสร้างความยอมรับในระดับสากล จะเห็นได้ ว่า เมื่อมีการจัดประชุมทางวิชาการแต่ละครั้งก็นิยมเชิญชาวต่างชาติมาให้คำแนะนำ ซึ่งเลขาธิการ สกอ. เชื่อว่า นักวิชาการในบ้านเราเก่งไม่แพ้ใคร มีมากมาย หากปรับเปลี่ยนวิธีคิดปฏิบัติตรงนี้ จะเป็นการยกระดับมหาวิทยาลัยไปสู่ในสากลได้อีกทางหนึ่ง
แนวคิดที่จะยกระดับประสิทธิภาพของมหาวิทยาลัย สกอ. ได้ร่วมมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เพื่อรวบรวมผลงานนักวิชาการไทย ภายใต้ชื่อ Thai-Journal Citation Index Centre (TCI) หรือศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย หลังจากร่วมทำงานเป็นเวลา 2 ปี พบว่าสามารถสร้างการยอมรับในแวดวงการศึกษานานาชาติให้เกิดขึ้นได้
อีกงานที่ สกอ. กำลังทำ คือ การสร้างสถาบันอุดมศึกษาให้มีบทบาทในการรับผิดชอบต่อสังคม เกิดการพัฒนางานวิชาการสายรับใช้สังคมขึ้นมา เรื่องนี้ เลขาธิการ สกอ. ยืนยันว่า มหาวิทยาลัยจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในสร้างแหล่งเผยแพร่งานวิชาการสายรับใช้สังคม ซึ่งการทำหน้าที่ตรงนี้ในอนาคตอาจจะนำไปสู่การขอตำแหน่งทางวิชาการได้ โดยสิ่งที่ต้องสร้างหลังจากนี้คือ จะนำเอกสารวิชาการไปเผยแพร่อย่างไรเพื่อนำเสนอผลงานวิชาการที่ลงไปทำกับสังคม
ปฏิรูปประเทศไทยด้วยวิชาการสายใหม่ "สายรับใช้สังคม" นับได้ว่า เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย ที่เราต้องช่วยกันออกแรงผลักดันทำให้เกิดขึ้นจริง มีคุณภาพ และน่าเชื่อถือ