- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- หาสูตรสำเร็จความเป็นไปได้สร้าง “รัฐสวัสดิการ”
หาสูตรสำเร็จความเป็นไปได้สร้าง “รัฐสวัสดิการ”
ในวันขึ้นปีใหม่ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศแผนการปฏิรูปประเทศไทย ตามด้วยประกาศ 9 มาตรการ ในเวลาต่อมา เพื่อสร้างความมั่นใจว่า ประชาชนไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ต่ำและภาคส่วนที่ไม่ได้อยู่ในระบบจะสามารถเข้าถึงระบบสวัสดิการสังคมและเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและเป็นธรรม แม้แต่เด็กทุกคนในชนบทที่ห่างไกล ต้องได้รับโอกาสให้ได้เรียนหนังสือ
มีการดูแลตั้งแต่เกิดจนตาย ปูทางสร้าง “สวัสดิการถ้วนหน้า” ให้ทันในปี 2560
จนถึงวันนี้เมื่อดูแล้วพอจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อยู่บ้างหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็น “รัฐสวัสดิการ” หรือ “สังคมสวัสดิการ” ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) อย่าง ดร.สมชัย จิตสุชน ยังมั่นใจว่า รัฐบาลมาถูกทาง พอที่จะมี “ช่องว่าง” ให้กับการเติบโตของ “สวัสดิการถ้วนหน้า” หากเพียงแต่ต้องเริ่มสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนในการรับทราบสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรจะได้รับ
รวมถึงเร่งขจัดความเหลื่อมล้ำในสังคม ลดช่องว่างคนรวย – จน อันเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขวางกั้น
ในวงสัมมนาวิชาการ เรื่อง อนาคตของสังคมไทยกับการเป็นรัฐสวัสดิการ ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน กรุงเทพฯ นักวิชาการด้านรัฐสวัสดิการ นายบุญส่ง ชเลธร มองว่าประเทศไทยแทบไม่ต้องขับเคลื่อนสิ่งใดใหม่ เพียงแค่ “ขยำ” รวมกัน แล้วแจกจ่ายให้ทั่วถึง
พร้อมยกตัวอย่างคนชราที่มักได้รับสิทธิ์ซ้ำซ้อน อาทิ เงินบำนาญข้าราชการ, เบี้ยยังชีพคนชรา, กองทุนอีกนานับประการ ประกอบการเกิดกองทุนเงินออมแห่งชาติ (กอช.) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยไม่ลืมชี้ “จุดอ่อน” ของสวัสดิการไทยที่ผ่านมา
นั่นคือ หากไม่ลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิ์ คนชราจะ “แห้ว” ตามระเบียบ
ความพร้อมของ “รัฐสวัสดิการ” ไม่เพียงแต่ต้องเร่งสร้างมาตรการที่ทั่วถึง กระจายความรู้ความเข้าใจสู่สังคมเท่านั้น นายบุญส่ง บอกว่า รวมถึงการหาแหล่งงบประมาณก้อนโตที่นำมาหล่อเลี้ยงให้นโยบายขับเคลื่อนไปข้างหน้า ซึ่งคาดการณ์กันคร่าวๆ ว่า กว่าจะครอบคลุมคนไทยทั้งประเทศ อาจต้องใช้งบประมาณหลายแสนล้านบาท
สวัสดิการ'ดี' มีราคาที่ต้องจ่าย
“สวัสดิการดีมีราคาที่ต้องจ่าย ไม่ใช่สวัสดิขอที่อยากได้อะไรก็รออย่างเดียว” รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ กรรมการปฏิรูป และกรรมการสมัชชาปฏิรูป เริ่มต้นฉายภาพให้เห็นความแตกต่างระหว่างรูปแบบประชานิยม ซึ่งรัฐมีหน้าที่ให้เพียงฝ่ายเดียว และรัฐสวัสดิการที่ประชาชนทุกคนต้องเข้าไปมีส่วนร่วม
การเกิดรัฐสวัสดิการขึ้นในประเทศไทยนั้น ต้องอาศัยโครงสร้างเริ่มต้นของสังคมสวัสดิการ ทุกภาคส่วนต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกัน คำยืนยันจากอาจารย์ณรงค์ ทั้งนี้ ภาครัฐต้องดูแลอำนวยความสะดวกด้านการศึกษา สาธารณสุข และภาคธุรกิจ ภาคเอกชน ดูแลลูกจ้างให้อยู่ดีมีสุข และชุมชนคนในครอบครัว อีกทั้งต้องบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้ชาวบ้านทุกคนอย่างทั่วถึง พร้อมทั้งปกป้องสิทธิ์ที่พึงจะมีของตนไม่ให้เอกชนเข้าไปรุกล้ำเอาเปรียบได้
“ที่สำคัญประชาชนต้องตระหนักในหน้าที่การเป็นผู้เสียภาษีเพื่อสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ หากทำสำเร็จ อีก 20 ปีข้างหน้าจะเกิดรัฐสวัสดิการที่สมบูรณ์”
ส่วนการจัดสรรรายได้เพื่อสร้างสวัสดิการ รศ.ดร.ณรงค์ พบว่า งบประมาณหลักมาจากภาษี ซึ่งอาศัยหลักคิดเบื้องต้น คือ เพิ่มรายได้ให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่ประเมินไว้ ซึ่งมีกระบวนอยู่ 3 ประการคือ ขยายฐานผู้จ่าย ขยายประเภทภาษี และเพิ่มอัตราภาษี
ปัญหาคือทำอย่างไรให้ประชาชนมีกำลังพอที่จะจ่ายภาษีอย่างเต็มใจ
ในส่วนของค่าแรงขั้นต่ำของแรงงานในระบบ อาจารย์ณรงค์ เห็นว่า ยิ่งหากทำให้เริ่มต้นวันละ 250 บาทได้ ภายในระยะเวลา 3 ปี อัตราก้าวหน้าของรายได้จะเพิ่มเป็นวันละ 400 – 500 บาท ซึ่งอยู่ในระดับของผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ฐานภาษีจะขยายตัวจากเดิม 9 ล้านเป็น 15 ล้านคนทันที
ด้านการขยายประเภทภาษี หากมุ่งประเด็นไปที่ภาคการเกษตร จะเห็นถึงความเป็นจริงว่า เกษตรกรบางประเภท เช่น สวนยาง สวนทุเรียน ฯลฯ สามารถสร้างรายได้ต่อปีได้เบ็ดเสร็จถึง 10 ล้านบาท
แม้การเก็บภาษีจากเกษตรกรนั้นจะทำได้ยาก เพราะมีความยากในการตรวจสอบที่มาของรายได้ แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ที่ต้องฝากให้ กรมสรรพากร จัดการ
ขณะที่การจัดระบบเพื่อเพิ่มอัตราภาษี นั้น อาจารย์ณรงค์ ฝากไว้ว่า ต้องไม่ลืมประเทศอื่นที่มีสวัสดิการสมบูรณ์แบบ อย่างสวีเดนมีอัตราการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 27% สูงกว่าไทยถึง 4 เท่า ขณะที่อัตราสูงสุดของการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ไทยขีดเส้นไว้ไม่เกิน 37% แต่สวีเดนก้าวกระโดดไปแตะเพดาน 80%
นี่คือ สิ่งที่แสดงถึงความแตกต่างของงบประมาณในการนำมาบริหารจัดการด้านสวัสดิการที่ห่างชั้นกันอย่างไม่เห็นฝุ่น
เก็บค่าภาคหลวงให้เกิดประโยชน์สูงสุด
โดยเฉพาะกับทรัพยากรธรรมชาติในประเทศก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะเพิ่มรายได้ให้กับรัฐ มีข้อมูลค่าภาคหลวงด้านพลังงานในต่างประเทศ ซึ่งมีมาตรฐานการเก็บไม่ต่ำกว่า 30% ของมูลค่าทรัพยากร บางประเทศก้าวกระโดดไปสูงถึง 80% ขณะที่ไทยเก็บค่าภาคหลวงได้เพียง 10% หากเพียงแค่เพิ่มค่าภาคหลวงน้ำมันเป็น 30% จะสามารถสร้างรายได้ให้กับรัฐสูงถึง 3 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งเพียงพอต่อการทำสวัสดิการถ้วนหน้าขั้นพื้นฐาน
“ทั่วโลกมีมาตรฐานในการเก็บค่าภาคหลวงในอัตราสูงเพื่อผลประโยชน์คนทั้งชาติ ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์ระดับที่ต่ำ” รศ.ดร.ณรงค์ มองการเก็บค่าภาคหลวง และเสริมว่า ดังนั้นต้องทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วย
สอดคล้องกับกรรมการเครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ซึ่งเชื่อว่าทรัพยากรธรรมมชาติในประเทศมีครบถ้วนสมบูรณ์ และเพียงพอที่จะยกระดับฐานะคนในประเทศได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ภาครัฐกลับคิดราคาค่าสัมปทานแก่นายทุนต่างชาติในราคาที่ต่ำเกินมาตรฐาน ซึ่งทำให้ประชาชนตกอยู่ในฐานะผู้เสียผลประโยชน์
“ปี 2549 มีการขุดพบแร่ทองคำสูงถึง 3.47 ตัน มีมูลค่าทั้งสิ้น 2,500 ล้านบาท หากคิดราคาค่าภาคหลวงตามประเทศทั่วไป การสร้างมาตรฐานสวัสดิการที่ดีจะเกิดขึ้นกับคนไทยได้ไม่ยากเย็น แต่ภาครัฐกลับทำรายได้จากจุดนี้ได้เพียง 117 ล้านบาท ซึ่งไม่คุ้มค่ากับทรัพยากรที่สูญเสียไป” ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ ม.ล.กรกสิวัฒน์ โชว์ให้เห็นคร่าวๆ ว่า รายได้ที่ได้จากการจัดเก็บค่าภาคหลวงสามารถสร้างสิทธิประโยชน์ให้กับประชาชนได้มากมาย
ซึ่งก็มีตัวอย่างของรัฐแคลิฟอร์เนีย ถือว่า มีสวัสดิการดีที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐนี้ได้ใช้งบประมาณหลักจากการเก็บค่าภาคหลวงน้ำมัน จนสามารถสร้างทางด่วนให้ประชาชนใช้ฟรีๆ ในขณะที่ของไทยกลับมีนโยบายเพิ่มค่าทางด่วนอยู่เป็นระยะๆ
นอกจากการหารายได้จากทรัพยากรธรรมชาติจะสามารถสร้างทุนให้แก่รัฐสวัสดิการได้แล้ว ม.ล.กรกสิวัฒน์ ได้เสนอให้สร้างกรอบความเท่าเทียมในการจ่ายค่าภาษี โดยเห็นว่า ภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ว่าจะอยู่ในระดับ 7 หรือ 10% มีผลกระทบให้คนจนแบกภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ทำให้คนรวยเพียงแค่มีรายได้ที่ลดลง อนาคตอาจส่งผลให้เกิดสภาวะ “รวยกระจุก จนกระจาย”
สร้างรัฐสวัสดิการ ไม่ต้องมีเครื่องมือทางภาษีใหม่
คำถามนี้เป็นหน้าที่ของตัวแทนจากกรมสรรพากร นายอนันต์ สิริแสงทักษิณ รองอธิบดีกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง อธิบายการปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มว่า จะไม่เป็นการผลักภาระให้กับคนจน เนื่องจากภาษีสินค้าที่เพิ่มขึ้นจะอยู่ในประเภทเกินความจำเป็นมากกว่าประเภทเครื่องบริโภคขั้นพื้นฐาน หากผู้ที่มีรายได้น้อยบริโภคสินค้าเกินความจำเป็น ก็ต้องแบกรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ในขณะที่หลายภาคส่วนกำลังตื่นตัวกับกระแสรัฐสวัสดิการ กรมสรรพากร ซึ่งเป็นคลังงบประมาณหลักในการบริหารจัดการก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้นำเทคโนโลยีทันสมัยมาเติมเต็มให้กับระบบการจัดเก็บภาษี ซึ่งอาจกล่าวอ้างได้ว่าเป็นหน่วยงานที่ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย ในอนาคตยังมีแผนที่จะทำให้ระบบสามารถบอกผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาว่า ในรอบปีมีรายรับเท่าไหร่ และต้องเสียภาษีมากน้อยเพียงใด
ซึงนายอนันต์ เชื่อว่า เมื่อมีจำนวนผู้เสียภาษีมากขึ้น อัตราภาษีรายบุคคลจะถูกลง
"แนวโน้มความเป็นไปได้เมื่อมีผู้เสียภาษีจำนวนมากขึ้น อัตราภาษีขั้นสูงสุดอาจจะไม่ถึง 30% ของรายได้ทั้งหมด เพราะในแต่ละปีงบประมาณรัฐบาลจะมอบหมายให้กรมสรรพากรเก็บภาษีตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งในปีนี้ต้องเก็บได้ทั้งหมด 1.33 ล้านล้านบาท"
อย่างไรก็ตาม ระบบภาษีปัจจุบันได้อำนวยความสะดวกให้กับงานด้านสวัสดิการอย่างครบครัน ซึ่งกรมสรรพากรมองเห็นภาพที่ชัดเจนว่า หากต้องการให้เกิดรัฐสวัสดิการขึ้นจริง ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือทางภาษีใหม่
เพียงแค่สร้างความรู้ความเข้าใจแก่คนในชาติ ให้ตระหนักถึงหน้าที่ในการเสียภาษี เชื่อว่าจะเพิ่มรายได้เข้าสู่รัฐสวัสดิการได้มากขึ้น....