- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ค้นคำตอบ ชะล่าใจหรือไม่เชื่อ “กรุงเทพฯ” นครใต้น้ำ ?
ค้นคำตอบ ชะล่าใจหรือไม่เชื่อ “กรุงเทพฯ” นครใต้น้ำ ?
“ฝนมาก น้ำหลาก จากท้องทุ่ง
ไหลเข้ากรุง แผ่นดินทรุด สุดแก้ไข
โลกร้อนซ้ำ น้ำทะเลสูง รู้แก่ใจ
เมืองหลวงไทย ใต้บาดาล ไม่นานรอ”
บทกลอนของรศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ที่เกริ่นนำในงานสัมมนา “กรุงเทพนครใต้น้ำ” จัดโดยคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ร่วมกับสถานีวิทยุ เอฟเอ็ม 101 Radio Report One และบริษัท ไทยประกันชีวิต ณ ห้องรับรอง 1 – 2 อาคารรัฐสภา 2 เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 5 เดือนตุลาคมที่ผ่านมา สามารถบอกจุดอ่อน กรุงเทพฯ จะเป็นนครใต้น้ำ จริงหรือไม่ ได้อย่างย่อสุด
ด้วยมีการคาดการณ์จากหลายแหล่งว่า อีกไม่นาน “น้ำ” จะท่วม 9 เมืองใหญ่ตามภูมิภาคอาเซียน
“กรุงเทพมหานคร” หนีไม่พ้น
ตอกย้ำ...ด้วยข้อมูลผลวิจัยของสถาบันเวิลด์วอทช์ ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ทำการศึกษาวิจัยด้านสภาพแวดล้อมทั่วโลก ระบุว่า จากการศึกษาของสหประชาชาติ (UN) และอีกหลายสถาบัน พบเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลทั่วโลก กำลังเผชิญกับอันตรายจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และพิบัติภัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
“กรุงเทพมหานคร” 1 ในเมืองชายฝั่ง จากทั้งหมด 33 แห่ง มีความเสี่ยง และมีความเปราะบางสูงมากที่จะถูก...น้ำท่วม
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ( Intergovernmental Panel on Climate Change:IPCC) รศ.ดร.เสรี ประเมินแรงขับที่ทำให้กรุงเทพฯ มีความเสี่ยงถูกน้ำท่วมว่า มาจาก ฝนตกหนัก น้ำเหนือมากขึ้น ระดับน้ำทะเลสูง แผ่นดินทรุดตัว ผังเมืองแออัด และการบริหารจัดการ โดยเฉพาะพื้นที่ริมน้ำ 5-10 กิโลเมตร ทั้ง แสมดำ บางขุนเทียน บางบอน จอมทอง ทุ่งครุ บางแค (บางส่วน) จะมีปัญหาแน่นอน
ดังนั้น การมองปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติ บอกว่า อย่ามองว่าเป็น “ภัย” ขอให้มองว่า เป็น “เพื่อน” แล้วกลับมาที่การบริหารจัดการ ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ กทม. ทำคนเดียวไม่ได้ หรืออดีตไปฝากความหวังไว้ที่กรมชลประทาน ก็ถือเป็นแนวคิดที่ผิดตั้งแต่ต้น เรื่องน้ำท่วม ต้องรับผิดชอบอย่างบูรณาการร่วมกัน ในพื้นที่ ในจังหวัด ไม่ใช่ปล่อยให้กรมชลประทานรับผิดชอบเพียงหน่วยงานเดียว
กทม.ทำศึก...ที่ไม่มีวันชนะ
สำหรับแนวการบริหารจัดการน้ำของกรุงเทพมหานคร ในมุมมองนายสุรจิต ชิรเวทย์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการทรัพยากรน้ำ ในคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา แสดงความเห็นการจัดการกับน้ำว่า น้ำเป็นเพศหญิง มีคุณสมบัติอ่อนโยน แผ่กระจาย ไหลซ่าน เชื่อมโยงประสาน เอาใจยาก การที่เราไประเบิดภูเขา ซึ่งเป็นเพศชาย มากั้นลำน้ำ ไม่มีทางชนะได้ อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวกับน้ำมากถึง 9 กระทรวง 22 กรม ทำให้การบริหารจัดงานเรื่องน้ำ สับสน
“กรุงเทพฯ มีปัญหาน้ำท่วม 3 เดือน แต่กำลังคิดการใหญ่ สร้างป้อมปราการล้อมกรุง ถือเป็นการ มองปัญหาชั่วคราว 3 เดือนให้เป็น 12 เดือน ภาวะน้ำท่วมเป็นภาวะชั่วคราว กลับไปแก้ปัญหาถาวรทั้งปี ”ส.ว.สมุทรสงคราม ชี้ไปที่แก่นของปัญหา และย้อนความให้ฟังว่า กรุงเทพฯกับแม่กลอง รากฐาน และวัฒนธรรมเดียวกัน คือ เป็นเมืองปากแม่น้ำ ทำเกษตรแบบดินยกร่อง “บางช้างสวนนอก” คือ แม่กลอง “บางกอกสวนใน” คือกรุงเทพฯ บรรพบุรุษของเราไม่ได้เรียนผังเมือง แต่สามารถรู้กายภาพของพื้นที่ชุ่มน้ำ ว่า ต้องสร้างเครือข่ายน้ำแนวนอน จากนนทบุรีถึงพระประแดง มีคลองซอยไม่ต่ำกว่า 2,000 สาย แต่กรมชลประทานไม่เข้าใจ ทำประตูปิดหมด ทั้งที่การบริหารจัดการน้ำนั้น ที่สำคัญคือจังหวะการปิด เปิด ระบายหรือรับน้ำ
ขณะที่ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สะท้อนข้อเท็จจริงปัญหากรุงเทพฯ คือการจมตัวของแผ่นดิน บวกระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น การไม่ทำอะไรเลย กรุงเทพฯ จมน้ำแน่นอน
“ในทางปฏิบัติ เป็นไปไม่ได้ คนกรุงเทพฯ จะงอมืองอเท้า แล้วปล่อยให้เป็นไปเรื่อยๆ เรื่องน้ำท่วม คนที่ต้องทำหน้าที่นี้ คือนักวิชาการ ในระยะสั้นนักวิชาการต้องเข้ามามีบทบาท ด้วยการเข้ามาทำงาน สร้างความชัดเจนด้านข้อมูล ใช้วิธีการที่หลากหลาย ศึกษาแบบหน้ากระดาน พยายามเอาข้อมูลมาเชื่อมโยงกันให้ได้ จากนั้นส่งความรู้ไปถึงประชาชน คือ ความรู้พื้นฐานว่า สาเหตุ อัตราเร่ง ควรเป็นเท่าไหร่ หาทางออก มีทางเลือกกี่ทาง”
ดร.สมิทธ เชื่อกรุงเทพฯ น้ำท่วมขังถาวรในอนาคต
อีกผู้หนึ่งที่มีความเชื่อ โดยไม่ลังเล กรุงเทพฯ จะมีน้ำท่วมขังถาวรในอนาคต ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ
คำถามที่ว่า อะไรจะเกิดขึ้น หากกรุงเทพฯ ซึ่งมีประชากร 10 กว่าล้านคน จะมีน้ำท่วมขัง ดร.สมิทธ ประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นทันที แค่น้ำท่วมถาวร 50 เซนติเมตรในกรุงเทพฯ รถหลายแสนคัน ก็จะติดกันเป็นแถว ไม่ไหนไม่ได้ เศรษฐกิจจะเสียหายเป็นลำดับแรก และกระทบไปยังจังหวัดที่อยู่ริมชายฝั่ง สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม ที่มีโรงงานขนาดเล็กและขนาดกลางเป็นหมื่นๆแห่ง
“พระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว พระที่นั่งอนันตสมาคม หากน้ำท่วมกรุงเทพฯ ถาวร วิศวกรโครงสร้างบอกว่า โบราณสถานเหล่านี้ ไม่ได้สร้างบนต้นเข็ม สร้างมากว่า 200 ปี สร้างบนต้นซุงที่ขัดกันอยู่ การที่น้ำท่วมนาน ๆ มีการขยับเขยื้อนของซุงที่อยู่ข้างล่าง สิ่งก่อสร้างโบราณสถานเหล่านี้จะพังทลายหมด ลูกหลานเราจะไม่ได้เห็นอีกต่อไป” ดร.สมิทธ เปิดประเด็นที่ทำให้รู้สึกวิตกกังวลมากขึ้น
การที่ผู้ที่เกี่ยวข้องยังมีความเชื่อ น้ำจะไม่ท่วมกรุงเทพฯ ปล่อยไปโดยไม่ได้ป้องกันแก้ไข แถมชะล่าใจ จนตัดสินใจลงทุนเป็นหมื่นๆ ล้านบาท สร้างรัฐสภาแห่งใหม่ที่เกียกกาย ติดแม่น้ำนั้น ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ พูดด้วยความเจ็บใจ ในฐานะเป็นข้าราชการบำนาญที่ยังต้องเสียภาษี โดยเห็นว่า ทำไมถึงไม่เลือกสถานที่ที่สูงกว่านี้
“โปรดพิจารณาใหม่ ยังไม่สายเกินไป และที่เจ็บใจมากที่สุดในรัฐบาลชุดนี้ คือการลงทุนสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน สายละกว่าแสนล้านบาท สร้างมาทำไมหากเกิดน้ำท่วม ใช้งานไม่ได้ หรือไม่เชื่อว่า น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ”
พร้อมกันนี้ ดร.สมิทธ ยังห่วงเรื่องน้ำทะเลหนุนขึ้นไปถึงคลองประปา คนกรุงเทพฯ จะไม่มีน้ำจืดใช้ ขอให้กรุงเทพฯ หยุดสร้างรถไฟฟ้านำเงินไปสร้างเขื่อนให้ชาวบ้านที่ประสบปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะแทน ให้แผ่นดินงอกขึ้นมา และทำคันกั้นน้ำริมชายฝั่งทะเลเหมือนประเทศเวียดนาม
บ้านขุนสมุทรจีน สัญญาณเตือน กรุงเทพฯ จมน้ำ
อะไรเป็นสัญญาณเตือน กรุงเทพมหานครจะเป็นนครใต้น้ำ เรื่องราวของชุมชน “บ้านขุนสมุทรจีน” มีคำตอบให้เห็นเป็นรูปธรรม
โดยเฉพาะรอบๆ วัดขุนสมุทราวาส หรือวัดขุนสมุทรจีน จ.สมุทรปราการ และบริเวณพื้นที่ฝั่งตะวันตก เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร กำลังถูกน้ำทะเลค่อยๆ รุกคืบ กัดเซาะ พื้นที่กว่าครึ่งจมทะเลไปหมดแล้ว
ผู้ที่ต่อสู้มาทุกรูปแบบจนหมดปัญญา เรียกร้องขอทางการช่วยเหลือมาตั้งแต่ปี 2537 แต่ไม่เคยได้รับความสนใจ “สมร เข่งสมุทร” ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 บ้านขุนสมุทรจีน บอกถึงสภาพปัญหาและความเสียหายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ หลายครอบครัวต้องอพยพย้ายบ้านหนีน้ำ บ้านขุนสมุทรจีน หมู่ 8 จาก 177 ครัวเรือน เหลือบ้าน 20 กว่าหลัง, บ้านขุนสมุทรจีน หมู่ 9 เดิมมี 200 ครัวเรือน ขณะนี้เหลือ 110 ครัวเรือน โดยในทะเบียนราษฎรมี 170 ครัวเรือน อีก 1 ครัวเรือนเป็นบ้านกลางทะเล พร้อมรื้อถอน ขณะที่บ้านขุนสมุทรจีน หมู่ 10 ตอนนี้หมด ไม่เหลือแล้ว
“นี่เป็นเรื่องปกติหรือ....กับการเรียกร้องให้ทางการช่วยเหลือทำเขื่อนประมาณ 12-14 กิโลเมตร แล้วปลูกป่า เพราะเขื่อนอย่างเดียวไม่ได้ ไม่มีป่า เขื่อนก็อยู่ไม่ได้" ป้าสมร พรั่งพรูออกมา พร้อมกับยืนยันว่า สิ่งที่ทำมาทั้งหมดไม่ได้คิดเอาชนะธรรมชาติ แต่คิดอย่างเดียวทำอย่างไรจะอยู่กับธรรมชาติให้ได้วันนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องคิดใหม่ มาเดินด้วยกัน เพราะเราไม่ได้คิดหมู่บ้านขุนสมุทรจีนมีความสำคัญ จะล่มสลายก็ไม่เป็นไร แต่กรุงเทพฯ จะทำอย่างไรกัน บ้านยังยกสูงได้ ตึกทำอย่างไร หากน้ำท่วมกันเซาะเข้ามาเรื่อยๆ กรุงเทพฯ คิดจะยกถนน ยกสาธารณูปโภค แต่กลับลืมตัดสินใจ ลืมนึกถึงการทำกำแพงหน้าด่าน ทำเขื่อน แล้วปลูกป่า
แม้วันนี้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้น ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนในการดำเนินงานแก้ไข หญิงวัยกลางคน ผิวคร้ามแดด ตัวแทนภาคประชาชนผู้ประสบปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ ระบายความอัดอั้นตันใจส่งท้าย ด้วยบทเพลงที่ต้องการสื่อไปถึงคนกรุงเทพฯ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ว่า ผืนแผ่นดินบ้านขุนสมุทรจีน กำลังจะหายไปจากแผนที่ประเทศไทย
“หมู่บ้านขุนสมุทรจีน ที่ทำมาหากิน สูญสิ้นไป
น้ำทะเลท่วมล้น ทนอยู่ไม่ได้ ไม่มีใครช่วยเหลือดูแล
อยู่กันอย่างลำบากจริงๆ เกือบหมดแล้วทุกสิ่ง หมู่บ้านต้องมาเปลี่ยนแปลง
ขอวอนท่านทั้งหลาย ช่วยกันคิดแก้ ปวดใจแท้เมื่อมามีภัย…..
ทนอยู่ ดูเหตุการณ์ พี่น้องทุกบ้าน หัวใจหวั่นไหว
ชอกช้ำน้ำทะเล คลื่นลูกใหญ่ ท่วมทำลายวัด และบ้านเรา
ขอความกรุณา โปรดช่วยเหลือคิดว่า ช่วยแบ่งเบา
บ้านขุนสมุทรจีน สุดแสนเศร้า หมู่บ้านเรา ไร้คนเหลียวมอง
บ้านขุนสมุทรจีน หมู่บ้านเก่า โปรดช่วยเรา แล้วท่านได้บุญ…”
"ในหลวง" ทรงรับสั่งแก้ปัญหาน้ำท่วม ต้องมองรวมกันให้เสร็จ
วันและเวลาเดียวกัน ที่สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาวิชาการ เรื่อง วิกฤติน้ำท่วมประเทศไทย..แค่ไหน? ปัญหา ทางออก เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา 36 ปี โดยเน้นไปที่การบริหารจัดการเรื่องน้ำ ที่ต้องมีหลักคิดตรงกันให้ได้ก่อน เข้าใจธรรมชาติของน้ำ และรู้จักนำมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับพื้นที่
โดยเฉพาะแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีต่อวิกฤตน้ำ...
นายเฉลิมเกียรติ แสนวิเศษ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
“การบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริ พระองค์ท่านเริ่มจากการสังเกต ศึกษาด้วยพระองค์เอง ใช้วิธีหลักง่ายๆ คือ ประหยัด เป็นขั้นตอน ใช้ธรรมชาติ ช่วยแก้ไขธรรมชาติ ซึ่งทฤษฎีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานมาเกือบ 3,000-4,000 โครงการ อาทิ โครงการฝนหลวง เมื่อมีฝน ทั้งแท้และเทียม ก็ทำให้ส่วนแห้งแล้ง ดินเกิดความชุ่มชื้น ส่วนที่เป็นป่าก็ฟื้นตัว ซึ่งการจะทำให้เกิดประโยชน์นั้นต้องคิดทุกส่วน ต้องเอามาตั้งแต่เรื่องป่า ไม่เฉพาะเจาะจงเพียงเรื่องน้ำ
ในปีพ.ศ. 2547 รับสั่งไว้ว่า เมื่อเกิดน้ำท่วมที่ใดที่หนึ่ง ต้องศึกษาอย่างทั่วถึงให้เข้าใจ ถึงสาเหตุที่เป็นมา ประมาณการอนาคต การป้องกันแก้ไขจะได้กำหนดวิธีการเพื่อความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ก็คือ ต้องสังเกต ศึกษา โดยบริหารจัดการตามหลักธรรมชาติและเสริมศักยภาพตามหลักธรรมชาติ อีกทั้งนำโครงการต่างๆ มาบูรณาการ และศึกษา วิจัยอย่างมีระบบ ลึกซึ้ง
ซึ่งวิธีธรรมชาติง่ายๆ คือ การมีส่วนร่วมซึ่งกันและกัน ใน อบต. อบจ. ดูแลจัดการเองในท้องถิ่นด้วย ก่อนจะขึ้นมาถึงส่วนกลาง
ที่ยังเป็นปัญหาอย่างซ้ำซาก ก็เพราะที่ผ่านมายังไม่เกิดการบริหารจัดการที่แท้จริง ให้เรื่องน้ำเป็นส่วนของประเทศ ไม่ใช่หน้าที่ กรม กองเท่านั้น ต้องมีองค์กรกลางออกมาจัดการ ซึ่งกรม กระทรวงเดียวจะจัดการไม่ได้ เพราะต้องขึ้นกับรัฐบาลว่าจะผลักดันเรื่องนี้ให้เกิดได้อย่างเต็มที่ได้ อย่างไร”
แก้ปัญหาน้ำท่วมกับน้ำแล้งอย่าแยกกัน
ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน)
“เราใช้วิธีแก้ตามทฤษฎีแบบอย่างของฝรั่ง ไม่เอาบทเรียนที่พระองค์ท่านที่ศึกษาไว้มาแก้เลย เช่น เราศึกษาโจทย์แคลิฟอร์เนียที่แก้ปัญหาน้ำ ซึ่งเขาแก้ได้สำเร็จ เราก็เอามาใช้ แต่ลืมคำนึงสภาพเป็นจริงในไทยแลนด์ เพราะวิธีของเขาแก้ง่าย หรือที่ประเทศอิสราเอลสามารถเก็บน้ำได้ทุกหยด เพราะใช้วิธีการวางระบบน้ำ แล้วประเทศไทยก็จะมาเอาอย่าง แต่ระบบชลประทานก็ไม่ได้ครอบคลุม การวางท่อน้ำก็ไม่มี หากมองในความเป็นจริง ก็เสียไปโดยเปล่าประโยชน์
นักวิชาการอิสราเอล เคยบอกว่า ประเทศไทยน้ำแล้ง เพราะปัญหามาจากการวางระบบท่อส่งน้ำ แก้ได้ง่ายนิดเดียว ซึ่งความจริง ก็ยังคนละโจทย์อยู่ดี และจัดการไม่ได้
ถึงเวลานี้ เราควรที่จะคิดว่า หลักการที่พระองค์สร้าง คือ คำตอบแล้ว เพียงขึ้นอยู่ที่เราว่าจะเดินเข้าไปอย่างไรเพื่อที่จะไม่ให้หลงทางเท่านั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสไว้ว่า การแก้ปัญหาน้ำท่วมกับน้ำแล้งอย่าแยกออกจากกัน
ดังนั้นการบริหารจัดการน้ำต้องยืดหยุ่น มองว่า น้ำ คือความมั่นคง หากไม่ยกระดับน้ำจากทรัพยากร ไปเป็นความมั่นคง จะแก้ปัญหาไม่ได้ ต้องทำเพื่อแก้ปัญหา ว่าน้ำคือ ชีวิต จึงจะสามารถแก้ปัญหาการจัดการน้ำได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับสั่งเมื่อวันที่ 30 ก.ค. ที่ผ่านมาว่า วันนี้สิ่งที่เราต้องทำในการแก้ปัญหาน้ำท่วม คือ ต้องมองรวมกันให้เสร็จ ทุกอย่างต้องบูรณาการ การทำงาน เพราะการจัดการเรื่องน้ำในบ้านเรา เป็นเพียงบูรณาการกิจกรรม แต่แท้จริงหลักคิดก็ยังไม่เหมือนกัน แค่จัดกลุ่มเท่านั้น เช่น หลักคิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แท้จริงแล้ว น้ำเพียงพอ หรือจะสูบน้ำขึ้นมาใช้จากแม่น้ำโขงก็สามารถทำได้ เพียงจะประสานงานกันหรือไม่ หากทุกส่วนประสานงานกัน ทุกอย่างก็เดินต่อไปได้ ซึ่งจุดที่ยากที่สุด ที่ต้องจัดการก็คือ หน่วยงาน กรม ทบวง ที่ประสานงานกันค่อนข้างยาก
ฉะนั้น ปัญหาอยู่ตรงที่ เมื่อหลักคิดไม่ตรงกัน ความเชื่อคนละอย่าง ข้อมูลก็ออกมาคนละอย่าง การจัดการแก้ปัญหา ก็จะออกมาคนละอย่าง ดังนั้น ต้องทำให้หลักคิดต้องตรงกันเสียก่อน”
เขื่อน-แก้มลิง แก้ปัญหาอนาคต
นายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
“ต้องบอกว่า คนไทยโชคดีที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เริ่มจาก รัชกาลที่ 5 ริเริ่มทำการขุดคลอง ทำเรื่องการชลประทาน และรัชกาลที่ 9 ก็ ทรงให้ความสนใจเรื่องน้ำ ทั้งการจัดการน้ำแล้ง เพื่อประชาชน อาทิ น้ำอุปโภคบริโภค การเกษตร ปัญหาน้ำเค็ม ดินเปรี้ยว น้ำเสีย น้ำท่วม พระองค์ ท่านทรงมีพระปรีชาสามารถมาก ทรงมองเห็นอนาคต ในการป้องกันอุทกภัย เช่น ในปี 2527-2528 ทำการป้องกันน้ำท่วม กทม.และปริมณฑล ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ขณะเดียวกันฝั่งตะวันตก ตะวันออก ก็มีโครงการแก้มลิง ไว้ป้องกัน และอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่พระองค์ท่านเริ่มแก้ไขจากต้นตอของปัญหา เมื่อได้ผลก็ทรงทำที่เขื่อนป่าสักต่อ ดังนั้น พระมหากรุณาธิคุณนี้ทำอย่างไรให้ส่วนราชการ ประชาชน เข้ามาร่วมมือแก้ไขปัญหา ฝ่าฟันร่วมกัน”