- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- คาราวานปฏิรูปลุยปัญหา “ไล่รื้อ” กับทางออกที่ “ปกาเกอญอ”
คาราวานปฏิรูปลุยปัญหา “ไล่รื้อ” กับทางออกที่ “ปกาเกอญอ”
หลังจากที่คณะอนุกรรมการปฏิรูป ระบบการจัดการที่ดิน ฐานทรัพยากร สิ่งแวดล้อมและน้ำ ในคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) นำโดย ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ ประธานอนุกรรมการฯ และคณะ ปักธงหลักมุ่งแก้ไขปัญหาการ “ไล่รื้อที่” ซึ่งเริ่มต้นไปแล้วกับตัวอย่าง 5 ชุมชนในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้พบความจริงหลายประการว่า “พัฒนา” ไม่ได้เป็นสิ่งสวยงามของสังคมเสมอไป
ประการแรก เมื่อ “เจ้าของ” ต้องแปลงโฉมเป็น “จำเลยจำเป็น” เหตุจากภาครัฐ นายทุน ฯลฯ ดำเนินแผนนโยบายพัฒนา โดยมิได้ตระหนักถึงประวัติศาสตร์เดิมของพื้นที่ มองข้ามวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และสิทธิชุมชน
ประการที่สอง แม้ชุมชนจะรวมตัวประสานใจในรูปแบบ “ม็อบ” เพื่อเรียกร้องสิทธิ ความเป็นธรรมกับภาครัฐ แต่ที่ผ่านมา ภาพความสำเร็จอาจจะดูห่างไกลเกินไปสำหรับชุมชนเหล่านี้
ประการสุดท้าย ปัจจัยความสำเร็จของชุมชนแต่ละพื้นที่ อาจจะต้องมีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งต้องยืนอยู่บนรากฐานความเป็นหนึ่งเดียวเสียก่อน ดังโบราณท่านว่า “สามัคคีคือพลัง” แต่กระนั้นก็ยังต้องหวังพึ่งโชคชะตาและโอกาสด้วยเช่นกัน
จุดหมายต่อมาของคณะอนุกรรมการที่ดินฯ คือ เดินทางขึ้นเหนือสู่ “เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย” พบว่าชุมชนไม่ว่าจะภาคเหนือหรือเมืองหลวงล้วนแล้วแต่ประสบปัญหา “ไล่รื้อที่ดิน” ในรูปแบบที่หลากหลาย แต่กระนั้นก็ยังได้พบโอกาสในการแก้วิกฤติครั้งนี้อีกหลายประการเช่นกัน
มหากาพย์บนพื้นที่ 15,000 ไร่
ปัญหาเรื้อรังกว่า 40 ปี เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2509 คณะกรรมการจัดการที่ดินแห่งชาติ มีมติให้กรมที่ดินและจังหวัดลำพูน ดำเนินการจัดที่ดินตามโครงการผืนใหญ่บ้านโฮ่ง – ป่าซาง จังหวัดลำพูน เพื่อจัดสรรที่ดินให้ราษฏรซึ่งไม่มีที่ดินหรือมีที่ดินไม่พอประกอบอาชีพ ตามประมวลกฏหมายที่ดิน โดยขอบเขตทั้งหมดเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าอยู่ในท้องตำบลศรีเตี้ย อำเภอบ้านโฮ่ง และตำบลหนองล่อง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน
ปัญหาเริ่มต้นจากแผนดำเนินการของกรมที่ดินคาดว่าจะจัดสรรแบ่งปันที่ดินให้กับประชากร แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถสร้างพื้นที่ทำกินให้กับชาวบ้าน 926 ครอบครัวได้สำเร็จ เพราะผู้ถือใบจองซึ่งได้รับจากการจัดสรรที่ดินนั้นไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้จริง ด้วยเหตุผลนานาประการ ไม่ว่าจะเป็นสภาพที่ดินไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะเพาะปลูก บ้างก็ไม่ทราบเขตแนวที่แน่นอน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่มาชี้แปลงให้ บ้างก็ได้รับใบจองทับพื้นที่ที่มีเจ้าของอยู่แล้ว หรือแม้แต่พื้นที่บางส่วนได้ตกอยู่ในโครงการพัฒนาเบ็ดเสร็จลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำปิงตามพระราชดำริ
เมื่อเกิดความสับสนอลหม่าน ราชการจึงเพิกถอนใบจองทั้งหมด จนกระทั่งปี 2533 ดำเนินการรังวัดพื้นที่บริเวณดังกล่าวใหม่อีกครั้ง เพื่อดำเนินโครงการเร่งรัดสำรวจออกโฉนดที่ดิน ซึ่งคนที่ได้โฉนดที่ดินครั้งนี้ แทนที่จะเป็นชาวบ้านจากโครงการเดิม แต่กลับเปลี่ยนโฉมหน้าเป็นนายทุน โดยระบุใส่ชื่อชาวบ้านเข้าไปในโฉนดที่ดิน ซึ่งภายหลังมีการโอนสิทธิกลับคืนนายทุนทั้งหมด
แต่กลุ่มก้อนนายทุน ก็ปล่อยที่ดินทิ้งร้างไม่ทำประโยชน์ใดๆ จนกระทั่งชาวบ้านเริ่มต้นเข้าบุกเบิกจึงเกิดข้อขัดแย้งขึ้น
ภายหลังพบว่าโฉนดที่ดินบางฉบับถูกสร้างเอกสารเท็จประกอบ อย่างเช่น ซื้อขายที่ดินจากนายปวน โปธาพันธ์ ทั้งที่นายปวนตายไปแล้วตั้งแต่ปี 2502 บ้างอ้างว่าซื้อจากผู้ครอบครองที่ดินตั้งแต่อายุ 3 ขวบ หรือแม้กระทั่งการซื้อที่ดินจากคนที่ครอบครองเมื่อปี 2493 แต่ผู้ครอบครองพึ่งเกิดเมื่อปี 2497 และอีกหลายกรณีอ้างชื่อบุคคลไม่มีตัวตนอยู่ในหมู่บ้านเจ้าของที่ดินเดิม
ทั้งนี้การออกโฉนดที่ดินได้กระทำอย่างเป็นขบวนการ เริ่มจากนายหน้าค้าที่ดิน ทำหน้าที่กว้านซื้อที่ จากผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ที่ทำหน้าที่ปิดประกาศรังวัด ประกาศแจก และนำชี้แนวเขตที่ดิน ไม่มีการกระทำอย่างจริงจัง คือไม่มีประกาศจังหวัดกำหนดท้องที่ตำบอลออกโฉนดท้องถิ่น เพราะไม่มีชาวบ้านรับรู้หรือเห็นประกาศนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ การออกโฉนดที่ดินในเขตโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่บ้านโฮ่ง – ป่าซาง (หนองปลาสวาย) ส่อแววไม่ชอบด้วยกฏหมายและขาดความชอบธรรม ซึ่งทำให้โครงการออกโฉนดที่ดินด้วยวิธีการเดินสำรวจนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เหลือเพียงนายทุนเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่ถือครองที่ดินเนื้อที่ 15,000 ไร่ ตราบทุกวันนี้
ถัดมาเมื่อปี 2542 ชาวบ้านท่าหลุก อ.เวียงหนองล่อง จ.ลำพูนได้รวมตัวไปเรียกร้องให้ทางราชการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกโดยมิชอบด้วยกฏหมาย แต่ก็มิได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด เพราะราชการเห็นว่าการได้มาซึ่งสิทธิ์ครอบครองของกลุ่มนายทุนนั้นชอบด้วยกฏหมายแล้ว ชาวบ้านจึงเบนเข็มไปชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่เมื่อปี 2542 เพื่อขอความเป็นธรรม จนคณะรัฐมนตรีสมัยนั้นมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีออกโฉนดที่ดินทับที่สาธารณะประโยชน์
แต่การดำเนินการของคณะทำงานก็ไม่มีความก้าวหน้าเท่าที่ควรเนื่องจากฝ่ายราชการอ้างว่ามีภารกิจปกติที่ต้องปฏิบัติเป็นจำนวนมากประกอบกับการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและมีการเลือกตั้งในปลายปี 2543 เรื่องนี้จึงเงียบลง
อีก 2 ปีถัดมา (พ.ศ. 2545) ชาวบ้านที่เข้าร่วมปฏิรูปที่ดินดังกล่าว ถูกนายทุนฟ้องร้องดำเนินคดีหลังเข้าทำกินในที่ทำกินเดิมเพียง 4 วัน ชาวบ้านท่าหลุกถูกฟ้องทั้งหมด 21 ราย ฐานความผิดร่วมกันบุกรุกยึดถือครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น
ซึ่งศาลอุทรณ์ตัดสินจำคุกจำเลยทั้งหมดคนละ 6 เดือน พร้อมทั้งมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งหมดเนื่องจาก “ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี”
ด้านกรรมการปฏิรูปอย่างดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ เล่าให้ฟังว่า สภาพชาวบ้านที่ถูกคุมขังบางคนอายุ 81 ปี ป่วยด้วยโรคชราบ้าง โรคมะเร็งบ้าง ต้องไปนอนกินยาอยู่ในสถานพยาบาลในคุก บางคนอายุ 40 กว่าปีต้องหาเลี้ยงครอบครัวคนเดียว คนเหล่านี้เมื่อเห็นพื้นที่ทิ้งร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์มา 20 – 30 ปี จึงเข้าไปประกอบอาชีพสุจริต พวกเขาไม่ใช่ฆาตกร ซ้ำยังดูแลฐานทรัพยากรป่าไม้ให้คงอยู่ รัฐไม่ควรตอบแทนผู้ที่ดูแลแผ่นดินด้วยการจับกุมเขา
“ถ้าเป็นคนไทยอยู่ร่วมประเทศเดียวกัน น่าจะมีการจัดแบ่งที่ดินอย่างทั่วถึง เราไม่น่าจะปล่อยให้เกิดความเหลื่อมล้ำขนาดนี้ หากมีการปล่อยปะละเลยไปเรื่อยๆ สุดท้ายประชาชนก็เป็นศัตรูกับรัฐ” นางสมปอง เวียงจันทร์ หนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูป บอกให้ฟังก่อนที่จะพูดแทนเสียงชาวบ้าน ว่า หลายคนเสนอให้ช่วยชะลอโทษไว้ก่อน เพราะยังมีความคลุมเครืออยู่มาก เช่น เรื่องการรับเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ ซึ่งทางคณะอนุกรรมการฯ จะรับเรื่องไปตรวจสอบ พร้อมทั้งจะเสนอต่อคณะกรรมการชุดใหญ่ เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการรับข้อมูลร้องทุกข์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างด้านที่ดิน เพราะที่ผ่านมาสังคมโยนเรื่องไปให้กรมป่าไม้ทำ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกันมากนัก
พลิกวิกฤต “ขัดแย้ง” สู่โอกาส “โฉนดชุมชน”
ในขณะที่ชาวบ้านจำนวน 47 รายของบ้านพรสวรรค์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ก็กำลังประสบปัญหาเช่นกัน หลังจากที่ย้ายเข้าทำกินในพื้นที่บริเวณป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมตั้งแต่ปี 2529 ทั้งที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ดำเนินการตามกฏระเบียบแบบแผนทางกฏหมายทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นยื่นหนังสือขอใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามมาตรา 16 แห่ง พรบ.ป่าสงวนฯ พ.ศ. 2507 ซึ่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้มีมติให้ราษฎรไปยื่นคำขอใช้ประโยชน์ในที่ดินสำนักงานป่าไม้อำเภอจอมทอง โดยเสียเงินค่ามัดจำ ค่าธรรมเนียมหนังสืออนุญาตเข้าทำประโยชน์แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
วันเวลาผ่านไปชาวบ้านอีกหลายกลุ่มพยายามเข้าไปบุกเบิกและตัดไม้ในบริเวณใกล้เคียง จึงก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างบุคคลหลายฝ่าย ทำให้กลุ่มชาวบ้าน 40 รายของบ้านพรสวรรค์ถูกจับกุมไปด้วย ในข้อหาบุกรุก ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดฟันโค่นต้นไม้ในป่าจอมทอง พร้อมมีคำสั่งบังคับคดีให้ออกจากพื้นที่
ภายหลังชาวบ้าน 40 ราย ถูกพิพากษาให้มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ ทางกรมป่าไม้ยังได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับชาวบ้านอีกรายละ 150,000 - 500,000 บาท โดยเจรจาและตกลงให้ชดเชยโดยการทำงานภายใต้โครงการปลูกป่าของกรมป่าไม้ในพื้นที่ และใช้วิธีหักลดค่าเสียหายเป็นรายวัน
ล่าสุด 7 ตุลาคม 2553 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ยื่นมือเข้าช่วยไกล่เกลี่ยปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อพิจารณานำพื้นที่นี้เข้าสู่การแก้ไขปัญหาตามแนวทางโฉนดชุมชน ภายใต้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน 2553 ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาแก้ไขปัญหาและมีการเสนอให้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลเรื่องโฉนดชุมชน
แบบอย่างความสำเร็จที่ “ปกาเกอญอ”
ชาวปกาเกอญอบ้านแม่หมี อ.เมืองปาน จ.ลำปาง อาศัยที่ดินทำกินนี้ตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ซึ่งภายหลังบริเวณดังกล่าวได้ถูกประกาศให้เป็นเขตป่า กลุ่มชาวบ้านจึงมีการรวมตัวกันเคลื่อนไหว เพื่อเรียกร้องสิทธิ ด้วยวิธีการเผยแพร่ความรู้การจัดการทรัพยากรแก่สาธารณะ รวมถึงเข้าร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรภาคเหนือ และสมัชชาคนจน เพื่อให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา
แต่ท้ายที่สุดปัญหาก็ยังวงเวียนอยู่ที่เดิม เพราะรัฐยังคงไม่เชื่อมั่นการจัดการของชาวบ้านเช่นเคย
เมื่อความพยายามผลักดันทางนโยบายระดับบนไม่สำเร็จ ชาวปกาเกอญอจึงหันมาเคลื่อนไหวกับกลุ่มคนระดับชุมชน ด้วยการทำแผนที่ชุมชน 1 : 4,000 เพื่อประกอบการออกโฉนดชุมชน ตลอดจนประสานความร่วมมือกับองค์กรภาคีหลายฝ่าย ให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเข้ามารับรองการทำข้อมูล และผลักดันให้ออกเป็นเทศบัญญัติของท้องถิ่นต่อไป
ในขณะที่คนเหล่านี้ก็ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเองเพื่อความถูกต้องตามกฏหมายเช่นกัน โดยหันมาทำไร่หมุนเวียนบนพื้นที่เหมาะสม ปลูกไม้ยืนต้น ผลไม้พันธุ์เมืองในเขตพื้นที่ลาดชันเดิม เมื่อมีปัญหากับเจ้าหน้าที่อุทยาน เช่น ข้อหาบุกรุกแผ้วถางป่าก็จะนำแผนที่และข้อมูลของชุมชนมาเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งสุดท้ายก็นำมาสู่การมีกรรมสิทธิ์ในป่าไม้ที่ดินของชุมชน
นายบัณฑร อ่อนดำ กรรมการปฏิรูป พูดถึงแนวคิดที่จะนำชุมชนปกาเกอญอมาเป็นชุมชนนำร่องในการปฏิรูปที่ดิน ว่า ชุมชนปกาเกอญอมีการจัดการชุมชนด้วยตนเอง แบ่งปันการใช้ประโยชน์ที่ดิน ประเด็นพวกนี้จะนำไปสู่เรื่องที่ใหญ่ที่สุดอย่าง โฉนดชุมชนซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ต้องกลับไปศึกษากันอีกทีว่า โฉนดชุมชนในความต้องการของประชาชนมีความแตกต่างกันกับนโยบายของภาครัฐบาลมากน้อยเพียงใด
“ที่เราต้องช่วยชาวบ้านในกรณีบุกรุกที่ดินอย่างเร่งด่วนนั้น เพราะคนเหล่านี้เป็นคนยากจน ซึ่งมีพื้นที่ทำกินอยู่ผืนเดียว ถูกยึดไปก็หมดหนทางในการดำรงชีวิตอยู่ หากเราไม่แก้ไขโดยด่วน กลัวว่าชาวบ้านเจ้าของพื้นที่คงต้องตายกันเสียก่อนกว่าจะได้กรรมสิทธิ์ที่ดินคืน”
ความสำเร็จของชุมชนไม่ได้มาจากการประทานพรบนฟากฟ้า แต่ต้องประกอบไปด้วยการวิเคราะห์ปัญหาเพื่อสร้างความชัดเจนทางความคิดร่วมกัน การตั้งคณะทำงานร่วมโดยมีข้าราชการ องค์กรพัฒนาเอกชน การรวบรวมข้อมูลเดินสำรวจปักหมุด และการจัดทำระเบียบข้อตกลงการใช้ที่ดินแต่ละประเภทต่อเสนอต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำฯ อบต. หน่วยงานราชการ เอกชน เพื่อพิจารณาข้อตกลงร่วมกัน
ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างชุมชนมิอาจนั่งรอคอยความหวังอย่างเดียวจากภาครัฐ แต่ชุมชนเองต้องผนึกกำลังร่วมกันเริ่มต้นต่อสู้บนแนวทางที่ถูกต้อง เช่น การกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ในเรื่องของประเภทที่ดิน การใช้ประโยชน์ หรือแม้กระทั่งการกำหนดรูปแบบการรับรองสิทธิ์เบื้องต้น อย่างไรก็ตาม “โฉนดชุมชน” อาจเป็นเครื่องมือหนึ่งในการจัดการที่ดินโดยชุมชน มีเป้าหมายเพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการป่าไม้ที่ดินได้อย่างเป็นธรรม