- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- “ไอโอดีน” ปัญหาเด็กไทยไอคิวต่ำ ต้องขับเคลื่อนที่พลังสังคม
“ไอโอดีน” ปัญหาเด็กไทยไอคิวต่ำ ต้องขับเคลื่อนที่พลังสังคม
งานมหกรรม “รวมพลังประเทศไทย เพิ่มไอโอดีน เพิ่มไอคิว” ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดขึ้นภายในบริเวณลานศูนย์การค้าสยามพารากอน เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2553 ซึ่งวันนั้นมีนายกรัฐมนตรี (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เดินทางไปเป็นประธานเปิดงานด้วยตนเอง พร้อมทั้งได้เชิญชวนคนไทยทั้งประเทศแสดงพลังร่วมกันประกาศเจตนารมย์ของประเทศไทยที่จะส่งเสริม สนับสนุนให้ประชาชนในประเทศทุกคนต้องได้รับ “สารไอโอดีน” อย่างมีคุณภาพ เพื่อให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นนั้น ถือเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ขณะนี้รัฐบาลไทยได้กำหนดให้เรื่องนี้กลายเป็น “วาระแห่งชาติ” ไปเรียบร้อยแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดกันเล่า ที่เป็นตัวจุดประกายให้รัฐบาลไทยเล็งเห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้ และถือว่าเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไข
ไอโอดีนสำคัญอย่างไร?
ไอโอดีน คือ ธาตุที่เกิดในธรรมชาติ มีมากในสัตว์และพืชในทะล เป็นธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย แม้ต้องการเพียงเล็กน้อย แต่ก็ขาดไม่ได้ เพราะเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นในการผลิตฮอร์โมนของต่อมธัยรอยด์ คือ “ฮอร์โมนธัยร็อกซิน” ซึ่งฮอร์โมนนี้จำเป็นสำหรับควบคุมการทำหน้าที่และเสริมความเจริญเติบโตตามปกติของสมอง ประสาท และเนื้อเยื่อของร่างกาย
หากขาดสารไอโอดีน จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะผิดปกติ เช่น 1.หากเป็นทารกในครรภ์ อาจแท้ง ตายคลอด โดยแม่ที่กำลังจะคลอดมีอัตราเสี่ยงตายสูง ส่วนทารกที่รอดชีวิตเมื่อเติบโตจะมีอาการทางประสาท ปัญหาอ่อน ใบ้ งั่ง หูหนวก ขาแข็ง กระตุก ตาเหล่ ร่างกายแคระแกรน2.หากเป็นทารกแรกเกิด การทำหน้าที่ของต่อมธัยรอยด์ต่ำกว่าปกติแต่กำเนิด มีอัตราป่วยและตายสูง 3.หากเป็นเด็กวัยรุ่น มีความเจริญทางสมอง สติปัญญาและการเจริญเติบโตทางร่างกายช้า เป็นคนปัญญาอ่อน 4.หากเป็นผู้ใหญ่ มีคอพอกและอาการแอบแฝง ทำให้การทำหน้าที่ของร่างกายด้อยลง ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสมรรถภาพในการทำงาน
แต่ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เมื่อปี 2550 ระบุว่า มีประชากรเกือบ 2,000 ล้านคนทั่วโลก ได้รับสารไอโอดีนน้อยเกินไป และ 1 ใน 3 ของจำนวนนี้เป็นเด็กในวัยเรียน ทั้งๆ ที่สภาพการขาดสารไอโอดีนจนทำให้สมองบกพร่องเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ง่ายมาก
ทั้งนี้ข้อมูลจากกรมอนามัย สธ.ระบุว่ามีการสำรวจในประเทศไทยพบว่า หญิงตั้งครรภ์กว่าร้อยละ 70ไม่ได้รับสารไอโอดีนอย่างเพียงพอ และพบอีกว่า เด็กแรกเกิดทุกจังหวัดในประเทศมีภาวะขาดสารไอโอดีนในจำนวนที่สูงกว่าเกณฑ์ปกติ โดยสถิติที่กรมอนามัยได้ทำการสำรวจไว้นั้นได้ชี้ให้เห็นด้วยว่า เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี มีระดับพัฒนาการต่ำลงเรื่อยๆ ทั้งทางร่างกายและสติปัญญา
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยของโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ศึกษาพบว่าค่าเฉลี่ยไอคิวของเด็กไทยลดลงจาก 91 จุด ในปี 2540 เหลือเพียง 88 จุด ในปี 2545 โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่พบว่าค่าเฉลี่ยลดลงเหลือเพียง 85.9 จุดเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานสากลที่ตั้งไว้ประมาณ 90-110 จุด แต่ยังไม่จบเท่านั้น เพราะตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ยังระบุว่าในปี 2548-2549 ครัวเรือนไทยเพียงร้อยละ 58 เท่านั้นที่บริโภคเกลือผสมไอโอดีน และที่แย่ไปกว่านั้นคือ พบว่าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการบริโภคเกลือผสมไอโอดีนน้อยกว่านี้เกินครึ่ง
ข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ยังสอดคล้องกับผลการสำรวจระดับสติปัญญา หรือไอคิวเด็กทั่วโลก ที่ ศ.ริชาร์ด ลีน (Richard Lynn) นักวิจัยชาวอังกฤษ และ ศ.ตาตู แวนฮานีน (Tatu Vanhanen) นักวิจัยชาวฟินแลนด์ ร่วมกันสำรวจระดับไอคิวเด็กจาก 190 ประเทศทั่วโลก เมื่อปี 2549 ที่ระบุว่า ตัวเลขไอคิวเฉลี่ยของเด็กในระดับมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นที่ยอมรับอยู่ที่ 90-110 จุด โดยมีระดับต่ำที่สุดคือ 59 จุด และสูงที่สุดคือ 108 จุด ในจำนวน 190 ประเทศ มีเพียง 66 ประเทศเท่านั้น ที่ระดับไอคิวเฉลี่ยได้ตรงตามมาตรฐานสากล โดยประเทศที่เด็กมีระดับไอคิวสูงที่สุดในโลก 10 อันดับ ได้แก่ ฮ่องกง และสิงคโปร์ ระดับไอคิวเฉลี่ย 108 จุด เกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ ระดับไอคิวเฉลี่ย 106 จุด ญี่ปุ่น จีน และไต้หวัน ระดับไอคิวเฉลี่ย 105 จุด อิตาลี ระดับไอคิวฉลี่ย 102 จุด ไอซ์แลนด์ มองโกเลีย และสวิสเซอร์แลนด์ ระดับไอคิวเฉลี่ย 101 จุด
สำหรับระดับไอคิวเฉลี่ยของเด็กไทยอยู่ที่ 91 จุด จัดอยู่ในอันดับที่ 53 จาก 190 ประเทศ ซึ่งต้องยอมรับว่าขณะนี้ไอคิวของเด็กไทยยังคงน่าเป็นห่วง เพราะเกือบจะตกเกณฑ์มาตรฐานสากล ที่สำคัญไอคิวของเด็กไทยยังถูกจัดให้อยู่ในระดับเดียวกับเด็กบรูไน และกัมพูชา
เข้มมาตรการเพิ่มไอโอดีน
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ทั้งในระดับโลก และระดับประเทศ เพราะมีการศึกษาและเห็นถึงความสำคัญของสารไอโอดีนมาแล้วกว่า 100 ปี สำหรับในประเทศไทยนั้น มีการพูดถึงเรื่องนี้มาไม่ต่ำกว่า 60 ปี แต่ส่วนใหญ่เป็นเพียงกระบวนการสร้างความตระหนัก ไม่ใช่การบังคับ กระทั่งเมื่อระยะ 30 ปีหลัง มีการจัดตั้งคณะกรรมการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีนแห่งชาติ ขณะที่ กรมอนามัย สธ. ได้จัดตั้งระบบการเฝ้าระวังโรคขาดสารไอโอดีนและมีกลยุทธ์ในการควบคุมป้องกัน โดยมีประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ 153/2537 ให้เกลือบริโภคทุกชนิดต้องมีสารไอโอดีน อย่างน้อย 30 ส่วน ใน 1 ล้านส่วน รณรงค์และส่งเสริมให้ประชาชนบริโภคเกลือไอโอดีนทุกครัวเรือน ทุกวันและตลอดไป นอกจากนี้ยังมีการจัดทำกลยุทธ์เข้มข้น และติดตามผลตามระยะเวลาที่กำหนด ดังนี้
1.น้ำดื่มเสริมไอโอดีน ส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่ที่มีอัตราคอพอกสูงดื่มน้ำผสมไอโอดีน ปริมาณสารไอโอดีน 200 ไม่โครกรัมต่อน้ำ 1 ลิตร เท่ากับความต้องการสารไอโอดีนของแต่ละคนใน 1 วัน โดยเริ่มในโรงเรียน และขยายไปยังครัวเรือน
2.น้ำปลาเสริมไอโอดีน ในในพื้นที่ที่มีการบริโภคน้ำปลามากกว่าเกลือ โดยเติมสารไอโอดีนเข้มข้น 6 หยด ในน้ำปลา 1 ขวด (เท่ากับ 750 มิลลิลิตร) หากกินน้ำปลาวันละ 25 มิลลิลิตรต่อคน จะได้สารไอโอดีน 200 ไมโครกรัม ซึ่งเพียงพอกับความต้องการ
3.ยาเม็ดไอโอดีน เป็นมาตรการพิเศษที่ใช้ในพื้นที่ทุรกันดาร มีอัตราเป็นคอพอกสูง และการใช้เกลือและน้ำดื่มเป็นไปไม่ได้ดีเท่าที่ควร กลุ่มเป้าหมายที่ให้คือ หญิงวัยเจริญพันธุ์ หญิงมีครรภ์ และเด็กวัยเรียน ซึ่งต้องให้ทุก 6 เดือน
ปัจจุบันนโยบายที่ สธ.ดำเนินการควบคุมและป้องกันโรคขาดสารไอโอดีน ได้แก่ 1.การขับเคลื่อนนโยบายเกลือเสริมไอโอดีนถ้วนหน้าสู่การปฎิบัติอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ 2.การจ่ายยาเม็ดเสริมไอโอดีนให้หญิงตั้งครรภ์ตลอดการตั้งครรภ์และขณะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 6 เดือน 3.การร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนร่วมพัฒนาชุมชน หมู่บ้านไอโอดีน 4.การเสริมไอโอดีนในน้ำดื่มในพื้นที่ทุรกันดารตามโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ 5.การรณรงค์สร้างกระแส ความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักเรื่องไอโอดีนที่มีผลต่อพัฒนาการสมวัยและสติปัญญา
ขับเคลื่อนด้วยพลังสังคม
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข บอกว่า ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า ไอโอดีนมีผลต่อพัฒนาการไอคิวราว 10-15 จุด จึงมอบหมายภารกิจสำคัญให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ คือ 1.แต่งตั้งอาสามัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ประมาณ 1 ล้านคนทั่วประเทศ เป็นทูตไอโอดีน 2.ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนให้เกิดชุมชน หรือหมู่บ้านไอโอดีน 3.ตรวจสอบคุณภาพเกลือเสริมไอโอดีนและผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีน ณ แหล่งผลิต สถานที่จำหน่าย ร้านค้า ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียน ร้านอาหาร และครัวเรือน โดยทุกจังหวัดต้องดำเนินการต่อเนื่องจนถึงวันไอโอดีนแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ 25 มิถุนายน 2554 ซึ่งคาดว่านโยบายของ สธ.จะสามารถทำให้การพัฒนาระดับไอคิวของเด็กสูงขึ้นได้ แต่อาจต้องใช้เวลา
อย่างไรก็ดี เมื่อเดือนกันยายน 2553 นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ในงานปาฐกถาอารี วัลยะเสวี ไว้ว่า การแก้ไขปัญหาขาดสารไอโอดีนที่ใช้ได้ผลในทุกสังคมคือ การผสมสารโซเดียมไอโอไดต์ สารโปแตสเซียมไอโอไดต์ หรือสารไอโอเดตลงไปในเกลือที่ใช้บริโภค เพราะเกลือสารอาหารที่ร่างกายขาดไม่ได้ แม้ในบางสังคมไม่บริโภคเกลือในรูปของเกลือโดยตรง แต่ก็ต้องผสมลงไปในเครื่องปรุงชนิดต่างๆ ดังนั้นในประเทศที่เกิดภาวะขาดไอโอดีนสูงมาก อาจต้องมีการผสมสารเหล่านั้นลงในอาหารอื่นๆ ด้วย เช่น แป้งสาลี น้ำ และนม เป็นต้น
นายอานันท์ ชี้ว่าการผสมสารไอโอดีนในเกลือเป็นวิธีที่ถูกที่สุด และให้ผลคุ้มค่าต่อการลงทุนมากที่สุด แต่หากคิดจะลงทุนเพียงผลิตเกลือไอโอดีนอย่างเดียว ผลจะได้น้อยมาก แต่หากมุ่งเน้นให้การศึกษาแก่ผู้ผลิตและผู้บริโภคเกลือ หรือเข้าไปกำกับควบคุมการผลิตและจำหน่าย และมีการรณรงค์กับสาธารณะ กลุ่มผู้ค้า นักการเมือง และผู้กำหนดนโยบาย จะได้ผลมากกว่า
เหตุผลที่นายอานันท์ได้แสดงความเห็นไว้เช่นนั้น เพราะปัจจุบันสภาพการขาดสารไอโอดีน ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา แต่แม้ในประเทศที่พัฒนาแล้วก็ยังเกิดภาวะเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีคำแนะนำของแพทย์ด้านโรคหัวใจให้ลดการบริโภคเกลือ ทำให้คนส่วนใหญ่รับสารไอโอดีนจากอาหารน้อยลง ในขณะที่มีความนิยมบริโภคอาหารสำเร็จรูปที่มักไม่ค่อยมีส่วนประกอบของสารไอโอดีนมากขึ้น
นายอานันท์ ยังสะท้อนด้วยว่า น่าอัศจรรย์ที่ก่อนหน้านี้ เด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ถูกละเลยกับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้มาตลอด เพราะผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในการบริหารประเทศ หรือกำหนดนโยบายไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง เนื่องจากผลกำไรจากส่วนนี้มีไม่มากหากเทียบกับการต่อสู้กับธุรกิจผลิตภัณฑ์นม หรือเครื่องดื่มประเภทต่างๆ
เหมือนดังเช่นที่ ศ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการอิสระ ได้กล่าวไว้สั้นๆ เข้าใจง่าย ว่า ในระบบการเมืองไทย หากเป็นนโยบายระดับชาติมักไม่เกิดจากการผลักดันของสังคม แต่เกิดจากการผลักดันของหน่วยราชการ กลุ่มนักการเมือง ดังนั้น หากนโยบายใดไม่ให้ผลประโยชน์แก่ข้าราชการหรือนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ทางอำนาจ ผลประโยชน์ทางธุรกิจ หรือผลประโยชน์จากคะแนนเสียง ต่อให้นโยบายนั้นดีหรือสำคัญแค่ไหนก็มักถูกมองข้าม ดังนั้น ความรู้ใดๆ ก็จะเป็นเพียง “รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม” ไม่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนสังคม
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด กรมสุขภาพจิต สธ.ได้ทำการสำรวจไอคิวเด็กไทยทั่วประเทศ อายุ 6-17 ปี จำนวน 93,923 ราย ตั้งแต่วันที่ 13-24 ธันวาคม 2553 การสำรวจครั้งนี้ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และนับว่าเป็นครั้งใหญ่ของโลก ซึ่งจะทราบผลภายในเดือนมกราคม 2554
มาติดตามดูกันว่า ไอคิวของเด็กไทยจะพัฒนาไปในทิศทางใด!