- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- "ค้นปม" ความไม่เป็นธรรม… ใครทำ ?
"ค้นปม" ความไม่เป็นธรรม… ใครทำ ?
ปัญหาวิกฤติต่างๆ ที่ผุดขึ้นในสังคมไทย ปฏิเสธไม่ได้ว่า ล้วนแล้วแต่มีสาเหตุมาจากความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกระจายรายได้ การจัดสรรทรัพยากร ที่ดิน ที่อยู่อาศัย กระจุกตัวอยู่กับคนส่วนน้อย ในขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศมีฐานะยากจน ไร้ที่ดินทำกิน แถมยังขาดโอกาสทางการศึกษา
จน ณ เวลานี้ คำธรรมดาๆ สามัญ “ความเป็นธรรม” กำลังถูกหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นถกเถียงกันในวงกว้าง
เสียงเพรียกหาความเป็นธรรมบวกกับอีกหนึ่งความพยายามคลี่ปมให้สอดรับกับสาเหตุของปัญหา งานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 ตลอด 3 วันปีนี้ ก็ได้ชูธงการขับเคลื่อน "ร่วมฝ่าวิกฤติความไม่เป็นธรรม นำสังคมสู่สุขภาวะ” มุ่งหมายเพียงถมช่องว่างในสังคม ด้วยการเริ่มต้นตั้งคำถามว่า
...ความไม่เป็นธรรม ใครทำ?
ระบบงานยุติธรรมแปลกแยกจากวิถีชีวิต
บนหลักคิดที่ต้องการให้หลายภาคส่วนได้ร่วมกันคิด ร่วมทำ ร่วมสร้างสรรค์นโยบายสาธารณะร่วมกัน หนึ่งในนักกฎหมายหัวก้าวหน้ากระทรวงยุติธรรม อย่างนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ อธิบดีกรมคุมประพฤติ ปัจจุบันกำลังจัดทำยุทธศาสตร์ปฏิรูประบบยุติธรรมอยู่ด้วย เริ่มต้นให้เห็นภาพที่ชัดว่า ความไม่เป็นธรรม ในสังคมไทยเกิดจากอะไร
โดยอรรถาธิบายล้วงไปขุดรากแห่งความไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะ “กฎหมายกับการพัฒนาเรื่องความเป็นธรรม” ก่อนจะค่อยๆ ถอดประสบการณ์จากการไปคลุกคลีกับชาวบ้านจนซึมซับความรู้สึกได้ว่า “ระบบงานยุติธรรมแปลกแยกจากวิถีชีวิต ไม่ได้อยู่ในวัฒนธรรม จารีตประเพณีหรือความเชื่อ เมื่อนึกถึงความเป็นธรรมชาวบ้านจะรู้สึกเข้าไม่ถึง ทำให้นึกถึงตัวแทน ต้องมีทนายความ ระบบราชการ มีตำรวจกับผู้พิพากษา”
แน่นอนว่า เมื่อพูดถึงกฎหมายกับความเป็นธรรม จึงทำให้มองเห็น 2 ส่วนนี้แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง แถมโครงสร้างของ 2 ส่วนนี้ก็ไม่ได้ไปด้วยกันอีกด้วย เรียกได้ว่า ทางใครทางมัน ซึ่งสิ่งที่ประชาชนเรียกร้องเรื่องของความเป็นธรรม กับสิ่งที่นักกฎหมาย ระบบงานยุติธรรมปัจจุบันบอกว่า เป็นธรรมนั้น ก็ยังไม่ตรงและไม่สอดคล้องกันเสียอีก
“คนยังรู้สึกว่า ระบบงานยุติธรรมหรือความเป็นธรรมที่ไขว่คว้านั้น แปลกแยกจากชีวิตเขา” อธิบดีกรมคุมประพฤติ ว่าอย่างนั้น
ยุติธรรมชุมชน มีจิตวิญญาณ แต่ยังอ่อนแอ
ในยุคของความพยายามค้นหารูปแบบและทิศทางของระบบยุติธรรมที่จะกลายเป็นคำตอบใหม่ๆ นั้น การขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมระดับพื้นที่ หรือระบบยุติธรรมชุมชน มีการพูดถึงกันมานาน แต่คนไทยกว่าค่อนประเทศก็ยังไม่เข้าใจ น้อยคนนักจะรู้จัก
อธิบดีชาญเชาวน์ ชี้ให้เห็นภาพว่า รากเหง้ายุติธรรมชุมชนมีอยู่ มีจิตวิญญาณ แต่ยังอ่อนแอ พลังยังน้อยไป เพราะโดยโครงสร้างยังไม่ได้รับการสนับสนุนที่ชัดเจน ชาวบ้านอยากมีกลไก และกระบวนการในการจัดการความขัดแย้งด้วยตัวเองได้ ขอแค่มีพี่เลี้ยง คือระบบราชการ ผู้พิพากษา นักกฎหมาย ตำรวจ คอยอยู่ข้างๆ เช่น เมื่อมีปัญหาเรื่องที่ดิน ชาวบ้านมั่นใจว่า ถ้าไม่ซับซ้อนจนเกินไปนักสามารถแก้ไขเองได้ ขอแค่การสนับสนุนให้กฎหมาย หรือกฎระเบียบเข้ามาเอื้อ
ส่วนใครที่คิดว่า กระบวนการยุติธรรมชุมชนจะเกิดขึ้นได้ ต้องไปฝากความหวังให้ภาครัฐออกกฎหมายมารองรับยุติธรรมชุมชน ก่อนนั้น นายชาญเชาวน์ แสดงความเห็นค้านทันที
“ผมว่า ช้าไป ยุติธรรมชุมชนต้องทะลุทะลวงขึ้นไปเพื่อให้ภาครัฐเหลียวมอง”
อีกทั้งไม่ได้หมายความว่า เมื่อคนในชุมชนดูแลกันเองในเรื่องของความยุติธรรมแล้ว สถานีตำรวจ ศาล ต้องอันตรธานหายไป ความคิดเช่นนี้ อธิบดีกรมคุมประพฤติ มองว่า เป็นแค่ “อุดมคติ” ระบบงานยุติธรรมภาคประชาชน หรือจะเรียกว่า ยุติธรรมชุมชน น่าจะเป็นสิ่งที่คู่ขนานหรืออยู่ร่วมกันกับระบบงานยุติธรรมที่อิงอยู่กับระบบราชการและตัวบทกฎหมายได้ เพราะขณะนี้ โครงสร้าง และความคิดเริ่มมีการพัฒนาไปตามลำดับขั้น
เหนือสิ่งอื่นใด เขายังเห็นด้วยว่า เรื่องความเป็นธรรมต้องคิดใหม่ คิดให้ได้ว่า ความเป็นธรรมเป็นวิถีชีวิต อยู่ในจิตสำนึกของทุกคน และสามารถอยู่ได้ในชีวิตประจำวัน หากเราเชื่อตรงนี้ได้ ตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ หรือนักกฎหมาย ก็สามารถเปลี่ยนแปลงให้กลับมาเข้าใจเรื่องวิถีชีวิตมากขึ้น ที่ขณะนี้แยกกันอยู่
“พูดภาษาเดียวกัน อยู่ในจังหวัดเดียวกัน ตลาดอยู่ล้อมรอบ แต่ความรู้สึกนึกคิดแตกแยกออกจากกัน ทำอย่างไรให้สองส่วนนี้เป็นชุมชนอย่างแท้จริง เหมือนทฤษฎีวาฟเฟิล หรือขนมรังผึ้ง ต้องไฟทั้งบนและล่างเพื่อให้ขนมสุก แต่อยากให้ล่างขึ้นบนมากกว่า บนลงล่างมีความพยายามทำกันอยู่ พูดภาษาเดียวกัน ศัพท์แสงเดียวกัน สิทธิมนุษยชนเหมือนกัน หลักนิติธรรม ประชาธิปไตยเหมือนกัน ภาคประชาชนเป็นใหญ่ หรือใครต้องมาก่อน ศัพท์เดียวกัน แต่ตีความหมายไม่เหมือนกัน ซึ่งจะต้องสร้างวิธีคิดและความหมายเดียวกันก่อน”
ความเป็นธรรมมิใช่หยุดอยู่แค่ศาล ตำรวจ
ส่วนนิยามความเป็นธรรม ทำอย่างไรให้ผู้คนมีความเข้าใจตรงกันนั้น อธิบดีท่านนี้ เห็นว่า ชาวบ้านมีนิยามในใจอยู่แล้ว แม้ส่วนใหญ่เมื่อพูดถึงระบบยุติธรรมจะมองไปที่ตำรวจและผู้พิพากษาเท่านั้น แต่จริงๆ ชาวบ้านมองที่มาของความเป็นธรรม มากกว่าตัวบทกฎหมาย มีเรื่องของความเชื่อ วัฒนธรรม ภูมิปัญญา เข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งเหล่านี้ คือ กฎหมายของชาวบ้าน
“ นิยามความเป็นธรรม เปลี่ยนไป ชาวบ้านไม่มองอยู่แค่ตัวบทกฎหมายแล้ว เขามองว่า ความเป็นธรรมไม่อยู่แค่ศาล ตำรวจ แต่ต้องแทรกไปทุกเรื่องทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง
เช่น ที่เรียกร้องเสมอๆ คือความเป็นธรรมในการได้รับการศึกษา การเรียนหนังสือ ความเป็นธรรมในการขายผลิตผลทางการเกษตร ความเป็นธรรมในการพัฒนาบ้านเมือง ทะเล การทำมาหากิน ประมงพื้นฐาน ชนเผ่า หรือเรื่องป่าชุมชน” สิ่งเหล่านี้ชาวบ้านเรียกหา ความยุติธรรม ที่ท่านชาญเชาวน์ ยืนยันหนักแน่น ไม่ใช่ว่าปลายทาง ต้องขึ้นศาล ดูประมวลกฎหมาย หรือพระราชบัญญัติเพียงอย่างเดียว
“ตัวบทกฎหมายต้องเปลี่ยนวิธีคิดและที่อยู่ใหม่ คนใช้ คนตีความ คนเขียนกฎหมาย ต้องหันมามองชีวิตคนเป็นหลักก่อน การใช้ การตีความจะต้องมองถึงความเป็นจริง มองวิถีชีวิตที่อยู่ปัจจุบัน ถึงจะเกิดความเป็นธรรมขึ้นในความหมายของชาวบ้าน ทำอย่างไรให้สิ่งที่แปลกแยก โน้มเข้ามาหาเขาหน่อย หากทำได้ทั้งหมดนี้ เชื่อว่าจะเกิดความเป็นธรรมทั่วทุกหัวระแหง และทุกประเด็น
ฉะนั้น ท่ามกลางการพยายามเพิ่มความไว้เนื้อเชื่อใจกันนั้น ถึงเวลาที่เราต้องกลับไปที่วิธีคิดแบบพื้นฐานทั้งประเทศ ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ชาวบ้าน โดยยึดวัตถุประสงค์ของระบบงานยุติธรรม มีอยู่ 3 อย่าง คือ 1.การค้นหาความจริง 2.สร้างความเป็นธรรมได้ทุกเรื่อง และ3.ต้องการให้สังคมสันติและสงบสุข
และเมื่อเข้าใจหลักการพื้นฐานสำคัญของกระบวนการยุติธรรมแล้ว ก็มองว่าเป็นกระบวนการทางสังคม มิใช่ต้องมีอำนาจทางกฎหมายแล้วจะหาความเป็นธรรมได้ หรือต้องผ่านกระบวนการ มีแบบพิธี พูดภาษาไม่เหมือนชาวบ้านพูดแล้วจึงจะหาความเป็นธรรมได้” อธิบดีกรมคุมประพฤติ สรุปทิ้งท้าย
รากเหง้าความไม่เป็นธรรม..จากภาคประชาชน
หากจะกล่าวถึง “ราก” ปัญหาความไม่เป็นธรรม ในมุมของภาคประชาชน อยู่ตรงไหน จนทำให้ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้
“กระรอก” กรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยานายเจริญ วัดอักษร ประธานกลุ่มรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำโดยไม่ลังเล ว่า เป็นเรื่องของโครงสร้างและนโยบาย
“เราต่อสู้เรื่องสิ่งแวดล้อมจริง ๆ คือผล ซึ่ง 10 กว่าปีที่ผ่านมา เรากำลังต่อสู้กับการคัดง้างทิศทางการสร้างเศรษฐกิจชาติที่เอา จีดีพีเป็นตัวตั้ง หลายคนตั้งคำถาม บ่อนอก บ้านกูด จบแล้ว แต่ทำไมยังใส่เสื้อสีเขียวอยู่ ทำไมยังต้องคัดค้าน
เอาเข้าจริงๆ โรงไฟฟ้า เป็นแค่โครงสร้างพื้นฐานในการเตรียมการรองรับให้เป็นเมืองอุตสาหกรรม ที่ดูเหมือนยกเลิกไปแล้ว พบว่า ในพื้นที่ทับสะแก กฟฝ.ได้ซื้อที่ไปแล้ว 4 พันกว่าไร่ กำลังสร้างโรงไฟฟ้าขึ้นมา 4 พันเมกกะวัตต์ โดยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถูกกำหนดให้เป็นเมืองอุตสาหกรรม มีอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ นำร่อง ภายใต้แผนพัฒนาเซาท์เทิร์นซีบอร์ด”
คำบอกเล่าถึงการต่อสู้เรื่องความเป็นธรรม ที่ตัวเธอเองไม่เพียงแต่สูญเสีย “เจริญ” สามีอันเป็นที่รักเท่านั้น ยังมีของแถมที่ได้จากการต่อสู้ ไล่ตามมาด้วยการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาอีกมากมาย ไหนจะเจอแรงเสียดทาน โดนข่มขู่และถูกคุกคาม ผู้หญิงเฉกเช่น “กระรอก” ก็ไม่ท้อ พร้อมบอกเล่าถึงสิ่งที่พวกเธอยึดเหนี่ยวมาโดยตลอด จนนำสู่ชัยชนะและสำเร็จไปได้ระดับหนึ่ง
“1.คงไม่มีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วย 2.คงไม่มีทางลัดทางเบี่ยง 3. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่มาดลบันดาลอะไรให้ได้ หากอยากได้การเปลี่ยนแปลง อยากได้ความเป็นธรรม เราต้องลงมือทำ ต้องช่วยกัน”
เธอแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกว่า ประเทศต้องพัฒนาและก้าวหน้า เราไม่ค้านแบบหัวชนฝาหรือค้านการพัฒนา โลกหมุนไปข้างหน้าการพัฒนาต้องเกิด แต่พัฒนาอย่างไรให้เป็นธรรมและยั่งยืน
“การถูกตราหน้าว่า ถ่วงความเจริญของประเทศทำลายประเทศชาติ คำเหล่านี้ทำให้รู้สึกชาชินแล้ว เพราะคำว่าชาติ ของคุณกับเรานิยมไม่ตรงกัน ชาติของคุณ คือคนไม่กี่ตระกูล ไม่กี่นามสกุล แต่ชาติของเรา คือประชาชนโดยรวม คือคนเล็กคนน้อย ทิศทางการสร้างเศรษฐกิจจึงเป็นตัวการในการสร้างปัญหาใหญ่ เรื่องความเหลื่อมล้ำและความยากจน
จีดีพีเป็นปัญหาสำหรับพวกเรา ถามว่าจีดีพีแบบพวกเรามีไหม มี มีรายได้จากการทำไร่ ทำสวน ประมง เกษตรกรรม การท่องเที่ยว แต่ทำไมถูกมองข้าม เพราะจีดีพีเน้นเฉพาะเรื่องของรายได้ การลงทุน การส่งออกเป็นสำคัญ”
ถมช่องว่างความไม่เป็นธรรมในสังคม
ขณะที่ “เครือข่ายถมช่องว่างในสังคม” ถือเป็นอีกหนึ่งเครือข่ายที่พยายามหาทางเยียวยาสังคมให้ถูกกับอาการ เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของ 5 องค์กร คือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ,สำนักงานวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) มีนพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อดีตอธิบดีกรมอนามัย นั่งเป็นประธานฯ
ประธานเครือข่ายถมช่องว่างในสังคม เล่าถึงหลักการทำงานให้ฟังว่า เครือข่ายนี้รวมตัวกันทำงานในลักษณะ 3 เหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ไปแสวงหาความรู้ และข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่การสื่อสารให้สังคม รับรู้ เช่น เรื่องแรงงานนอกระบบ ค้นหาข้อเท็จจริงให้ได้ว่า เกิดความไม่เป็นธรรม แรงงานนอกระบบถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างไรบ้าง หรือเรื่องข้าวมีระบบผูกขาด เรื่องที่ดิน ผู้หญิง อนามัยเจริญพันธุ์ เป็นต้น
จากนั้นถึงจะมีการสื่อสารกับสังคมในรูปแบบต่างๆ จนนำไปสู่ข้อเสนอเพื่อผลักดันเป็นนโยบายสาธารณะ ที่อยู่บนรากฐานของปัญญา
จะเห็นได้ว่า ภารกิจที่ยากยังคงต้องการการสังเคราะห์ในทุกแง่มุมเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดยิ่งขึ้นไปอีกว่า ประเทศไทยติดหล่มความไม่เป็นธรรมตรงจุดไหนบ้าง หรือยังมีกลุ่มคนที่ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม มากน้อยขนาดไหน...ในสังคมไทย