- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ถามหา “ประชาชน” ในขบวนการปฏิรูป บทพิสูจน์วาทกรรมชวนเชื่อ“มีส่วนร่วม”
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
ถามหา “ประชาชน” ในขบวนการปฏิรูป บทพิสูจน์วาทกรรมชวนเชื่อ“มีส่วนร่วม”
ถึงจะเริ่มต้นด้วยเงื่อนไขที่เชื่อว่า“บริสุทธิ์” และ “อิสระ”มากเพียงใด หากแต่เมื่อเรื่องนามธรรมอย่างการปฏิรูปประเทศไทยตามแผนปรองดองแห่งชาติ ได้แปรสภาพเป็นรูปธรรมผ่านการตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ ที่เริ่มเห็นได้ ย่อมเป็นธรรมดาที่ข้อครหาหลากประการจะพุ่งตรงเข้าใส่ผู้ริเริ่มอย่างไม่หยุดหย่อน
กล่าวคือ“หลักการ”อันสวยหรู ไล่ตั้งแต่การที่นายกรัฐมนตรีประกาศนโยบายต่อสาธารณะชนเป็นครั้งแรกเมื่อเย็นวันที่ 10 มิถุนายน ที่ผ่านมา สู่การตั้งคณะทำงานปฏิรูปประเทศในมิติต่างๆ กระทั่งการสร้างความเชื่อมั่นด้วยเลือกบุคลากรที่มี “ต้นทุน”ทางสังคมสูงลิ่วเป็นตัวเดินเรื่อง หวังโน้มน้าวให้ทุกส่วนสังคมคล้อยตามและร่วมเดินไปพร้อมๆกันนั้น
หากเมื่อเอาเข้าจริงในสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งคำถามบน “ความไม่เชื่อใจ”ระหว่างกัน อาทิ ข้อครหาเรื่องการเลือกคนทำงานที่สีเสื้อ ความเหมาะสมของผู้สั่งการในฐานะคู่ขัดแย้ง กระทั่งความจริงใจต่อการทำงาน ต่างเป็นเรื่องที่รัฐบาลยังไขความกระจ่างไม่หมด
“ทุน”ที่รัฐบาลต้องจ่ายไปเพื่อแลกกับการปฏิรูปฯจึงยังไม่มีอะไรที่ชัดเจนนัก เช่นเดียวกับที่ไม่แปลกเลยสักนิดที่ถ้อยคำอันอุดมไปด้วยความเหมาะสมทั้งปวงจากปากผู้นำประเทศ จะเหลือเพียง “ธง”แห่งการซื้อเวลาเท่านั้นที่อยู่ในความรู้สึกชาวบ้าน
ประชาชนมีส่วนร่วม คำพูดดีที่ทำยาก
นอกจากบทพิสูจน์ที่ว่าด้วยผลลัพธ์แล้ว กระบวนการทำงานเป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่หย่อนไปกว่าประเด็นใด
ด้วยเหตุว่าการปฏิรูป(ปรับปรุงให้สมควร: ราชบัณฑิตยสถาน 2542) ครั้งที่ผ่านๆมามักยึดโยงกับเรื่องของการเมืองเป็นหลัก โดยเฉพาะในระบบรัฐสภา อาทิ การแก้ไขเนื้อหารัฐธรรมนูญ แก้ไขกลไกในระบบเลือกตั้งในหน่วยต่างๆ หากการปฏิรูปด้วยฐานรากที่ต้องการขจัดความขัดแย้งทางสังคม การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ทัศนคติในระบอบประชาธิปไตย ฯลฯแล้ว ครั้งนี้คือครั้งแรก
เหตุนี้กระบวนการ “ภาคประชาชน” จึงเป็นตัวชูโรงที่เน้นกันเป็นพิเศษ บนเครื่องหมายคำถามที่ว่าในกระบวนการปฏิรูป ประชาชนธรรมดา-ราษฎร์เต็มขั้น จะมีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรมในรูปแบบใด และข้อเสนอของพวกเขาจะมีน้ำหนักมากน้อยเพียงไร
สวาท อุปฮาด ผู้ประสานงานเครือข่ายสมัชชาคนจน ให้ข้อสังเกตว่า กระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมมีอยู่ทุกครั้งที่รัฐบาลระบุนโยบายเพื่อหวังจะให้เข้าถึงประชาชน ซึ่งจากในอดีตที่ผ่านมาก็มีการเปิดเวทีให้ชาวบ้านเข้าไปพูดถึงปัญหาของตัวเองจริง มีพื้นที่ให้ตัวแทนเข้าไปมีส่วนร่วมในคณะทำงานต่างๆมากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ารากของปัญหาที่แท้จริงหรือเสียงที่ส่งไปนั้นได้รับการขานรับ
เขา ยังยกประเด็นของยายไฮ ขันจันทา หญิงชราผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยละห้า จ.อุบลราชธานี จนนำมาสู่เงินจำนวน4.9ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีมีมติชดเชยว่า เป็นเพียง1ใน100กรณีที่สำเร็จ และยังสะท้อนถึงความจริงในชนบทที่เมื่อสะท้อนออกไปครั้งใดต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล และหนีไม่พ้นกับความเจ็บปวดแบบที่ประเมินค่าไม่ได้
ส่วนแนวทางเรื่องการปฏิรูปประเทศไทยในครั้งล่าสุดนี้นั้น สวาท บอกว่า โดยหลักการแล้วเห็นด้วยอย่างแน่นอน รวมถึงที่ผ่านมาก็ได้รับฟังจากเพื่อนชาวบ้าน และองค์กรภาคประชาสังคมที่เข้าร่วมกับกลุ่มสมัชชาปฏิรูปฯที่นพ.ประเวศ เป็นประธานและจัดเวทีรับฟังมาบ้าง อย่างไรก็ดีตนมีคำถามว่ากระบวนการเหล่านั้นจะถูกนำไปทำจริงมากน้อยเพียงใด
“เรื่องที่ดิน โฉนดชุมชน ที่ทำกิน สวัสดิการชุมชน ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ฯลฯ เหล่านี้คือปัญหาของชาวบ้าน และทั้งหมดก็เคยผ่านเวทีที่รัฐบาลชวนให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมทั้งนั้น แต่เอาเข้าจริงความต้องการเหล่านี้มันหายไปไหน อย่างดีความเดือดร้อนจะถูกแก้ไขในระยะสั้น เหมือนกับว่าช่วยเหลือไปแบบพลางๆก่อน แต่ที่เป็นรูปธรรมในระยะยาวจริง แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ”สวาท อธิบาย
คล้ายกับการให้ความสำคัญที่ วิเชียร พวงลำเจียก อุปนายกสมาคมชาวนาไทย สะท้อนว่า จากประสบการณ์ที่ตนเองเคยเป็นอนุกรรมการแก้ไขปัญหาความยากจนระดับจังหวัด แนวทางที่ถูกผลักจากประชาชนเกิดขึ้นได้ยากมาก
“เวลาให้ไปประชุม ให้ไปพูดเราก็ไป ไปเสนอแนะและบอกในประเด็นปัญหาที่เครือข่ายเราประสบ เมื่อบอกไปแล้ว ความเป็นรูปธรรมจริงๆเกิดขึ้นได้ยากมาก อย่างดีก็เป็นแค่แผนหรือร่างที่เตรียมจะทำเท่านั้น” วิเชียรกล่าว
ผูกขาดสิทธิ์ด้วย “เสียงในระบบ” เมื่อความเห็นต่างอาจไปไม่ถึง
อย่างไรก็ดี แม้จะสวมหมวกอุปนายกสมาคมชาวนาไทย หากเมื่อถามถึงการเข้าร่วมในคณะปฏิรูปประเทศหรือสมัชชาประชาชนที่กำลังจะเกิดขึ้น วิเชียรกลับไม่รู้ว่าจะเข้าร่วมได้อย่างไร เช่นเดียวกับที่ไม่แน่ใจว่าจะมีชาวนารายอื่นเข้าร่วมกับกระบวนการดังกล่าวหรือไม่
“มันเป็นเรื่องยากที่เขาไม่บอกแล้วเราจะรู้เอง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอื่นจะรู้ไหม”เขาตั้งข้อสังเกต
คำถามจึงมีอยู่ว่า เมื่อกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนไม่สามารถเชื้อเชิญให้ชาวบ้านเข้ามาร่วมได้หมดทุกคนแล้ว เรามีวิธีการคัดเลือกหรือบริหารจัดการ“พลัง”ในส่วนดังกล่าวนี้ให้เป็นธรรมและทัดเทียมได้อย่างไร
พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้มุมมองในประเด็นทำนองนี้ว่า ความสำคัญของคณะปฏิรูปมิใช่อยู่ที่ความอิสระของคณะกรรมการเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ว่า คณะกรรมการชุดจะเกาะเกี่ยวกับประชาชนอย่างไร โดยเฉพาะการเกาะเกี่ยวกับประชาชนที่เป็นคนเสื้อแดง หรือจะให้กล่าวเน้นก็คือ กับคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล
“ประเด็นเรื่องการเกาะเกี่ยวจึงเป็นประเด็นที่สำคัญกว่าประเด็นการเป็นอิสระ เพราะประเด็นเรื่องการเกาะเกี่ยวนั้นเป็นเรื่องของการตอบคำถามความเป็นตัวแทนและความเป็นเจ้าของประเทศของคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามและถูกกระทำจากรัฐบาล
โครงสร้างที่ควรจะมีก็คือการเกาะเกี่ยวยึดโยงกับกลไกสภาให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อเปิดให้มีการถกเถียงอภิปรายกันอย่างกว้างขวางทั้งจากฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลที่มีหลายกลุ่มกว่าการขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี และสภาเองก็ยังมีอำนาจตามกฎหมายที่จะแต่งตั้งคนนอกเข้าร่วมขบวนการเหล่านี้ได้เช่นกัน และยังเป็นการเคารพว่า "เวลา" ของการเมืองในประชาธิปไตยนั้นถูกกำกับโดยสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ที่แม้ว่าจะถูกยุบหรือไม่ ก็จะต้องมีการผลักดันกันในสังคมให้นำเรื่องนี้กลับมาพิจารณาต่ออีกครั้งด้วยกระบวนการประชาธิปไตยเอง ไม่ว่ากระบวนนั้นจะบิดเบี้ยวแค่ไหนก็ตาม(คมชัดลึก 22 มิ.ย. 2553)
การ“คาน”เพื่อป้องกันการผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะตัวรัฐบาลในฐานะหนึ่งในกลไกที่ต้องปฏิรูปเองจึงเป็นอีกเรื่องที่มองข้ามไม่ได้
เช่นเดียวกับในฐานะความเป็นพลเมือง ความอิสระจากเสียงประชาชนที่จะส่งความต้องการจากฐานราก ต้องไม่ถูก“จำกัด”ที่ “สีเสื้อ”
โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่กระทั่งภาคประชาชนยังแบ่งฝ่าย ใครจะมั่นได้ว่ากระบวนการต่อจากนี้ที่เดิมพันบนเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่จะอิสระอย่างที่หวังกันจริงๆ
วางโครงสร้างก่อนขยาย หลักการสวนทางความจริง?
การจัดระดมความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางปฏิรูปประเทศไทยที่อาคารคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ อิมแพค เมืองทองธานีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมาเสมือนกับก้าวแรกของการพูดคุยอย่างเป็นทางการผ่านพ้นไปด้วยดี โดยว่ากันว่าแม้เวทีนี้ยังไม่มีการยกขบวนใหญ่ของภาคประชาชนมาทั้งหมด แต่ก็คับคั่งไปด้วยนักวิชาการใต้หอคอย เครือข่ายชาวบ้าน ตลอดจนผู้ปฏิบัติงานด้านท้องถิ่นอย่างหลากหลาย
“หลักการกับการทำงานจริงมันต่างกัน เราคงเปิดโอกาสให้ประชาชนซึ่งในที่นี้หมายถึงชาวบ้านในทุกภาคส่วน เข้ามาร่วมด้วยทุกคนไม่ได้หรอก” บัณฑร อ่อนดำ นักวิชาการชื่อคุ้นหูผู้ทำงานภาคประชาชาชน รวมถึงมีรายชื่อเป็นแคนดิเดตหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ รวมถึงสมัชชาเพื่อการปฏิรูปเกริ่นนำเมื่อถามถึงพลวัตรในขบวนประชาชนแบบที่ผ่านมา
บนสมมติฐานว่าส่วนรวมของ “ภาคประชาชน” จะเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อแต่หาเกิดผลลัพธ์ได้จริง กระทั่งครั้งล่าสุดนี้นั้น บัณฑร มองว่า แต่ถึงอย่างไรก็ต้องสร้างโครงสร้างเพื่อขยายฐานในส่วนดังกล่าวนี้ให้มากที่สุด
“ประเด็นเรื่องนี้มันก็ถกเถียงกันมานาน ซึ่งมันก็อาจจริงบ้าง แต่สำคัญคือเราก็ต้องพยายามผลักดันในจุดนั้นให้มากที่สุด ด้วยการวางโครงสร้างให้ภาคประชาชนเป็นหนึ่งในกลไก ที่จะดำรงอยู่ควบคู่กับการเมือง การบริหาร (หน่วยงานราชการ) ให้เป็นเสาหลักในการขับเคลื่อนประเด็นต่างๆ”
“แต่จะถึงกับให้ระบุว่า การปฏิรูปในครั้งนี้มีแนวโน้มหรือตัวเลขที่ประชาชนชนจะมาร่วมแค่ไหน อย่างไรนั้น คงทำได้ยาก คุณต้องเข้าใจก่อนว่าภาคประชาชนในที่นี่ไม่ได้หมายถึงชาวบ้านที่ถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างเดียว แต่มันยังหมายถึงพ่อค้า นักธุรกิจ รวมถึงกลุ่มคนอื่นๆที่ไม่ได้ทำการเกษตรแบบที่เรามักเข้าใจด้วย ดังนั้นการกำหนดสัดส่วนว่าใครจะร่วมอย่างไรจึงต้องดูเป็นเรื่องๆไป”
“เราดึงคนมาร่วมทั้ง100% ไม่ได้หรอก แต่ที่ต้องทำคือให้สถานะโครงสร้างหลัก ใครที่เกี่ยวข้องทุกกลุ่มมีสิทธิ์เข้าร่วม ต้องทำให้ภาคประชาชนอยู่ในโครงสร้างที่เทียบเท่ากับภาคการเมือง และหน่วยงานราชการ”เขากล่าว
ส่วนเรื่องที่ว่าด้วย“สีเสื้อ” ตลอดจนความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลนั้น นักวิชาการรายนี้ กล่าวว่า น่าจะเป็นตัวแปรที่มีผลน้อย เนื่องด้วยหากนำประเด็นเป็นที่ตั้งเพื่อนำไปแก้ปัญหาสารพัด (ที่ดินทำกิน สวัสดิการสังคม ราคาสินค้า ฯลฯ) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดช่องว่างสังคมและปฏิรูปแนวทางแก้ปัญหาได้จริง ต่อให้เสื้อสีไหนก็เข้าร่วม
“อย่างน้อยๆเท่าที่คุยมา เมื่อเอาประเด็นเป็นตัวตั้งไม่ใช่การเมือง ภาคประชาสังคมที่แม้จะเป็นคนเสื้อแดงก็ตอบรับแนวทางการแก้ปัญหา”บัณฑร บอกตบท้ายที่ราวกับว่ายังมั่นใจในกระบวนการภาคประชาชนต่อการบากบั่นปฏิรูปประเทศครั้ง
นี้เป็นอีกหนึ่งคำพูดของคนทำงานต่อความหวังปฏิรูปสังคม เมื่อเรื่องคนเล็กๆถูกยกเป็นประเด็นระดับประเทศ พร้อมกับเดิมพันอนาคตของสังคมบนสมมติฐาน“กำไร”หรือ“เท่าทุน” เท่านั้นหากทุกฝ่ายจริงใจ
ผลพวงจากแนวทางการสร้างความปรองดองเพื่อปฏิรูปประเทศไทย ส่งให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 5 ชุด ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่าประธานและคณะกรรมการล้วนมีต้นทุนทางสังคมสูง
โดยชุดแรก คณะกรรมการอิสระตรวจสอบเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองตั้งแต่ 12 มีนาคม-19 พฤษภาคม 2553 มี นายคณิต ณนคร เป็นประธาน ชุดที่2. คณะกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มี นายสมบัติธำรงธัญวงศ์ เป็นประธาน
ชุดที่3. คณะกรรมการปฏิรูปสื่อ มี นางยุบลเบ็ญจรงค์กิจ เป็นประธาน ชุดที่4.คณะกรรมการแก้ไขปัญหาความไม่เสมอภาค มี คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ เป็นประธานและชุดที่5. คณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยที่เตรียมเสนอชื่อ นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน
ทั้งนี้ผลการศึกษาและรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนของคณะกรรมการทั้ง 5 ชุดจะเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทยเช่นเดียวกับการสร้างภาคีสมัชชาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ที่มี นพ.ประเวศ วะสี ราษฎร์อาวุโส เป็นประธานคณะกรรมการ ซึ่งเครือข่ายในส่วนนี้มีการทำงานแทรกซึมอยู่ในขบวนการของหน่วยงานต่างๆที่ดำเนินการในส่วนของการพัฒนาชุมชน อาทิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) กระทั่งเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนในระดับต่างๆ
ทั้งนี้ประเด็นปัญหาที่หลายเวทีได้เสนอมายังเป็นกรอบกว้างๆที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชาวบ้านให้ดีขึ้น อาทิปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ เช่น การประกอบอาชีพ ปัญหาหนี้สิน ค่าครองชีพสูง ปัญหาทางด้านสังคม ยาเสพย์ติดที่เข้ามามีอิทธิพลกับชุมชนและวัยรุ่น ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการเมือง และการแก่งแย่งแข่งขัน ปัญหาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ความหลากหลายของวัฒนธรรม ที่ใช้ไม่รู้คุณค่าและแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน