- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- พลังงานทางเลือกของไทย:หาโอกาสจากวิกฤต
พลังงานทางเลือกของไทย:หาโอกาสจากวิกฤต
ปัญหาด้านพลังงานในประเทศไทยมีอยู่มากมาย ไม่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก เราใช้ฟอสซิลเป็นวัตถุดิบ ในการผลิตพลังงานไฟฟ้าถึง 80 % ต้องนำเข้าฟอสซิลกว่า 50 % ของพลังงานที่ใช้ ทำให้ค่าใช้จ่ายพุ่งสูงถึง 14 % ของจีดีพี หรือ 1.2 ล้านล้านบาท เปรียบเทียบให้เห็นเป็นตัวเลข มีเงิน 100 บาท ใช้เงินถึง 10 บาท เพื่อซื้อพลังงาน
ขณะที่แหล่งพลังงานในประเทศมีค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน พลังงานน้ำมีน้อยกว่าพม่า 3 เท่า ต้องพึ่งพาแก๊สธรรมชาติในการผลิตพลังงานถึง 70 % ภาคขนส่งพึ่งพาน้ำมันสูงกว่า 90 % โดยเฉพาะการถูกต่อต้านจากสังคม ทำให้ไม่สามารถเพิ่มแหล่งพลังงานในประเทศได้
จากการประชุมครั้งล่าสุดส่งท้ายปี 2552 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เห็นชอบแผนจัดหาก๊าซธรรมชาติปี 2552 – 2558 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อรองรับความต้องการก๊าซธรรมชาติที่จะเพิ่มขึ้น ทั้งภาคการไฟฟ้าตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2551 - 2564 (PDP 2007 : ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) ภาคอุตสาหกรรม ภาคขนส่ง และโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ตามการคาดการณ์ปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของประเทศหลังวิกฤตเศรษฐกิจ
พร้อมเห็นชอบสัญญาซื้อขายก๊าซฯ จากแหล่งซอติก้าของพม่า และร่าง MOU รับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำงึม 3 จากลาว ซึ่งมีกำลังการผลิต 440 เมกะวัตต์ ตอกย้ำให้เห็นชัด ว่า ไทยมีแหล่งพลังงานในประเทศน้อยเต็มที่
ยุทธศาสตร์พลังงานเร่งด่วน
ในเมื่อประเทศไทยต้องเพิ่มการผลิตพลังงานไฟฟ้าค่อนข้างใหญ่ อีกทั้งต้องตัดสินใจควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดการใช้น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติลงในอนาคต ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และเร่งรัดการใช้พลังงานหมุนเวียนให้เต็มที่
ศ.ดร.นักสิทธิ์ คูวัฒนาชัย ผู้อำนวยการโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เห็นว่า ถึงเวลาต้องตัดสินใจด่วน หาทางผลิตพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยมีทางเลือก คือ การหันมาใช้พลังงานปรมาณู ใช้เทคโนโลยีถ่านหิน หรือไม่ก็ไปตายเอาดาบหน้า เพิ่มการใช้แก๊สธรรมชาตินำเข้าเรื่อยๆ ซื้อจากพม่า หรือเพิ่มการจัดซื้อพลังงานไฟฟ้าจากเพื่อนบ้าน
สำหรับพลังงานทางเลือกที่เหมาะสม ศ.ดร.นักสิทธิ์ บอกว่า ต้องใช้พลังงานใหม่ มีอยู่ 4 กลุ่มที่ทำได้คือ 1.พลังงานหมุนเวียน พลังงานน้ำ ชีวมวล แสงอาทิตย์ ลม 2. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 3.พลังงานปรมาณู และ4. ใช้เทคโนโลยีการจัดและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage:CCs) และเพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน ไทยจำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานจากแหล่งในประเทศให้มากที่สุด ใช้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สุดท้ายเพื่อกระจายความเสี่ยง จำเป็นต้องใช้พลังงานหลายประเภทจากแหล่งที่หลากหลาย
ขณะที่พลังงานนิวเคลียร์ หรือ พลังงานปรมาณูเพื่อการผลิตไฟฟ้านั้น ศ.ดร.นักสิทธิ์ ให้ข้อมูลว่า โรงไฟฟ้าปรมาณูมี 438 แห่ง ใน 30 ประเทศทั่วโลก บางแห่งใช้มาแล้วเกือบ 40 ปี ความปลอดภัยและประสิทธิภาพมีการพัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆ แต่สำหรับประเทศไทยเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเตรียมความพร้อม ต้องสร้างความตระหนัก สร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคม ที่สำคัญไม่ควรหลบๆซ่อนๆ ทำ การดำเนินการต้องให้สังคมและสาธารณชนได้รับทราบอย่างกว้างขวาง
ขยะอินทรีย์ไทยปราบเซียน
ในส่วนของการผลิตกระแสไฟฟ้าจากขยะ (Waste to Energy Project:WTE) ผศ.ดร.กนกศักดิ์ เอี่ยมโอภาส คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดผลการศึกษา ที่ชี้ให้เห็นว่า ยังมีปัญหาด้านต้นทุนการเผาขยะ รวมทั้งขยะของไทยเหลือร้าย เป็นขยะปราบเซียน โดยเฉพาะขยะอินทรีย์มีความหลากหลาย พฤติกรรมการทิ้งไม่มีการคัดแยกขยะทั้งๆ ที่ขยะอินทรีย์สามารถนำมาทำก๊าซชีวภาพได้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาอีกไกล
“เทคโนโลยีมีแล้วทำได้แน่ แต่ทำอย่างไรจะนำความรู้เหล่านั้นมาจัดการกับขยะอินทรีย์ของไทยให้ได้” ผศ.ดร.กนกศักดิ์ เสนอแนะ และเห็นว่า หากยังไม่ปรับปรุงระบบคัดแยกขยะ คงหนีไม่พ้นพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งมีจุดคอคอดเรื่องราคาแพงทำให้การพัฒนาไปไม่ได้ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 1 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุน130-150 ล้านบาท ระยะเวลาคุ้มทุน 10 ปี ไม่มีใครกล้าลงทุน
ผลิตเอทานอล จากหัวมันสด
นอกจากอ้อยแล้ว มีพืชการเกษตรอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะนำมาใช้เป็นวัตถุดิบผลิตเอทานอล(Ethanol) ที่สุด คือ มันสำปะหลัง รศ.ดร.กล้าณรงค์ ศรีรอด จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายถึงขั้นตอนการผลิตเอทานอลจากหัวมันสำปะหลัง นำมาทำเป็นพลังงานนั้น ยังถือว่าเป็นพลังงานติดลบ ทุกวันนี้แม้พัฒนาได้ดีขึ้น แต่การผลิตยังเสียเปรียบการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล ทำให้คนมองข้าม
“ต้องขอขอบคุณสหรัฐฯ ที่พัฒนาเม็ดข้าวโพด เข้าสู่โรงงาน วิ่งไปเป็นน้ำตาลกลูโคส หมักเป็นเอทานอล ได้พลังงานเป็นบวก ในยุโรปก็ทำกับพวกธัญญพืช คำถามแล้วมันสำปะหลังจะมีใครทำได้หรือไม่ ทั้งๆ ที่มันสำปะหลังมีจุดได้เปรียบหลายอย่าง เรื่องนี้ยังรอการพัฒนา ศึกษา ต่อไปในอนาคต”
ปัจจุบันโรงงานเอทานอลมีออกใบอนุญาติแล้ว 40 โรงงาน เป็นโรงงานทำจากกากน้ำตาล 15 โรง มันสำปะหลัง 25 โรง ขณะเดียวกันในแผนพลังงานทดแทน กระทรวงพลังงานวางภารกิจไว้ว่า ปี 2565 จะส่งเสริมให้เกิดการผลิตและใช้เอทานอลไม่น้อยกว่า 9 ล้านลิตรต่อวัน รศ.ดร.กล้าณรงค์ ระบุว่า ไม่ต้องห่วง ทุกวันนี้มีกำลังผลิตกว่า 1 ล้านลิตรต่อวัน หรือหากมีการเปลี่ยนเป็นอี20 ทั้งประเทศ เชื่อว่า กำลังการผลิตจะรับไหว
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ที่ห่วงการนำมันสำปะหลังมาผลิตพลังงานแล้วจะทำให้ขาดแคลน รศ.ดร.กล้าณรงค์ มองว่า 70% ของผลผลิตอ้อยและมันสำปะหลัง ส่งออกหมด ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาไม่มีมันสำปะหลังรับประทาน “ในอดีตไทยเป็นประเทศส่งสินค้าเกษตรในราคาถูกออกขาย ในอนาคตข้างหน้าจะส่งให้สินค้าเกษตรแพงบ้างไม่ได้หรือ การแบ่งมาทำเอทานอล ทำเรื่องพลังงาน เหลือแล้วจึงส่งออกไม่น่าจะเป็นอะไร”
วันนี้พืชพลังงานเป็นดาวรุ่ง
อีกด้านการพัฒนาพลังงานจากพืช บทบาทกองทัพเรือ ที่ผ่านมามีการวิเคราะห์ ศึกษา วิจัยมาโดยตลอด น.อ.ดร.สมัย ใจอินทร์ ผู้อำนวยการกองควบคุมคุณภาพ อู่ทหารเรือพระจุลจอมเกล้า กรมอู่ทหารเรือ บอกว่า ไทยเป็นแห่งเดียวในเอเชียที่ทำจริงเรื่องพืชพลังงาน จนประกาศเป็นจุดศูนย์กลางพัฒนาพลังงานทดแทนภาคขนส่งจากพืชในเอเชียประเทศเดียว ไปทุกตำบลมีแก๊สโซฮอล์เติม มีการบังคับน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลต้องมีส่วนผสมของไบโอดีเซล 2% กำลังขยับเป็น 3 % และ 5 % ในอนาคต
ขณะที่ประเทศต่างๆ เช่น อินเดียอาจพูดมากแต่ทำไม่ได้มาก ฟิลิปปินส์เขียนเป็นกฎหมายแต่บังคับใช้ไม่ได้ เช่นกัน ไทยไม่ได้เขียนเป็นกฎหมาย แต่ใช้มติครม.ดำเนินการอย่างจริงจัง วันนี้พืชพลังงานจึงเป็นดาวรุ่ง และจะเป็นดาวรุ่งต่อไปอีกหลายปี
น.อ.ดร.สมัย มองการใช้พลังงานในประเทศอีก 15 ปีข้างหน้าว่า จะเปลี่ยนหมด จากใช้น้ำมันดีเซลถึง 60 % เหลือ 15 % เบนซิน 28 % เหลือ 16 % ที่จะเพิ่มขึ้นมาคือการใช้ก๊าซแอลพีจี และเอ็นจีวี พลังงานที่มาจากพืช ถือว่าฉลองแล้ว ปี 2552 เป็นปีแรกที่สัดส่วนการใช้พลังงานจากพืชมากกว่าน้ำมันเบนซินธรรมดาที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศล้วนๆ
“เดินทางมา 9 ปี ไทยแซงทุกประเทศในเอเชีย ที่ยังตามอยู่คือบราซิล สหรัฐฯ เป็นการผลักดันเชิงนโยบายที่ไปได้ดี อีกทั้งทุกส่วนในสังคมช่วยผลักดันพลังงานทางเลือก การทำเรื่องนี้ต้องระดมทุกฝ่าย รวมทั้งผู้บริโภคด้วย”
ทัพเรือแนะทำเกษตรแบบเงยหน้า
เมื่อก่อนมีคำกล่าวล้อเลียนว่า ปลูกข้าวนาปี มีแต่หนี้กับซัง ปลูกข้าวนาปรัง มีแต่ซังกับหนี้ นักวิจัยด้านพลังงานทดแทนเจ้าตำรับไบโอดีเซล ชี้ให้เห็นว่า หากยังทำเกษตรแบบหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน อีก10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมชราภาพโดยสมบูรณ์แบบจากนั้นเริ่มมีประชากรลดลง อายุโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 ปี ถือเป็นวัยกลางคนและเข้าสู่วัยชรา
“เราไม่สามารถเอาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินได้ จำเป็นต้องสร้างงานในชนบท วิธีสร้างงานที่ดีที่สุด คือการทำการเกษตรแบบเงยหน้า แบบที่คนปักษ์ใต้ทำกัน ด้วยการพัฒนาพลังงานจากพืช”
ทั้งนี้ ประเทศไทยยังมีปัญหาใหญ่ เรื่องผลประโยชน์ตอบแทนทางพื้นที่ต่ำที่สุด พื้นที่ 50 % ของประเทศปลูกข้าว แต่ข้าวนาปีมีรายได้ได้ 66 สตางค์ต่อตารางเมตรต่อปี จึงเกิดคำถามแล้วมีพืชชนิดใด หรือการเกษตรแบบไหนใช้ประโยชน์จากที่ดินบนบกได้ประโยชน์ เหมาะสมกับเกษตรกรมากที่สุด คำตอบแรกคือยางพารา คำตอบที่สอง คือปาล์มน้ำมัน เห็นชัดว่า วันนี้เกษตรกรทางภาคใต้มีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าเกษตรกรทางภาคเหนือ 3 เท่า ภาคใต้เหมือนกับมาเลเซียทุกประการ ไม่ยึดติดต้องปลูกข้าวเต็มพื้นที่ ที่ไหนปลูกข้าวไม่ได้ก็ไม่ดื้อปลูก
ฟื้นทุ่งรังสิต-ปลูกปาล์มทดแทน
นายทหารนักวิจัยของกรมอู่ทหารเรือ เล่าอย่างภาคภูมิใจถึงบทบาทกองทัพเรือ ส่งคนขึ้นบกไปที่จ.ปทุมธานี จ.นครนายก ร่วมแก้ไขปัญหาพื้นที่ดินเปรี้ยวที่ทุ่งรังสิต หลังจากมีการใช้พื้นที่ทำสนามกอล์ฟ การทำนาไม่ได้ผล ทำสวนส้มก็ร้าง 4 ปีผ่านไป กองทัพเรือร่วมมือกับหลายหน่วยงานพลิกฟื้นทุ่งรังสิตเพื่อผลิตไบโอดีเซล แปรรูปเป็นสวนปาล์มจนผลผลิตได้ถึง 5.8 ตันต่อไร่ ไม่อาย จ.สุราษฎร์ธานี จ.กระบี่ และไม่อายที่จะเปรียบเทียบกับมาเลเซีย
ดังนั้นไม่ไกลเกินฝัน หากอนาคตการขึ้นลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก อาจจะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อประเทศไทยอีกต่อไป เพราะ นอ.ดร. สมัย บอกว่า เมื่อไหร่ได้ทำเต็มพื้นที่กองทัพเรือไม่กังวลเรื่องความมั่นคงด้านพลังงานอีกแล้ว จะใช้น้ำมันเท่าไหร่ สวนปาล์มทุ่งรังสิตส่งให้ได้ไม่เท่านั้นยังมีการพัฒนาให้ชุมชนมีทางออกเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่นๆด้วย รวมทั้งมีการพัฒนาร่วมกับปตท.ผลิตน้ำมันหล่อลื่น
“เรื่องนี้จึงถือว่า เป็นบริบทใหม่ที่จะปรับโครงสร้างของประเทศ ก่อนที่ประชากรไทยจะแก่กันหมด เป็นบริบทใหม่ที่จะปรับภาคเกษตรให้มีรายได้สามารถเงยหน้าอ้าปากได้ก่อนต้องขายนา ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ จนไม่อากาศให้หายใจ”