- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ก่อนจะถึง “บึงกาฬ” จังหวัดที่ 77 ทำอย่างไรให้ตอบโจทย์ “กระจายอำนาจ”
ก่อนจะถึง “บึงกาฬ” จังหวัดที่ 77 ทำอย่างไรให้ตอบโจทย์ “กระจายอำนาจ”
"คนเฒ่าคนแก่บางคนถึงกับน้ำตาไหล เมื่อได้ยินข่าว คณะรัฐมนตรี ตอบรับการขอจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ
หลังการร้องขอจัดตั้งจังหวัดที่ 77 ผ่านกาลเวลา ผ่านการรอคอยการยกฐานะเป็นจังหวัดมานานกว่า 20 ปี"
ที่ผ่านมา จังหวัดหนองคาย ประสบปัญหาการบริหารราชการและการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนไม่ทั่วถึง ติดขัดเรื่องระยะทางที่ไกลกว่า 350 กิโลเมตร" นางสาววนิดา เกศางาม มีอาชีพทำสวนยางพารา ชาวบ้านตำบลวิศิษฐ์ อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย สะท้อนความห่างไกลและปัญหาของการดูแลไม่ทั่วถึงของทางราชการ
เธอจำได้ว่า ตั้งแต่อาศัยอยู่ในบึงกาฬ นานมาก…..กว่าจะได้พบเจอกับผู้ว่าราชการจังหวัดสักครั้งหนึ่ง หรือหากจะเข้าไปติดต่องานในตัวเมืองหนองคาย ต้องใช้เวลาค่อนวัน ขณะที่การขนส่งสินค้าเข้าไปในตัวจังหวัด ก็เสียค่าใช้จ่ายมาก กว่าจะเดินทางไป-กลับ กินเวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งค่อนวัน
หญิงชาวบ้านวัย 40 กว่าในวันนี้ พอรู้ข่าว “บึงกาฬ” กำลังจะเปลี่ยนสภาพรอยยิ้มบนใบหน้าที่บ่งบอกถึงความดีใจ ที่อำเภอชายแดน กำลังจะถูกยกฐานะขึ้นเป็นจังหวัดแล้ว เธอบอกว่า ได้ติดตามมาตั้งแต่การเสนอชื่อครั้งแรก แต่จนแล้วจนรอด บึงกาฬ ก็ไม่ได้ตั้งเป็นจังหวัดสักที ซึ่งในครั้งนี้เธอหวังอย่างยิ่งว่า ปัญหาของการดูแลไม่ทั่วถึงของทางราชการ ทั้งปัญหายาเสพติด ความไม่มั่นคงในพื้นที่ จะได้รับการแก้ไข ไม่ถูกมองข้ามเหมือนครั้งที่ผ่านๆมา
“แม้จะมีการดูแลจัดการกันเอง มีเครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็ง แต่การดูแลกันเองก็ยังไม่รู้สึกอุ่นใจเท่ากับการเข้ามาดูแลของหน่วยงานราชการ” วนิดา บอก และว่า หากเป็นเพียงอำเภอเข้มแข็ง ชาวบ้านอยู่ได้ แต่หากงบประมาณไม่ลงมาให้ ก็คงเหมือนเดิม เมื่องบประมาณมามากขึ้น สิ่งดีๆจะตามมา ซึ่งเชื่อว่า บึงกาฬ ต่อไปเศรษฐกิจจะดีขึ้น เงินจะไหลเวียนในจังหวัดมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณริมโขง ที่มีด่านตรวจคนเข้าเมือง ด่านศุลกากร จะส่งผลต่อการท่องเที่ยว 2 ชายฝั่ง ก็จะส่งผลให้ขายสินค้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในอนาคตได้ยินข่าวมาว่า จะมีการสร้างสะพานเชื่อมประเทศ แห่งที่ 5 จะช่วยสร้างอาชีพให้กับประชาชนได้มากขึ้นกว่าการเป็นอำเภอแน่นอน
สำหรับคนโดยทั่วไปที่ไม่รู้ว่า “บึงกาฬ” อยู่ส่วนไหนของจังหวัดหนองคาย และมีความจำเป็นขนาดไหน ต้องตั้งเป็นจังหวัดที่ 77 นายสุระชัย สกุลดาว นายกเทศมนตรี ตำบลบึงกาฬ อธิบายย่อๆ ให้เห็นภาพว่า บึงกาฬเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดหนองคาย ที่มีภูมิประเทศติดแม่น้ำโขง กับ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) ระยะทางประมาณ 350 กิโลเมตร มี 8 อำเภอที่จะรวมตั้งเป็นจังหวัด คือ บึงกาฬ, เซกา, โซ่พิสัย, พรเจริญ, ปากคาด, บึงโขงหลง, ศรีวิไล และบุ่งคล้า
การขอจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬเป็นความต้องการของประชาชนในพื้นที่ล้วนๆ ซึ่งนายกเทศมนตรี ตำบลบึงกาฬ ย้อนเรื่องราวให้ฟังว่า การขอตั้งเป็นจังหวัด เคยผลักดันกันมาตั้งแต่นายสุเมธ พรมพันห่าว อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดหนองคาย (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2553) ที่เริ่มเรียกร้องในการจัดตั้งจังหวัดในปี 2537 โดยการร่วมประชาพิจารณ์กับประชาชนในจังหวัด แต่ครั้งนั้น ยังไม่สำเร็จ เนื่องจากไม่ผ่านเกณฑ์ตามกระทรวงมหาดไทย กำหนด
กระทั่งมาในปี 2552 นายคมสัน เอกชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย ลุกขึ้นมาร่วมฟังกระแสจากประชาชนอีกครั้ง ว่า ยังมีความต้องการความเป็นจังหวัดอีกหรือไม่ มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อรับฟังความเห็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประชาชน ส่วนราชการ
ปรากฏผลที่ได้ ประชาชนกว่า 98% มีความต้องการให้อำเภอบึงกาฬ ยกฐานะเป็นจังหวัดบึงกาฬ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ทั้ง 126 แห่ง เห็นด้วย 96% หัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ และระดับจังหวัด เห็นด้วย 100% โดยไม่มีกลุ่มเครือข่ายใดออกมาคัดค้านไม่ให้ตั้งจังหวัด จนผ่านเข้าสู่มติคณะรัฐมนตรีในที่สุด ขณะนี้ เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อนำทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยจะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติการจัดตั้งจึงจะมีผลโดยสมบูรณ์
เมื่อมาไล่ดูประโยชน์ที่จะได้รับนอกเหนือจากงบประมาณที่จะเข้ามาสู่การพัฒนาในฐานะจังหวัดมากขึ้นแล้ว นายสุระชัย มองว่า อีกส่วนหนึ่ง จะส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะในพื้นที่ บึงกาฬ เป็นจังหวัดที่ปลูกยางพารามากที่สุดในประเทศ สามารถเป็นจังหวัดเศรษฐกิจแห่งใหม่ของประเทศได้ หรือแม้การติดต่อซื้อขายกับลาว ก็จะสามารถทำได้อย่างเท่าเทียม
“เดิม บึงกาฬ มีฐานะเป็นอำเภอ แต่ประเทศลาว มีฐานะเป็นแขวงคือ แขวงบลิคำไซ ซึ่งเมื่อยกฐานะได้เป็นจังหวัดก็จะมีฐานะเท่ากัน การติดต่อพูดคุยก็จะง่ายขึ้น แก้ไขปัญหาท้องถิ่นระหว่างประเทศหรือการถกปัญหาชายแดนก็ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน”
สิ่งที่สำคัญ อีกเรื่องหนึ่ง ที่นายกเทศมนตรี ตำบลบึงกาฬ มองคือเรื่องความมั่นคง ด้วยในพื้นที่ทั้ง 8 อำเภอที่ตั้ง เดิมเป็นพื้นที่สีแดง ที่เป็นเขตของคอมมิวนิสต์ มีปัญหาเรื่องยาเสพติด ที่ขนมาตามแม่น้ำโขง หากยกฐานะเป็นตังหวัดต่อไปจะช่วยในเรื่องของการป้องปรามได้ดีขึ้น เป็นการกระชับพื้นที่รักษาความปลอดภัยได้อีกทางหนึ่ง
“การยกฐานะเป็นจังหวัดในครั้งนี้ เป็นการลงทุนที่ต่ำมาก เพราะส่วนราชการบางส่วนมีอยู่แล้ว ทั้งศาลจังหวัด อัยการจังหวัด เรือนจำ และบุคลากรก็มีพร้อมแล้ว เหลือเพียงบางตำแหน่งที่ต้องเพิ่มเติมเข้ามา เพื่อช่วยเรื่องการบริหารปกครอง”
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเหตุผลของคนในพื้นที่ที่รู้สึกดีใจ เตรียมเฉลิมฉลองกับการได้รับจัดตั้งเป็นจังหวัดบึงกาฬ เพราะบ่งบอกถึงฐานะความเป็นอยู่ที่จะดีขึ้นตามมา ในมุมมองของนักวิชาการด้านท้องถิ่น ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ อาจารย์พิเศษศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล หนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูป(คปร.) ชุดนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี บอกว่า เท่าที่ฟังดูเหตุผลในการตั้งจังหวัดบึงกาฬ เนื่องมาจากพื้นที่มีความห่างไกลความเจริญ การคมนาคมขนส่งค่อนข้างลำบาก ส่วนตัวคิดว่า ขณะนี้รัฐบาลมีนโยบายการกระจายอำนาจ ซึ่งประเด็นไม่ใช่การปกครองส่วนภูมิภาคดูแลไม่ทั่วถึง แต่นโยบายการสร้างการดูแลในท้องถิ่น ในเรื่องการเมือง การปกครอง เรื่องการทำมาหากิน การปกครองในปัจจุบันน่าจะเป็นเหตุผลในการแบ่งจังหวัดใหม่มากกว่า โดยต้องนึกถึงประโยชน์ของท้องถิ่นเป็นหลัก
“หากจะมองในมุมของการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่เห็นด้วยกับการตั้งจังหวัดเพิ่ม หรือมีอำเภอ ตำบล หมู่บ้านใดๆ เพิ่มทั้งสิ้น เพราะไม่จำเป็นต้องแบ่งเขตการปกครองเพิ่มขึ้นจากแนวคิดการปกครองที่มาจากส่วนกลาง เพราะเรื่องนี้น่าจะจบไปได้แล้ว แต่ควรเป็นการดูแลตนเองได้มากขึ้น สิ่งใดกระจายลงไปได้ น่าจะทำได้ดีกว่า”
ดร.เพิ่มศักดิ์ ชี้ให้เห็นว่า แม้การแบ่งจังหวัด จะดูเหมือนเป็นการช่วยจัดการดูแลอย่างทั่วถึงมากขึ้น และช่วยให้มีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) ที่จัดการดูแลท้องถิ่นเพื่อจะมามีบทบาทในการจัดการยุทธศาสตร์ควบคู่ไปกับผู้ว่าราชการจังหวัดในส่วนของทางราชการ แต่การเลือกนายกอบจ.นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการปกครองส่วนท้องถิ่น งบประมาณ การกระจาย การแข่งขัน จะปลดเมื่อไรก็ได้อยู่กับการจัดการของมหาดไทย ซึ่งยังไม่ตอบโจทย์ในการช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
“แต่ถ้าอยากยกฐานะขึ้นมาเป็นจังหวัด อาจะเลือกใช้พื้นที่มีความพร้อม ยกฐานะเทียบเท่า เริ่มจัดดูแลพื้นที่โดยให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเองได้ ไม่ต้องเป็นโครงสร้างการปกครองเข้าไปทับ”
ดร.เพิ่มศักดิ์ มีข้อเสนอก่อนจบบทสนทนา ให้ใช้จังหวัดนี้ทดลอง ไม่ต้องมีผู้ว่าราชการจังหวัด มีแต่ นายกอบจ. จะเป็นอย่างไร เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเป็นเพียงการมีผู้ว่าราชการจังหวัดเพิ่มขึ้นมาอีก 1 คน เพิ่มอำนาจแก่การทำงานของรัฐบาล จากอำนาจส่วนกลาง ซึ่งหากมองโลกในแง่ร้ายก็อาจจะเป็นเรื่องการเมือง แต่หากสนใจว่าท้องถิ่นไหนตั้งตำแหน่งต่างๆเองได้ จะดีกว่า ไม่ต้องส่งจากพื้นที่อื่น สร้างกฎหมายขึ้นเอง ดูแลกันเองได้ในพื้นที่
ในส่วนของ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา ให้ความเห็นถึงการตั้งจังหวัดใหม่ แม้จะมีข้อดีอยู่บ้าง ทำให้การบริการภาครัฐ การปกครองส่วนภูมิภาค เข้าสู่ประชาชน มากขึ้น ประชาชนที่ต้องการใช้บริการของราชการก็สะดวกขึ้น ได้งบประมาณลงไปสู่จังหวัด แต่ก็ยังมีข้อเสีย คือ เรากำลังเดินวนทางกับเรื่องการกระจายอำนาจ วันนี้มีแนวคิดการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอยู่แล้ว ดังนั้น การตั้งจังหวัดใหม่ ถือเป็นเพียงการแผ่อิทธิพลของส่วนราชการ แผ่อำนาจของการปกครองลงส่วนภูมิภาค
วันนี้ ก่อนจะถึงจังหวัดที่ 77 เราไม่ควรมองการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ เพียงมิติเดียว ทำอย่างไรมองให้เห็นภาพรวมของประเทศ และเกิดคำถามขึ้นว่า การตั้งจังหวัดใหม่ ได้ตอบโจทย์เรื่องการกระจายอำนาจแล้วหรือยัง หรือเป็นแค่การแยกออกมา เพราะปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเท่านั้น....
ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
ข้อเท็จจริง
กระทรวงมหาดไทยรายงานว่า ได้พิจารณาทบทวนร่างพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. .... อีกครั้งหนึ่งตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีแล้ว
1. การขอจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬเป็นความต้องการของประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากจังหวัดหนองคาย ประสบปัญหาการบริหารราชการและการแก้ไขปัญหาด้านชายแดนแก่ประชาชนไม่สะดวกทั่วถึง เนื่องจากมีระยะทางไกลประมาณ 350 กิโลเมตร หากมีการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬจะทำให้ส่วนราชการสามารถลงไปแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนใน พื้นที่ได้สะดวก รวมทั้งปัญหาการลักลอบค้ายาเสพติด การลักลอบค้าของเถื่อน การโจรกรรมทรัพย์สินตามแนวชายแดน และปัญหาแรงงานต่างด้าว จะได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ได้มีการจัดทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอและระดับจังหวัด ทั้งจังหวัดหนองคายแล้ว โดยเห็นด้วยกับการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ
2. การบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยจำเป็นต้องมีหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ใกล้ชิดกับประชาชน การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนได้อย่างยั่งยืนและทั่วถึงอย่างแท้จริง
3. งบประมาณในการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬด้านการจัดตั้งส่วนราชการนั้น สามารถปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ไปดำเนินการได้ และเสนอขอตั้งงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป สำหรับด้านบุคลากรที่จะไปปฏิบัติงาน จำนวน 439 อัตรา สามารถใช้วิธีการเกลี่ยอัตรากำลังภายในส่วนราชการหรือระหว่างส่วนราชการได้ ซึ่งไม่เป็นภาระต่องบประมาณของประเทศมากนัก
4. การจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬมีความพร้อมของส่วนราชการที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ เช่น ศาลจังหวัดบึงกาฬ อัยการจังหวัด ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ไปรษณีย์ ฯลฯ และได้สงวนที่ดินสำหรับสร้างศูนย์ราชการจังหวัดบึงกาฬไว้ประมาณ 870 ไร่ บริเวณที่สาธารณประโยชน์กุดทิง ตำบลโนนสมบูรณ์ อำเภอบึงกาฬ โดยมิต้องใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมาก