- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- เปิด...กระบวนการภาคประชาชน กว่าจะเป็นร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม (ฉบับบูรณาการแรงงาน)
เปิด...กระบวนการภาคประชาชน กว่าจะเป็นร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม (ฉบับบูรณาการแรงงาน)
ความพยายามของภาคประชาชนที่จะผลักดันให้มีการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกันคม ที่ปัจจุบันมาแล้ว 20 ปี เริ่มปรากฎเป็นข่าวอยู่ในกระแสสังคมขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่เรื่องนี้ห่างหายไปนาน โดยเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และแผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดแถลงข่าวเปิดตัว “ร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม (ฉบับที่...) พ.ศ....(ฉบับบูรณาการแรงงาน)” ขึ้นที่โรงแรมอิสติน ย่านมักกะสัน
การยกร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฯ ฉบับบูรณาการแรงงานนี้ เกิดขึ้นจากการหารือร่วมกันของตัวแทนจากหลายภาคส่วน ประกอบด้วย คสรท. ผู้นำเครือข่ายแรงงานนอกระบบ เครือข่ายปฏิบัติการเพื่อแรงงานข้ามชาติ องค์กรพัฒนาเอกชนด้านแรงงาน นักกฎหมาย และแผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน สสส.ที่เห็นว่าร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฯ ฉบับรัฐบาล ที่กระทรวงแรงงานเสนอไว้นั้น ยังขาดสาระสำคัญอีกหลายประการที่จะคุ้มครองผู้ใช้แรงงาน เช่น นิยามคำว่า “ลูกจ้าง” ที่ยังไม่ครอบคลุมกลุ่มแรงงานนอกระบบและกลุ่มแรงงานข้ามชาติ, โครงสร้างการบริหารจัดการสำนักงานประกันสังคม, การให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตน เป็นต้น
จากการหารือร่วมกันของตัวแทนจากหลายภาคส่วน พบว่า ประเด็นปัญหาหลักที่ต้องมีการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฯ ฉบับบูรณาการแรงงาน ประกอบด้วยเรื่องสำคัญถึง 8 ประเด็น ได้แก่
1.ที่มาของคณะกรรมการประกันสังคมซึ่งมี 3 ฝ่าย คือ รัฐ/นายจ้าง/ลูกจ้างโดยเฉพาะฝ่ายลูกจ้างซึ่งจะเป็นคนเดิมๆ ประกอบกับผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งคณะกรรมการก็มีเพียงองค์กรสหภาพแรงงานเท่านั้น ซึ่งเป็นเพียงส่วนน้อย เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ประกันตนประมาณกว่า 9 ล้านคน
2.จำนวนเงินของกองทุนประกันสังคมมีเป็นจำนวนมากในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะด้านการเงินและการประสานความร่วมมือกับกระทรวงอื่นๆ เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแนวนโยบายได้สำเร็จ จึงให้เปลี่ยนตำแหน่งของผู้ที่จะเป็นประธานกรรมการ
3.การดำเนินการภายในสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เลขาธิการ สปส.มีอำนาจในการบริหารจัดการ ทำให้บทบาทของคณะกรรมการไม่สามารถบริหารจัดการให้เป็นไปตามแนวนโยบายได้ จึงเพิ่มอำนาจให้คณะกรรมการสามารถควบคุมบริหารสั่งการ ให้เลขาธิการ สปส.ปฏิบัติตามคำสั่ง
4.เมื่อผู้ประกันตนพ้นสภาพการเป็นลูกจ้างก็จะไม่มีรายได้ในการยังชีพของลูกจ้างไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจึงให้ขยายความคุ้มครองลูกจ้างเพิ่มขึ้น
5.ผู้ที่เคยเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 และยังไม่สามารถหางานใหม่ จะขาดรายได้เมื่อจะสมัครเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา 39 ซึ่งก็ต้องจ่ายเงินสมทบเป็นสองเท่า รัฐออก 1 เท่า ในขณะที่ลูกจ้างตกงานไม่มีรายได้ เป็นการเพิ่มภาระให้ผู้ประสงค์จะประกันตน
6.กรณีนายจ้างหักเงินค่าจ้างเพื่อนำส่งเงินสมทบประกันสังคม รวมทั้งเงินสมทบฝ่ายนายจ้าง แต่ไม่นำส่งหรือนำส่งไม่ครบจำนวน ทำให้ผู้ประกันตนมีปัญหาในกรณีประสงค์จะใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ต้องร้องเรียน หรือฟ้องร้องไม่สามารถใช้สิทธิได้ทันทีตามที่ควรจะเป็น และบางคนไม่ได้ดำเนินการใดๆ ทำให้ไม่ได้รับสิทธิ นายจ้างต้องรับผิดชอบในปัญหาที่เกิดขึ้น
7.การใช้บริการทางการแพทย์สามารถใช้ได้เฉพาะสถานพยาบาลตามสิทธิเท่านั้น ยกเว้นกรณีฉุกเฉินจำเป็น ทำให้ผู้ประกันตนไม่ได้รับการบริการทางการแพทย์อย่างดีเท่าที่ควรและไม่ได้รับความสะดวก
8.การประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยไม่สามารถใช้บริการทางการแพทย์ได้ ต้องเป็นผู้ประกันตนแล้วอย่างน้อย 3 เดือน หากในระหว่างครบกำหนด 3 เดือน เกิดประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยทำให้ลูกจ้างผู้ประกันตนต้องรับภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ เอง
สำหรับทีมนักกฎหมายที่ทำหน้าที่ยกร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฯ ฉบับนี้ ได้แก่ นายบัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒิ นายตุลา ปัจฉิมเวช นายชฤทธิ์ มีสิทธิ์ และนายจตุพล หวังสู่วัฒนา โดยเป็นการนำร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม ฉบับบูรณาการของ คสรท., การศึกษาวิจัยของ ศ.สมคิด เลิศไพฑูรย์, ร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม ของคณะทำงานยุทธศาสตร์วิชาการ กระทรวงแรงงาน, ร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม (ฉบับที่...) พ.ศ....ที่ผ่านมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2552, พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533, ข้อเสนอจากขบวนการแรงงาน และรายงานการวิจัยของนักวิชาการ มาเป็นแนวทางประกอบการพิจารณายกร่าง
การประชุมคณะทำงาน เพื่อจัดทำร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฯ ฉบับบูรณาการ จึงเริ่มขึ้นในปี 2552 นับตั้งแต่วันที่ 19, 29 กันยายน วันที่ 6, 13 และ 26 ตุลาคม วันที่ 5, 13 พฤศจิกายน และวันที่ 5 ธันวาคม รวม 8 ครั้ง จากนั้นในปี 2553 มีการนำร่าง พ.ร.บ.ออกไปเดินสายสร้างความเข้าใจในกลุ่มผู้นำแรงงานกลุ่มต่างๆ และเปิดให้ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีบทบาทในเชิงนโยบายเข้าร่วมวิพากษ์วิจารณ์และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม อีก 5 ครั้ง คือ ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ วันที่ 17 มีนาคม วันที่ 26 เมษายน วันที่ 23 มิถุนายน และวันที่ 30 สิงหาคม ทำให้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ถือเป็นร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฯ ฉบับที่ค่อนข้างสมบูรณ์มากที่สุดอีกฉบับหนึ่ง ที่ภาคประชาชนหวังว่าจะนำไปเสนอต่อสภาฯ เพื่อให้พิจารณาควบคู่กับร่าง พ.ร.บ.ฉบับของรัฐบาล
สำหรับเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฯ ฉบับบูรณาการแรงงาน เน้นสาระสำคัญใน 3 หมวดหลัก ได้แก่ 1.หมวดการบริหารจัดการ 2.หมวดสิทธิประโยชน์ และ 3.หมวดการบริหารจัดการกองทุน โดยพิจารณาถึงความครอบคลุม โปร่งใส และตรวจสอบได้ มุ่งหลักประกันระยะยาวและประสิทธิภาพในการให้บริการ รวมถึงเน้นให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เป็นองค์การอิสระ ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ได้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดในบางมาตราของร่าง พ.ร.บ.ฉบับรัฐบาล และเพิ่มมาตราใหม่หรือบทเฉพาะกาล ซึ่งมีทั้งสิ้น 29 ประเด็น ได้แก่
1.ขยายความคุ้มครองไปถึงลูกจ้างชั่วคราวทุกประเภทของส่วนราชการ
2.เพิ่มบทนิยาม “การประกันสังคม” เพื่อให้กฎหมายดำเนินงานครอบคลุมทั้งกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน และ “ภัยพิบัติ” เพื่อกำหนดความหมายให้ชัดเจนและเป็นขอบเขตการได้ยกเว้นหรือลดหย่อนอัตราเงินสมทบได้
3.แก้ไขบทนิยาม คำว่า “ลูกจ้าง” เพื่อให้รวมถึงลูกจ้างทำงานบ้านอันมิได้ประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย และคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน คำว่า “นายจ้าง” เพื่อให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานพ.ศ. 2541 และหมายรวมถึงผู้จ้างงานในงานที่รับไปทำที่บ้าน คำว่า “ค่าจ้าง” ให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายในวันที่ให้ลูกจ้างหยุดงานโดยมิได้เป็นความผิดของลูกจ้าง และคำว่า “ทุพพลภาพ” เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ทดแทนโดยเป็นธรรมตามความเป็นจริง
4.แก้ไของค์ประกอบ กระบวนการได้มา คุณสมบัติ อำนาจหน้าที่ และวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการประกันสังคม เพื่อเป็นหลักประกันชัดเจนในการได้มาซึ่งกรรมการผู้แทนฝ่าย นายจ้าง ฝ่ายผู้ประกันตนและผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความสามารถ ความเหมาะสม และไม่มีส่วนได้เสียในกิจกรรมที่กระทำกับสำนักงาน รวมทั้งรองรับความต่อเนื่องในการทำงานของคณะกรรมการ
5.ให้มีคณะกรรมการตรวจสอบทั้งองค์ประกอบ คุณสมบัติ กระบวนการได้มา อำนาจหน้าที่ และวาระดำรงตำแหน่งเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินงานของคณะกรรมการต่างๆและสำนักงาน
6.กำหนดให้ สปส. เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและควบคุมดูแลการบริหารจัดการอย่างกว้างขวางชัดเจน และให้กิจการของสำนักงานอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายคุ้มครองแรงงาน กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายเงินทดแทนและกฎหมายประกันสังคม ค่าตอบแทนและสวัสดิการประโยชน์เกื้อกูลของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในสำนักงานนี้ จะไม่น้อยกว่าอัตราที่เคยได้รับอยู่เดิม
7.กำหนดให้มีเลขาธิการ สปส.ที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับงานประกันสังคม โดยมาจากกระบวนการสรรหา มีคุณสมบัติและวาระทำงานตามที่กำหนด มีอำนาจหน้าที่ในการทำงานชัดเจน รวมทั้งสิทธิครอบครองและการเป็นกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของสำนักงาน
8.กำหนดให้มีคณะกรรมการการลงทุน มีองค์ประกอบคุณสมบัติ กระบวนการได้มาและวาระการดำรงตำแน่งเพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการเกี่ยวกับการจัดหาผลประโยชน์ของกองทุน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายและแผนการลงทุนที่คณะกรรมการประกันสังคมเห็นชอบ
9.แก้ไขหลักเกณฑ์การส่งเงินสมทบก่อนที่ผู้ประกันตนจะสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างเพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ทดแทนระยะยาวขึ้นภายหลังสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างโดยขึ้นกับระยะเวลาที่จ่ายเงินสมทบมานานเพียงใด
10.แก้ไขระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบสำหรับผู้เคยเป็นผู้ประกันตน และต่อมาได้สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง เพื่อขยายระยะเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนต่อสำนักงาน และกำหนดให้จ่ายเงินสมทบเดือนแรกในวันที่แสดงความจำนงต่อ สปส.
11.กำหนดให้รัฐบาลจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมสำหรับผู้ประกันตนที่มิใช่ลูกจ้างหรือแรงงานนอกระบบเป็นอัตราไม่น้อยกว่าอัตราเงินสมทบที่ได้รับจากผู้ประกันตน
12.แก้ไขเงื่อนเวลาการไม่ส่งเงินสมทบก่อนสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนให้มีระยะเวลายาวขึ้น ซึ่งมีผลให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 มีโอกาสรับประโยชน์ทดแทนนานขึ้นและสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนช้ากว่าเดิม
13.กำหนดให้ผู้ประกันตน นายจ้าง หรือผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิรับรู้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการประกันสังคมและการส่งเงินสมทบ รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารของคณะกรรมการต่างๆ
14.แก้ไขอัตราเงินสมทบของฝ่ายรัฐบาลและผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และแก้ไขฐานค่าจ้างในการคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ให้เป็นไปตามฐานค่าจ้างจริงของลูกจ้างแต่ละคน
15.แก้ไขอัตราเงินเพิ่มเป็นร้อยละ 4 ของเงินสมทบกรณีที่นายจ้างไม่นำส่งเงินสมทบหรือส่งเงินสมทบไม่ครบจำนวน เพื่อป้องกันมิให้กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นได้ง่าย
16.กำหนดให้ผู้ประกันตน หรือผู้มีสิทธิตามมาตรา 75 จัตวา และมาตรา 77 จัตวา มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนจากกองทุน สิทธิประโยชน์ทดแทนไม่อาจโอนกันได้และไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี รวมทั้งกำหนดให้การได้มาซึ่งสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมไม่เป็นการตัดสิทธิหรือประโยชน์ที่ได้ตามกฎหมายอื่น
17.ยกเลิกบทบัญญัติการขอส่วนลดอัตราเงินสมทบเนื่องจากไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป และยกเลิกเหตุที่ผู้ประกันตนไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนเพราะจงใจก่อให้เกิดขึ้นหรือยินยอมให้ผู้อื่นก่อให้เกิดขึ้น เพราะคงไม่มีผู้ประกันตนคนใดจะจงใจทำให้ตนเอง หรือยินยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนเองตายหรือบาดเจ็บเพื่อหวังสิทธิประโยชน์ประกันสังคมซึ่งมีจำนวนน้อย ซึ่งเป็นการนำหลักการประกันของธุรกิจเอกชนมาบังคับใช้โดยไม่เป็นธรรมไม่เหมาะสม
18.แก้ไขวิธีการคำนวณค่าจ้างรายวันในการจ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้
19.แก้ไขหลักเกณฑ์ในการรับบริการทางการแพทย์ของผู้ประกันตนหรือคู่สมรสผู้ประกันตนรวมทั้งมีสิทธิเข้ารับบริการทางการแพทย์ในสถานพยาบาลอื่นได้ในกรณีฉุกเฉินหรือกรณีล่าช้าหรืออาจเกิดอันตรายแก่ผู้ประกันตน โดย สปส.เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายตามที่ตกลงกับสถานพยาบาล
20.กำหนดให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามมาตรา 64 และมาตรา 71 ในช่วงเวลาเดียวกันให้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้เฉพาะประเภทที่สูงกว่าเพียงประเภทเดียว
21.แก้ไขให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนบริการทางการแพทย์ในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยและกรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงานตั้งแต่วันแรกที่เข้าเป็นลูกจ้างเพื่อให้สอดคล้องกับสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ประชาชนไทยมีสิทธิรักษาพยาบาลตั้งแต่วันแรกเกิด แม้แต่ภายหลังออกจากงานหรือเกษียณอายุรับประโยชน์ทดแทนกรณีบำเหน็จหรือบำนาญชราภาพ ก็มีสิทธิรับบริการรักษาพยาบาลจนกระทั่งวันตาย
22.เพิ่มเติมประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตรายให้รวมถึงค่าส่งเสริมสุขภาพ ตรวจสุขภาพประจำปีและการป้องกันโรคแก่ผู้ประกันตน
23.แก้ไขให้ผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบมาเป็นเวลานาน มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้มากขึ้น กรณีผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมานานและตายให้จ่ายเงินสงเคราะห์จำนวนมากขึ้นแก่ผู้มีสิทธิหรือบุคคลที่ผู้ประกันตนทำหนังสือระบุชื่อไว้ก่อนตาย
24.แก้ไขหลักเกณฑ์และอัตราได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ และกรณีถึงแก่ความตายให้ผู้เจ็บป่วยเรื้อรัง หรือทุพพลภาพ รวมทั้งผู้ประกันตนที่รับบำนาญชราภาพ มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณี
25.แก้ไขหลักเกณฑ์ให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร สำหรับบุตรที่มีอายุจนถึง 20 ปีบริบูรณ์ และรวมถึงบุตรบุญธรรมที่จดทะเบียนตามกฎหมายด้วย และให้ผู้ประกันตนทำหนังสือระบุบุคคลที่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพได้
26.แก้ไขหลักเกณฑ์เกณฑ์การรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน โดยมีเงื่อนไขจำนวนน้อยเท่าที่จำเป็นและเป็นธรรมเท่านั้น
27.แก้ไขเพิ่มเติมคณะกรรมการอุทธรณ์ให้มีองค์ประกอบ กระบวนการที่มา วาระการดำรงตำแหน่ง พ้นจากตำแหน่งและการทำงานต่อเนื่องชัดเจน
28.แก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับบทลงโทษกรณีผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่และกรรมการคณะต่างๆตามกฎหมายนี้ และเพิ่มอัตราโทษทั้งค่าปรับและการจำคุกให้มากขึ้น รวมถึงเพิ่มโทษหากกระทำผิดซ้ำในบทบัญญัติเดียวกันที่เคยถูกลงโทษมาแล้ว
29.เพิ่มเติมหมวดสุดท้าย พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 เป็นบทเฉพาะกาล เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านของการบริหารจัดการด้านต่างๆจากหน่วยราชการไปสู่ความเป็นองค์กรอิสระด้านงานประกันสังคมดำเนินการไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
นางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย ประธาน คสรท. บอกว่า การยกร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฯ ฉบับบูรณาการนี้ได้มีการปรึกษากันมาเกือบ 1 ปี และบอกอีกว่า ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป จะมีการจัดเวทีและนำร่าง พ.ร.บ.ไปอธิบายให้เครือข่ายแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบเข้าใจ หลังจากนั้นเดือนพฤศจิกายนก็จะขยายความรู้ออกไปใน 14 กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วประเทศ พร้อมทั้งรวบรวมรายชื่อคนงานให้ได้ไม่น้อยกว่า 20,000 รายชื่อ เพื่อเตรียมเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรให้พิจารณาคู่ขนานไปกับร่าง พ.ร.บ.ฉบับรัฐบาล
ตลอด 20 ปี สปส. มีผู้ประกันตนในระบบประมาณ 9 ล้านคน มีเงินในกองทุนประมาณ 7 แสนล้านบาท ถ้าแก้ไขร่างนี้สำเร็จ จะครอบคลุมไปถึงแรงงานนอกระบบที่มีอยู่ทั่วประเทศอีกกว่า 20 ล้านคนด้วย ร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฯ ฉบับนี้ จึงถือเป็นกฎหมายอีกหนึ่งฉบับที่มีความสำคัญต่อภาคประชาชนเป็นอย่างมาก