- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- “เอดส์” ปัญหาระดับโลก...กระเทือนถึงสังคมไทย
“เอดส์” ปัญหาระดับโลก...กระเทือนถึงสังคมไทย
หลังจากวารสารชั้นนำ New England Journal of Medicine ตีพิมพ์ผลงานวิจัยที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ร่วมกับสถาบันวิจัยชั้นนำ 11 แห่ง จาก 6 ประเทศ ประกอบด้วย เปรู เอกวาดอร์ บราซิล แอฟริกาใต้ สหรัฐอเมริกา และไทย ในโครงการ iPrEx (ไอเพร็กซ์) ประสบความสำเร็จในโครงการวิจัยการกินยาต้านไวรัสเอชไอวี เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในอาสาสมัครกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย กลุ่มเกย์ และสาวประเภทสองที่มีเพศสัมพันธ์กับชายจำนวน 2,499 คน โดยทดลองให้กินยาต้านไวรัสเป็นประจำทุกวัน ซึ่งผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่า สามารถลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีได้ร้อยละ 43.8 นั้น แม้จะเป็นเพียงการทดลองในกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กๆ แต่ความสำเร็จครั้งนี้ ถือเป็นอีก 1 ความหวังของคนทั้งโลก
ยอดผู้ติดเชื้อสูงกลุ่มเสี่ยงกระจาย
1 ธันวาคมของทุกปี องค์การสหประชาชาติกำหนดให้เป็น “วันเอดส์โลก” และให้ประเทศสมาชิกจัดรณรงค์กันเองภายในประเทศ ซึ่งในปี 2553 ได้กำหนดแคมเปญรณรงค์ว่า “สิทธิทางเพศ สิทธิด้านเอดส์ คือสิทธิมนุษยชน” (Universal Access and Human Rights) สาเหตุที่องค์การสหประชาชาติให้ความสำคัญกับปัญหานี้เป็นลำดับต้นๆ เพราะพบว่านับแต่มีการระบาดของโรคนี้ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อัตราการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ไม่ได้มีทีท่าจะลดลง แต่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากยังไม่มีมาตรการใดๆ รองรับ ซึ่งสถานการณ์ล่าสุดนั้น พบว่า มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลกแล้วประมาณ 60 ล้านคน เสียชีวิตแล้วประมาณ 25 ล้านคน และยังมีชีวิตอยู่อีก 35 ล้านคน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่สูงมาก
สำหรับประเทศไทยนั้น จนถึงขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ประมาณ 1,161,244 คน เสียชีวิต 644,128 คน ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 522,548 คน แต่คาดว่าจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ประมาณ 10,853 คน โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชายมากถึง ร้อยละ 33 และกลุ่มแม่บ้านที่ติดเชื้อจากสามีหรือคู่นอนประจำ ร้อยละ 28
เมื่อแยกข้อมูลที่มีการสำรวจเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) พบว่านับตั้งแต่ปี 2527 จนถึงวันที่ 31ตุลาคม 2553 สถิติโรคเอดส์ในกรุงเทพฯ ซึ่งรวบรวมจากสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน มีผู้ป่วยเอดส์สะสม 41,710 ราย ยังมีชีวิตอยู่ 32,403 ราย เสียชีวิต 9,307 ราย ส่วนใหญ่พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ในอัตราส่วน 2.7 : 1 ซึ่งปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ร้อยละ 79.35 และส่วนใหญ่ร้อยละ 31.75 มีอายุระหว่าง 25-39 ปี โดยเป็นกลุ่มที่อยู่ในวัยแรงงาน และร้อยละ 40.20 มีอาชีพรับจ้างทั่วไป รองลงมา คือ กลุ่มผู้ว่างาน ร้อยละ 13.24 โดยกลุ่มอายุที่พบว่ามีการเสี่ยงชีวิตมากที่สุดคือ 30-34 ปี คิดเป็นร้อยละ 22.34 สำหรับกลุ่มเด็กอายุ 0-4 ปี ป่วยเป็นเอดส์ 1,068 ราย เสียชีวิตแล้ว 278 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.99 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด นอกจากนี้ ยังพบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบผู้ป่วยเอดส์สูงสุดในปี 2549 จำนวน 3,689 ราย และโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบในผู้ป่วยเอดส์มากที่สุด คือ โรควัณโรคปอด
มาตรการช่วยเหลือของรัฐ
รัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีนโยบายแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์ ซึ่งขณะนี้มีตัวเลขอยู่ในหลักประกันสุขภาพ 2 ระบบ คือ ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ซึ่งในปี 2553 ลงทะเบียนสะสม 214,661 ราย มีผู้มารับยาตามโครงการประมาณ 130,000 ราย และลงทะเบียนในระบบประกันสังคมประมาณ 80,000 ราย ส่วนระบบสวัสดิการข้าราชการไม่มีตัวเลขรวบรวมไว้
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลว่าเป้าหมายการรณรงค์โรคเอดส์ของประเทศไทยจะเน้นทั้ง 3 ส่วน คือ 1.การป้องกันมีเป้าหมายลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลงให้ได้ปีละอย่างน้อยร้อยละ 50 ภายในปี 2554 นอกจากนี้ 2.การรักษาพยาบาล มีเป้าหมายให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการและเข้าถึงยาได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง และ 3.เน้นให้ผู้ป่วยและครอบครัว เข้าถึงระบบสวัสดิการสังคมของรัฐบาลได้ไม่แตกต่างจากประชาชนทั่วไป โดยไม่รังเกียจกีดกันได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80
“ขณะนี้ไทยมีผู้ติดเชื้อเอดส์ที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 520,000 ราย และมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10,000 ราย จึงตั้งเป้าว่าปี 2554 จะลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลงครึ่งหนึ่ง ให้เหลือปีละไม่เกิน5,000-6,000 ราย โดยมีมาตรการชัดเจนคือ เรื่องของการป้องกัน กลุ่มแรกคือ กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์ทางเพศกับชาย ซึ่งมีประมาณร้อยละ 33 และกลุ่มที่ติดเชื้อจากคู่นอนประจำจากสามี ภรรยา ที่อยู่ในครอบครัว ประมาณร้อยละ 28 ซึ่งจะต้องดูที่ต้นเหตุ โดยแนวทางที่จะแก้ปัญหาและป้องกันได้ดีที่สุดคือการใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งต้องรณรงค์ให้ใช้อย่างต่อเนื่อง แต่ประเด็นใหญ่ที่สำคัญก็คือทำอย่างไรให้เข้าถึง” นายจุรินทร์ กล่าว
อย่างไรก็ดี มีข้อมูลว่า กรมควบคุมโรค สธ.ได้จัดงบประมาณซื้อถุงยางอนามัยกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศปีละประมาณ 20 ล้านชิ้น โดยกระจายไปยังสถานบริการ และผ่านกลุ่มรักร่วมเพศ เพื่อกระจายต่อยังกลุ่มเป้าหมาย และรณรงค์ให้เห็นความสำคัญในการใช้ถุงยางอนามัย ป้องกันการติดเชื้อ ส่วนในกลุ่มผู้ติดยาเสพติดที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ซึ่งพบว่ามีการติดเชื้อเอชไอวีผ่านทางเข้มฉีดยาจำนวนมากนั้น ล่าสุด คณะกรรมการเอดส์ชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 เปิดโอกาสให้สามารถนำเข็มฉีดยาเก่ามาแลกเข็มใหม่ได้
สำหรับการป้องกันการติดเชื้อรายใหม่ในกลุ่มชายรักชาย จะมีการกระจายการใช้ถุงยางให้ทั่วถึงและรณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งเปิดโอกาสให้เข้าถึงบริการต่างๆ ทั้งให้คำปรึกษา หรือคลินิกต่างๆ ที่มีบริการอยู่ในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน ทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้มีแล้ว 421 ศูนย์ มีเครือข่ายทำงานร่วมกัน 3 ฝ่าย คือ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล องค์กรเอกชน และเครือข่ายผู้ป่วย นอกจากนี้ยังมีนโยบายให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาต้านไวรัสเอดส์ 2 ตัว ที่มีราคาแพง ซึ่งได้ขยายซีแอลไปจนหมดอายุสิทธิบัตร คือ อีฟาไวเรนซ์ (Efavirenze) และคาเล็ตตร้า (Kaletra) เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาเอดส์ได้มากขึ้นและค่าใช้จ่ายถูกลง ที่สำคัญในปี 2553 กองทุนเอดส์ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยังได้จัดงบประมาณดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์เพิ่มขึ้น จาก 2,700 ล้านบาทเศษ เป็นประมาณ 3,000 ล้านบาทด้วย
ด้าน นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเอดส์ ยังเปิดเผยว่า ไทยยังเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรก ที่ใช้สูตรยาป้องกันเอดส์จากแม่สู่ลูก โดยแจกจ่ายยาต้านไวรัส 3 ชนิดไปตามโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อให้แพทย์จ่ายให้กับสตรีที่ตั้งครรภ์กินไม่ว่าจะมีภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับใดก็ตาม ซึ่งดำเนินการมาแล้วประมาณ 6 ปี
ตรวจเอชไอวีเด็กต่ำกว่า 18 ปี
แม้ประเทศไทยจะมีมาตรการในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีอย่างเข้มข้น แต่ปัญหานี้ใช่ว่าจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ เพราะจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ยังคงมีตัวเลขที่สูงมาก เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา ระบุว่า แนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดปัญหาของผู้ป่วยเอดส์รายใหม่นั้น ควรมุ่งเน้นการตรวจหาเชื้อเอชไอวี ตั้งแต่เนิ่นๆ เนื่องจากปัจจุบันประชาชนมีเพศสัมพันธ์ในอายุที่น้อยลงกว่าเดิมมาก โดยประเทศไทยนั้นพบได้ในเด็กอายุเฉลี่ย 13-14 ปี คือ ในช่วงชั้นมัธยมศึกษาขึ้นไป โดยช่วงอายุ 13-18 ปี มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ค่อนข้างน้อย จึงเป็นไปได้ว่าเด็กกลุ่มดังกล่าวเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าวัยผู้ใหญ่
“เพื่อป้องกันสถานการณ์ไม่ให้แย่ไปกว่าเดิม คณะกรรมการแพทยสภาจึงได้ร่างข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีในบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี พ.ศ.2552 โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 21 (3 ) (ช) และด้วยความเห็นชอบของสภานายกพิเศษตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล เพื่อให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี สามารถตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีได้โดยไม่ต้องขออนุญาตผู้ปกครอง” นพ.สมศักดิ์ กล่าวและว่า ในช่วงที่แพทยสภาร่างข้อบังคับดังกล่าวนั้น ได้ทำประชาพิจารณ์กับทั้งประชาชนทั่วไป เช่น ครู ผู้ปกครอง แพทย์ ฯลฯ อย่างรอบด้าน แต่ยังมีคำวิพากษ์วิจารณ์จากนักกฎหมายและวิชาชีพอื่นบางส่วนที่เห็นว่า การตรวจหาเชื้อเอชไอวีในบุคคลดังกล่าว โดยปราศจากการยินยอมของพ่อแม่ แพทย์ผู้ตรวจอาจเสี่ยงต่อการถูกฟ้องได้ จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขร่างดังกล่าวให้สมบูรณ์ก่อน โดยเฉพาะต้องกำหนดอายุที่ชัดเจน เช่น อาจจะระบุให้ชัดว่าควรตรวจตั้งแต่ 13 ปี เป็นต้น
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า สาเหตุที่ผู้ปกครองบางส่วนเกรงกลัวและคัดค้านนั้น เพราะเห็นว่าการตรวจหาเชื้อเอชไอวีอย่างเปิดเผย จะทำให้สังคมประณามพฤติกรรมของเด็กในปกครองได้ เนื่องจากอาจทำให้คนรอบข้างทราบว่า เด็กทุกคนที่ไปตรวจนั้นคือ กลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์ในอายุยังน้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอาย แต่ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา มีการกำหนดให้เด็กอายุ 13-17 ปี สามารถตรวจหาเชื้อเอชไอวีได้โดยไม่ต้องรอคำยินยอมจากพ่อแม่ และมีการตรวจอย่างแพร่หลายและไม่คิดว่าการติดเชื้อคือโรคที่ร้ายแรง ข้อดีของการเร่งตรวจทำให้ประชากรที่ตรวจพบเชื้อเอชไอวี ได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที และมีอายุยืนยาวถึง 50 ปี อีกทั้งสามารถป้องกันการแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้ด้วย และแพทย์ผู้ตรวจจะปกปิดข้อมูลของผู้ป่วยไว้เป็นความลับ
แนะเพศศึกษาวาระชาติ
แต่ในแง่ของ นายเฉลิมพล พลมุข รองประธานมูลนิธิธรรมรักษ์ โครงการธรรมรักษ์นิเวศน์ วัดพระบาทน้ำพุ นอกจากนี้รัฐมาตรการช่วยเหลือผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยแล้ว ยังควรมีมาตรการป้องกันอื่นๆ ร่วมด้วย ทั้งนี้ นายเฉลิมพล ชี้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งว่า ในระยะหลังมีการล่วงละเมิดทางเพศกลุ่มเด็ก ผู้ใหญ่ และวัยรุ่นมากขึ้น โดยมีรายงานในปี 2551 พบว่าเด็กไทยตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศ 81 ราย แบ่งเป็น ชาย 6 ราย หญิง 75 ราย ต่อมาปี 2552 มีเด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศ 125 ราย เป็น ชาย 4 ราย หญิง 121 ราย
นอกจากนี้ ในปี 2551 มีเหยื่อไม่จำกัดอายุถูกล่วงละเมิดทางเพศ 161 ราย ปี 2552 เพิ่มเป็น 188 ราย และปี 2553 ตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน มีมากถึง 157 ราย ทั้งนี้พบว่าในจำนวนนี้อายุน้อยที่สุดเพียง 3 ขวบเท่านั้น จึงน่าเป็นห่วงว่าในอนาคตเด็กและเยาวชน หรือกลุ่มวัยรุ่นที่มีมากกว่า 3 ล้านคน อาจตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศได้ เพราะทุกวันนี้พบว่าวัยรุ่นที่ไม่ได้เรียนหนังสือกลายเป็นเด็กเร่ร่อนแล้วกว่า 30,000 คน มีเด็กกำพร้าอีก 1 ล้านคนเศษ เป็นคุณแม่วัยใสหรือวัยรุ่นหญิงที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ตั้งครรภ์อีกราว 120,000 คน เป็นยุวอาชญากรที่ถูกตำรวจจับกุมอีกประมาณ 50,000 คน นอกนั้นเป็นเด็กไร้สัญชาติหรือแรงงานข้ามชาติอีกเกือบ 1 ล้านคน ซึ่งทั้งหมดนี้เข้าข่ายพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจถูกล่วงละเมิดทางเพศ และติดเชื้อเอชไอวีจนกลายเป็นผู้ป่วยเอดส์ในอนาคตได้ ดังนั้นรัฐบาลจึงควรกำหนดนโยบายให้กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข จัดให้มีการเรียนการสอนเรื่องเพศศึกษา และโรคติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์กันอย่างเข้มข้นและจริงจัง
ซึ่งเมื่อพิจารณาจากผลการสำรวจที่สำนักโรคเอดส์ กรมควบคุมโรค สธ.ทำร่วมกับสวนดุสิตโพล โดยได้สำรวจความคิดเห็นและความต้องการของผู้ปกครองต่อความต้องการสอนเพศศึกษาในสถานศึกษา ในกลุ่มผู้ปกครองที่มีบุตรหลานกำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และการศึกษานอกโรงเรียน ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 676 คน เมื่อวันที่ 1-15 พฤศจิกายน 2553 ผลการศึกษาสรุปได้ 3 ประเด็นใหญ่ๆ คือ 1.พบว่าเกินกว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยกับการสอนเพศศึกษาในสถานศึกษา โดยมีความเห็นว่าผู้บริหารสถานศึกษา ครูและผู้ปกครองจะต้องช่วยกันผลักดันและร่วมมือกันอย่างจริงจังในการผลักดันให้มีการสอนเพศศึกษาในสถานศึกษา 2 .เกินกว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยว่าการสอนเพศศึกษาจะช่วยลดการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ และจะช่วยลดผลกระทบที่ตามมาทั้งต่อตนเองและครอบครัว ไม่นำไปสู่การทำแท้ง และ 3.ร้อยละ 60.51 ไม่คิดว่าการสอนเพศศึกษาจะทำให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น
การแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคเอดส์นั้น หากจะให้ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าที่วางไว้ คงต้องทำให้ทุกภาคส่วนในสังคมไทยได้มี “สิทธิ” และ “เข้าถึง” ในทุกๆ ด้านอย่างแท้จริง