- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- “สวัสดิการชุมชน” หนึ่งช่องทางรัฐนาวาอภิสิทธิ์ก้าวสู่ระบบ ‘สังคมสวัสดิการ’
“สวัสดิการชุมชน” หนึ่งช่องทางรัฐนาวาอภิสิทธิ์ก้าวสู่ระบบ ‘สังคมสวัสดิการ’
ท่ามกลางความกดดันจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา หนึ่งสัปดาห์ก่อนข้ามปี รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงผลการดำเนินงาน ภายใต้ชื่องาน "12 เดือนรัฐบาลกว่า 60 ล้านความสุขของคนไทย" นอกจากเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นคง สังคมแล้ว หลายคนเกิดคำถามรัฐบาลทำอะไรบ้างในเรื่องสวัสดิการของประชาชนที่เกิดขึ้นตลอดปีที่ผ่านมา ท่ามกลางความวิตกกังวลว่ารัฐบาลจะมุ่งเน้นไปกระตุ้นเศรษฐกิจ จนไม่มีเงินสำหรับที่จะช่วยเหลือประชาชน
นายกรัฐมนตรี ชี้แจงสิ่งที่รัฐบาลทำตลอด 1 ปีที่ผ่านมาว่า ได้ยึดแนวคิดประชาชนต้องมาก่อน เรื่องสวัสดิการของประชาชนที่เกิดขึ้นครอบคลุมตั้งแต่เด็กเล็กมีการลงทุนศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ขยายนมโรงเรียนเรียนฟรี 15 ปี ขยายเงินกองทุนกู้เงินเพื่อการศึกษา มีการเพิ่มบริการลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง ทั้งเรื่องอุปกรณ์การเรียน เครื่องแบบ ไปจนถึงเรื่องของการติว จัดให้มีช่องพิเศษ ติวเตอร์ ชาแนล เป็นต้น
สำหรับนโยบายที่รัฐบาลริเริ่มเป็นครั้งแรก มีตั้งแต่ผู้สูงอายุได้รับเบี้ยยังชีพทุกคนเป็นครั้งแรก อสม. ได้เงินตอบแทนเป็นครั้งแรก เบี้ยคนพิการขึ้นทะเบียนแล้วเดือนเมษายนปีหน้าได้ครบทุกคนเป็นครั้งแรก ขณะที่สถานีอนามัยกำลังถูกยกระดับขึ้นมาเป็นโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพระดับตำบล องค์กรในชุมชนซึ่งเคยมีระบบสวัสดิการอยู่ก่อน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2553 รัฐบาลจะโอนเงินเข้าไปสมทบเพื่อขยายไปยังทั่วประเทศครั้งแรก
มาถึงเรื่องประกันสังคม คนที่ไม่ได้เป็นแรงงานในระบบเดิมต้องเสียเงินเป็นรายปี รัฐบาลก็กำลังเปิดโอกาสให้สามารถที่จะสมทบเงินเป็นรายเดือนได้ เพิ่มสิทธิประโยชน์อีก 2 อย่าง ขณะที่คนไม่มีที่ทำกินหลายพื้นที่กำลังเข้าสู่ระบบของโฉนดชุมชน คนไม่มีที่อยู่อาศัยในเมืองหลายคนขณะนี้กำลังได้ประโยชน์จากโครงการบ้านมั่นคง ประชาชนซึ่งเคยมีปัญหาข้อขัดแย้งกับรัฐเรื่องที่ทำกิน เรื่องค่าชดเชย หลายกลุ่มปัญหายืดเยื้อมาเป็น 10 ปี ยุติในรัฐบาลนี้ เช่นกรณีของสมัชชาคนจน ราษีไศล
ส่วนระบบสวัสดิการที่มีอยู่เดิม เช่น ระบบประกันสุขภาพที่ค่าใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มขึ้น รัฐบาลได้ดูแลไม่ให้ได้ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ลูกจ้างประจำได้บำนาญเป็นครั้งแรก รวมทั้งมีการออกมาตรการภาษีเพื่อช่วยคนที่ได้รับประโยชน์จาก กบข. จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ มั่นใจว่า ไทยกำลังก้าวพ้นประชานิยม สู่ระบบสวัสดิการที่แท้จริงที่เป็นเรื่องของสิทธิ ไม่ใช่การสงเคราะห์จากรัฐบาลอีกต่อไป โดยนโยบายที่รัฐบาลได้ริเริ่มเป็นนโยบายที่อยู่บนหลักคิดเรื่องการสร้างสวัสดิการ การสร้างหลักประกันคือ โครงการประกันรายได้ให้เกษตรกร เพื่อแก้ปัญหาผลผลิตที่ออกมาราคาตกต่ำ ทั้งในเรื่องข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ที่ครอบคลุมประมาณ 4 ล้านครอบครัวทั่วประเทศ เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ จนประสบความสำเร็จแล้ว
“นโยบายที่รัฐบาลได้ริเริ่มและเป็นนโยบายที่มีผลกระทบกับคนมากที่สุด อยู่บนหลักคิดเรื่องการสร้างสวัสดิการ การสร้างหลักประกันก็คือ โครงการประกันรายได้ให้เกษตรกร เป็นการพลิกโฉมเรื่องของการเกษตรและการแทรกแซงจากภาครัฐโดยสิ้นเชิง” นายกรัฐมนตรี กล่าว และเห็นว่า ในอดีตเราไล่ตามแก้ปัญหาของเกษตรกร คือรอผลผลิตออกมา รอราคาตกต่ำแล้ววิ่งเข้าไปแทรกแซง รับซื้อบ้าง จำนำบ้าง ฝืนกลไกตลาด เกิดปัญหาการทุจริต เป็นภาระการบริหาร เป็นเรื่องของการเก็บ การระบายสินค้า ปัจจุบันรัฐบาลได้เปลี่ยนแนวทางโดยการสร้างหลักประกันให้เกษตรกร ทำการเกษตรแล้วไม่ขาดทุน นี่คือรูปธรรมที่รัฐบาลได้คิดริเริ่มนโยบายที่ส่งผลชัดเจนต่อคนกลุ่มใหญ่ที่สุดของประเทศ
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน “สวัสดิการชุมชน” เป็นอีกนโยบายหนึ่งของรัฐบาลที่เห็นเป็นรูปธรรม ผู้ที่มีส่วนช่วยผลักดัน นายสมพร ใช้บางยาง รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ฐานะประธานคณะอนุกรรมการสนับสนุนการจัดสวัสดิการชุมชน ให้สัมภาษณ์ในเวที "เครือข่ายสถาบันทางปัญญา" ถึงเรื่องดังกล่าวว่า ในเชิงนโยบายนั้นได้ทำผ่านทางคณะกรรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแห่งชาติจนได้เป็นนโยบายและนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีจนกระทั่งได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการที่เสนอว่า ภาครัฐควรเข้าไปสนับสนุนภาคประชาชนที่ได้ริเริ่มและมีความเข้มแข็งอยู่แล้ว จึงไปต่อยอดในส่วนนั้นและทำงานร่วมกัน
“ได้มีการตั้งงบประมาณเพื่อสนับสนุนไว้ 3,000 กว่าแห่ง ในขณะเดียวกันยังเพิ่มในส่วนที่ตำบลอื่นๆ 2,000 กว่าตำบลในปีนี้ และจะขยายให้ครบ 8,000 กว่าตำบลชุมชน ทั้งในชุมชนเมืองและเขตเทศบาลที่เป็นชุมชนเมืองทั่วประเทศภายใน 3 -5 ปี ถือเป็นเชิงนโยบายที่ได้ทำอย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจนแล้ว ทั้งนี้ในส่วนการทำงานที่ภาคประชาชนได้ดำเนินการมาก่อนนั้น เมื่อทั้งภาครัฐ ท้องถิ่นได้เข้าไปสนับสนุนจะทำให้เกิดความร่วมมือที่ดีมากยิ่งขึ้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการขับเคลื่อนที่จะให้งบประมาณที่ได้รับไปสู่ภาค ประชาชน”รองปลัด ก.มหาดไทย กล่าว
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า หลังจากที่ได้วางแผนในเบื้องต้นและประกาศเป็นวาระแห่งชาติ มีงบประมาณไปสนับสนุนท้องถิ่น ภาคประชาชนมีความเข้าใจแล้ว ก้าวต่อไปต้องดูกันต่อว่าจะมีการสร้างสวัสดิการชุมชนในส่วนที่ยังไม่แน่ใจ ว่าจะยั่งยืนต่อไปอย่างไร ตอนนี้กำลังมีการปรึกษากำหนดวางแผนเรื่องสวัสดิการชุมชนเพื่อให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนในอนาคต
“ขณะนี้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ประชาชน ท้องถิ่นหรือแม้ส่วนที่รับผิดชอบเรื่องนี้อย่างกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ต่างมีความเข้าใจและพร้อมที่จะขับเคลื่อนไปด้วยกัน สำหรับปัญหาและอุปสรรคเกิดบ้างในระยะแรก เช่น เรื่องของการทำความเข้าใจกับกองทุนต่างๆ ทั้งกองทุนที่ได้ดำเนินการไปแล้วและกองทุนที่กำลังจะดำเนินการ เรื่องของหลักเกณฑ์ต่างๆที่กำหนดขึ้น รวมถึงการทำความเข้าใจปรับวิธีของภาครัฐที่ยังมีการยึดติดระเบียบของความ เป็นราชการ ฉะนั้น ภาครัฐต้องมองเรื่องของสวัสดิการชุมชนต้องให้ชาวบ้านเป็นพระเอก ภาครัฐท้องถิ่นและภาคส่วนอื่นๆเป็นเพียงผู้สนับสนุนส่งเสริม ถ้าปรับตรงนี้ได้ก็จะเกิดความเข้าใจที่ตรงกันมากขึ้นและจะเป็นผลดีสำหรับผู้ปฏิบัติ"