- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- จัดทัพปฏิบัติการ "กลับรูป" ประเทศ "แฝดอิน-จัน VS องค์กรพหุภาคี"
จัดทัพปฏิบัติการ "กลับรูป" ประเทศ "แฝดอิน-จัน VS องค์กรพหุภาคี"
เปิดตัวกันไปแล้ว สำหรับคณะกรรมการปฏิรูปที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป ที่มี ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส นั่งเป็นประธาน มีกรอบเวลาทำงาน 3 ปี เพื่อให้ปฏิรูปประเทศไทยบรรลุผล
ดูรายชื่อล้วนแต่เป็นคนเด่นดัง และเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของคนในสังคม จึงเป็นที่แน่นอนว่า ปฏิรูปใหญ่ครั้งนี้ก้าวข้ามรัฐบาลอภิสิทธิ์ไปอย่างแน่นอน
ปฏิรูปฉบับแฝด ‘อิน-จัน’ ทำคนละเรื่อง ในเรื่องเดียวกัน
วันแถลงข่าวเปิดตัวกรรมการที่บ้านพิษณุโลก อดีตนายกฯ อานันท์ บอกถึงขอบเขตการทำงานของคณะทำงานปฏิรูป 2 ชุดนี้ว่า ที่มีฐานะเท่าเทียมกัน ทำงานคล้ายฝาแฝด “อิน-จัน” 2 ขา ไปด้วยกัน ทำคนละเรื่อง ในเรื่องเดียวกัน
“การทำงานส่วนหนึ่งจะรับลูกมาจากกรรมการสมัชชาฯ ของหมอประเวศ ที่เน้นไปทางเก็บข้อมูลจากทุกพื้นที่ ทุกระดับ และทำการศึกษา วิจัย วิเคราะห์ข้อมูล ข้อเท็จจริงจากหลากหลายภาคส่วน ขณะที่กรรมการปฏิรูปจะเน้นหนักไปที่การเชิญบุคคลมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม และประสานกับองค์กรภายนอก”
ขณะที่การคัดเลือกคนดี คนเก่ง เข้ามาอยู่ในรายชื่อตัวกรรมการปฏิรูปจำนวน 19 คน ชุดของอานันท์ โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นคณะที่มีสุภาพสตรีถึง 5 คน ที่เหลือก็มีความหลากหลาย มีทั้งนักประวัติศาสตร์ นักการคลัง คนท้องถิ่น องค์กรเอกชน อดีตข้าราชการ ที่มีเวลาทุ่มเทให้กับการทำงาน “ปฏิรูป” ได้อย่างเต็มที่
“สิ่งที่เราจะทำ คือการเปลี่ยนสังคมไทย เป็นสังคมที่มีความยุติธรรมมากกว่าในอดีต และเป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำ น้อยกว่าอดีต เป็นระเบียบวาระของชาติที่ไม่ต้องอาศัยรัฐบาลไหน หรือคนใด” ประธานกรรมการปฏิรูป มองถึงโอกาสทองพร้อมกับตั้งความหวังในการเปลี่ยนแปลงสังคม
ก่อนจะยืนยันหนักแน่น “งานนี้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของมีสังคมและประชาชนเป็นเจ้าของ ดังนั้น หากพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคการเมืองใด จะเก็บเกี่ยวนำผลงานการปฏิรูปไปใช้ ไปหาเสียง ก็ไม่ได้ขัดข้อง เราไม่ได้ทำเพื่อพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง หรือรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง”
หมอประเวศเชื่อพลังประชาชน
“ตามระเบียบสำนักนายกฯ กรรมการสมัชชาปฏิรูป มีหน้าที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากสังคมทุกภาคส่วน และวิเคราะห์สังคม เมื่อได้ข้อเสนออะไรแก่สังคม ก็จะส่งให้ชุดของนายอานันท์ ประสาน กำหนดหน้าที่ไปพิจารณาว่า มีประเด็นอะไรด่วนและเรียงลำดับ ซึ่งสิ่งที่ประชาชนเสนอขึ้นมา อาจจะเป็นเพียงความต้องการ หรือเป็นมาตรการบางอย่าง ที่อาจทำทันทีไม่ได้ เพราะต้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ โดยชุดของนายอานันท์ ก่อนเสนอเป็นนโยบายที่ไปปฏิบัติได้ ระหว่างนี้กรรมการสมัชชาปฏิรูป ก็จะทำหน้าที่เชื่อมโยงกันไปมา กับสังคม” หมอประเวศ แจกแจงอย่างละเอียด ถึงขั้นตอนก่อนเดินหน้าขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ
เมื่อถูกถามวิตกกังวลหรือไม่ถูกฝ่ายตรงข้ามวิจารณ์หนัก ก่อนกรรมการสมัชชาปฏิรูปจะได้ฤกษ์ประชุมครั้งแรกวันที่ 14 ก.ค.นี้ หมอประเวศ ยืนยันไม่ได้วิตกกังวล และไม่ย่อท้อ ยิ่งได้ทำงานมาเป็นสิบๆ ปี ยิ่งทำให้พลังของประชาชนและสังคมยิ่งใหญ่มากขึ้น
ในขณะเดียวกันกับข้อกังขามีชื่อ นพ.วิชัย โชควิวัฒน และดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อยู่ในคณะกรรมการปฏิรูปทั้ง 2 ชุด หมอประเวศ เจาะจงให้ไปทำหน้าที่ “เชื่อม” ระหว่างกรรมการ 2 คณะ
“ไม่ควรไปวิตกกังวล หรือไปพูดเรื่องกรรมการ เสื้อแดง หรือเสื้อเหลือง มากหรือน้อยไป วันนี้เราต้องเชื่อมโดยไม่มีสีอะไร เมื่อเชื่อมไปในแต่ละจังหวัด ก็จะมีการเชื่อมกันได้เอง” ประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป ระบุในตอนท้าย
ปฏิรูปพร้อมกัน การเมือง-สื่อ- ตำรวจ
ถึงวันนี้การปฏิรูปประเทศเริ่มขยายวงกว้างมากขึ้น เมื่อมาดูจุดเริ่มต้นของกระแสตื่นตัว ต้องยอมรับว่า เกิดจากเหตุจลาจลคนไทยเผาบ้านเผาเมืองที่เพิ่งผ่านพ้นไป ที่เป็นต้นเหตุลำดับต้นๆ ให้รัฐบาลตัดสินใจตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ ขึ้นมา และใส่เข้าไปอยู่ในโรดแมปแผนปรองดอง 5 ข้อ
ทั้งการปฏิรูปการเมือง พุ่งประเด็นไปที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยนายกฯ ทาบทามศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) นั่งประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เน้นการนำข้อเสนอของกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีนายดิเรก ถึงฝั่ง เป็นประธาน มาต่อยอด
เรื่องที่ยากแสนเข็ญ หวังมีส่วนช่วยลดรอยร้าวของคนในสังคมไทย คือ การตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีสลายม็อบเสื้อแดง ตั้ง "คณิต ณ นคร" อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เราจะเห็นภาพการทำหน้าที่ช่วงที่ผ่านมาของตัวประธาน ใช้แนวทางสุนทรียสนทนา ลงทุนลงแรงเดินสายหารือกับทุกภาคส่วน ทั้งแกนนำนปช.ถึงค่ายนเรศาวร บุกไปบ้านพระอาทิตย์ ของแกนนำพันธมิตรฯ และพบปะผู้นำทางสังคม และขณะนี้ได้เริ่มประชุมกรรมการไปบ้างแล้ว
ส่วนการปฏิรูปสื่อ เป็นบันไดอีกขั้นในแผนปรองดอง ต้นเหตุสำคัญก็มาจากนักการเมืองบ้านเราใช้สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุชุมชน โทรทัศน์ดาวเทียม ยุยง ปลุกปั่น สร้างความเกลียดชังจนบ้านเมืองแตกเป็นเสี่ยงๆ อีกด้านก็ปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจากสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เป็นนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ให้รับไม้ต่อมากับกำกับดูแลสื่อ พร้อมกับหน้าที่ใหม่ 'ปฏิรูปสื่อ'
ขณะที่ปรากฏการณ์ตำรวจมะเขือเทศ พฤติกรรมของตำรวจที่มีภาพเสียหายไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม ทำให้รัฐบาลหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาปัดฝุ่น ผ่าตัดใหญ่อีกครั้ง สั่งปฏิรูประบบงานตำรวจ โดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ไว้ใจเรียกใช้คนเดิม พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ผู้ที่เคยรับมอบหมายให้ทำภารกิจนี้ สมัยรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กำชับให้นำประเด็นการปรับปรุงการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 10 ประเด็นกลับมาเป็นตัวตั้ง
แผนยุทธศาสตร์ชาติ ฉบับเอกชน
ส่วนของ "ภาคเอกชน" ช่วงเวลาที่ทุกฝ่ายกำลังแสวงหา "แนวทางการปฏิรูปประเทศ" ก็ได้ตระหนักถึงความสำคัญเรื่องนี้เช่นกัน
"หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จับมือกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จัดทำ "แผนยุทธศาสตร์ชาติฉบับเอกชน” หรือเรียกว่า แผนปรองดอง 4 ข้อ มี "ดุสิต นนทะนาคร" ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เจ้าภาพหลักในการผลักดันแผนดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม
การทำงานเชิงรุกคืบอย่างรวดเร็ว ผู้เป็นเจ้าภาพหลัก บอกว่า มีการยื่นเสนอไปที่รัฐบาลไปแล้วว่า ภาคเอกชนจะทำเอง ดังนี้
1. ยุติความแตกแยก สร้างความสามัคคี มอบให้หอการค้าแต่ละจังหวัด ศึกษาสาเหตุความแตกร้าว และหาเหตุที่จะเข้าไปช่วยลดความแตกแยก ความเหลื่อมล้ำในแต่ละพื้นที่
2.การลดความเหลื่อมล้ำของรายได้ เน้นภาคเกษตร เข้าไปช่วยจัดการบริหารภาคเกษตรกร ให้มีรายได้ที่เหมาะสม
3.หนุนให้คนไทยเที่ยวไทย โดยการซื้อสินค้าไทย เกิดความภาคภูมิใจและรักชาติ
และ 4.การคอรัปชั่น มอบให้หอการค้าต่างประเทศ หาจุดอ่อน ด้วยวิธีการ เริ่มที่ชื่นชมคนดี เหยียดหยามคนรวยแต่โกง
มีตัวอย่างของการทำงานเพื่อลดความยากจน “ซ้ำซาก” ในหมู่บ้านชนบททั่วประเทศ ขณะนี้นายดุสิต ได้เริ่มให้เครือข่ายหอการค้าไทยส่งคนเข้าไปช่วยดูแล โดยหวังว่า จะเกิดเป็น 1 หมู่บ้าน 1 บริษัทที่รับผิดชอบต่อสังคม ช่วยก่อให้เกิดรายได้ที่เคยมีจากเดิม 1 ไร่ต่อ 5,000 บาท กลายเป็น 1 ไร่ ต่อ 1 แสนบาท เป็นต้น
แผนปฏิรูปประเทศไทย “ 10 โจทย์เร่งด่วน”
อีกบทบาทของสถาบันทางวิชาการ ที่ร่วมคลี่คลายวิกฤตการณ์ ทำงานในนาม “เครือข่ายสถาบันทางปัญญา” มีหมอประเวศเป็นหัวขบวน ผู้คิดกลับรูปประเทศไทย ซึ่งได้ขับเคลื่อน “ 10 โจทย์เร่งด่วนที่ท้าท้ายประเทศไทย” มาเป็นเวลา 1 ปี กับอีก 6 เดือน
ประเด็นที่เป็นองค์ประกอบใหญ่ที่หมอประเวศให้ภาพปฏิรูปประเทศไทย ขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน มีทั้ง 1.สร้างจิตสำนึกใหม่ 2.สร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ 3.สร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น 4.สร้างระบบการศึกษาที่พาชาติออกจากวิกฤต 5.สร้างธรรมาภิบาลทางการเมือง การปกครอง ระบบความยุติธรรม และสันติภาพ 6.สร้างระบบสวัสดิการสังคม 7.สร้างสมดุลของสิ่งแวดล้อมและพลังงาน 8.สร้างระบบสุขภาพเพื่อสุขภาวะคนทั้งมวล 9.สร้างสมรรถนะในการวิจัยและยุทธศาสตร์ชาติ และ10.สร้างระบบการสื่อสารที่ผสานการสร้างสรรค์ทั้งหมด
จะเห็นว่า กรอบที่วางไว้แต่ละเรื่องต้องใช้เวลานาน ไม่ง่าย ดั่งพลิกฝ่ามือ จากผู้นั่งหัวโต๊ะประธานการประชุมในเวทีปฏิรูปประเทศไทย วันนี้สวมหมวกอีกใบ ยอมรับเสมอว่า “เป็นเรื่องยากสุดๆ” แถมบางเรื่องนามธรรม จับต้องยาก
แต่ด้วยความเชื่อในทฤษฎีสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ใช้โครงสร้างให้ทุกพลังมาเชื่อมโยงกัน ทั้ง “พลังอำนาจรัฐ พลังปัญญา พลังสังคม” หมอประเวศเชื่อว่า จะสามารถเขยื้อนเรื่องยากๆได้
ทั้งหมดเป็นปรากฏการณ์ หน้าต่างแห่งโอกาสเปิด
วิกฤตที่เกิดขึ้นทำให้คนตื่นตัว รวมตัว ร่วมคิด ร่วมทำกันอย่างอิสระ ทุกพื้นที่ ทุกองค์กร ทุกเรื่อง เพื่อตั้งฐานประเทศไทยใหม่....
เปิดชื่อเหล่าอรหันต์ ร่วมปฏิรูปประเทศ
1.กรรมการปฏิรูปประเทศ มี 2 ชุด ชุดแรกของนายอานันท์ คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) มี 19 คน คือ นายกฤษณพงศ์ กีรติกร คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา นายชัยอนันต์ สมุทวณิช ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นายบัณฑร อ่อนดำ นางปราณี ทินกร นายพงษ์โพยม วาศภูติ นายเพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ พระไพศาล วิสาโล นางรัชนี ธงไชย นายวิชัย โชควิวัฒน นายวิริยะ นามศิริพงษ์พันธุ์ นายศรีศักร วัลลิโภดม นายสมชัย ฤชุพันธุ์ นางสมปอง เวียงจันทร์ น.ส.สมสุข บุญญะบัญชา นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล และ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์
ชุดสอง กรรมการสมัชชาปฏิรูปของหมอประเวศ (คสป.) มี 27 คน กรรมการโดยตำแหน่ง 6 คน นอกนั้น เป็นรายชื่อบุคคล คือ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ นายชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ ผศ.ชิดชนก ราฮิมมูลา ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ นายต่อพงษ์ เสลานนท์ นางเตือนใจ ดีเทศน์ รศ.นิพนธ์ พัวพงศกร นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ นางปรีดา คงแป้น นายปรีดา เตียสุวรรณ นางเปรมฤดี ชามภูนท นพ.พลเดช ปิ่นประทีป นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม นายมานิจ สุขสมจิตร นายรัชฏะ ศรีบุญรัตน์ นางเรวดี ประเสริฐเจริญสุข นพ.วิชัย โชควิวัฒน นายสน รูปสูง นายสมพร ใช้บางยาง นางสาวสารี อ๋องสมหวัง และนายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ
2.ปฏิรูป ฉบับ "ภาคเอกชน" โฉมหน้าคณะกรรมการมี 4 ชุด คือ 1. ยุติความแตกแยก มีนายสมเกียรติ อนุราษฎร์ รองประธานหอการค้าไทย เป็นประธาน 2.การลดความเหลื่อมล้ำของรายได้ การแก้ปัญหาออกเป็น 2 ส่วนคือ การลดความเหลื่อมล้ำของภาคเกษตร และภาคแรงงานในอุตสาหกรรม มีนายคมสัน โอภาสสถาวร รองประธานหอการค้าไทย เป็นประธาน 3. การส่งเสริมและสนับสนุนคนไทยเที่ยวไทยใช้ของไทย มีนายฉัตรชัย บุญรัตน์ รองประธานหอการค้าไทย เป็นประธานคณะกรรมการ และเรื่องที่ 4 คือ การป้องกันและปราบปรามคอรัปชัน มี นายนันเดอร์ จี. ฟอน เดอ ลูเฮ รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นประธาน ร่วมกับนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการหอการค้าไทย ดูแลฝ่ายของไทย
3.การปฏิรูประบบงานตำรวจ เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.2553 นายกฯ เซ็นแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ 20 คน มีพล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เป็นประธาน กรรมการประกอบด้วย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ. ไกรสุข สินศุข ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายถาวร พานิชพันธ์ ผศ.ทวี สุรฤทธิ์กุล พล.ต.ท. ธนู ชัยนุกูลศิลา พล.ต.ท. เอก อังสนานนท์ พ.ต.ท.พงษ์ธร ธัญญศิริ นางเรืองรวี พิชัยกุล รศ.วิรัตน์ วงศ์แสงนาค ศ.ศุภชัย ยาวะประภาษ รศ.สุจิตรา บุณยรัตพันธุ์ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ นายสมบัติ วัฒน์พานิช พ.ต.อ. (หญิง) สมลักษณา ไชยเสริฐ พ.ต.ท.นฤมิตร สุวรรณรัตน์ พ.ต.ท.ภัทรพล สนิทวงศ์ ณ อยุธยา และร.ต.ท. นิธิพัฒน์ กังรวมบุตร
4.การปฏิรูปการเมือง ศ.ดร.สมบัติ นั่งประธานคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ มีคณะอนุกรรมการรวม 3 ชุด 1. คณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ มี รศ.ศักดา ธนิตกุล เป็นประธาน รศ.เจษฎ์ โทณะวณิก เป็นเลขานุการ 2. คณะอนุกรรมการวิเคราะห์กรอบโครงสร้างรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปการเมืองไทย มี ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส เป็นประธาน อ.เธียรชัย ณ นคร เป็นเลขานุการ 3. คณะอนุกรรมการการมีส่วนร่วมกับประชาชนในการสร้างความเข้มแข็งของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มี รศ.ไชยา ยิ้มวิไล เป็นประธาน ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล เป็นเลขานุการ
5.ปฏิรูปสื่อ นอกเหนือจากชุดของรศ.ดร.ยุบล เบ็ญจรงค์กิจ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ รับหน้าที่ประสานงานรวบรวมข้อมูลข่าวสาร รวบรวมความคิดเห็นให้รัฐบาลแล้ว ส่วนของ 4 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ได้จัดตั้ง คณะกรรมการพัฒนาส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและความรับผิดชอบสื่อมวลชน (คพส.) เป็นคณะกรรมการอิสระที่ตั้งขึ้น เพื่อจัดทำแผนงานการปฏิรูปสื่อภาครัฐและแผนงานการพัฒนาสื่อเอกชน มีนายมานิจ สุขสมจิตร เป็นประธาน ก่อนแตกคณะอนุกรรมการขึ้นมาอีก 5 คณะ
6.คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ มี ศ.ดร.คณิต เป็นประธาน และคณะกรรมการอีก 8 คน คือ ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ รศ.ดร. จุฑารัตน์ เอื้ออำนวย รศ.ดร. เดชา สังขวรรณ, นายไพโรจน์ พลเพชร (ลาออก) นายมานิจ สุขสมจิตร ศ.นพ. รณชัย คงสกนธ์ นายสมชาย หอมลออ และ รศ.ดร. สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล กำหนดเวลาทำงานไม่เกิน 2 ปี