- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ผลงานรัฐบาลอภิสิทธิ์ 2 ปี เข้าตาหรือไร้ค่า ในสายตานักปฏิรูป
ผลงานรัฐบาลอภิสิทธิ์ 2 ปี เข้าตาหรือไร้ค่า ในสายตานักปฏิรูป
แถลงผลงานรัฐบาลในรอบ 2 ปี จัดขึ้นที่บริเวณสนามหญ้า หน้าตึกไทยคู่ฟ้า ผ่านพ้นไปแล้วอย่างอลังการ พร้อมๆกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหลากหลายแง่มุมตามมา บ้างก็ว่า นโยบายรัฐบาลส่วนใหญ่เป็นนโยบายระยะสั้น หวังการหาเสียงเท่านั้น อีกทั้งรัฐบาลยังไม่ได้เข้าไปแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม
ขณะที่รัฐบาลออกมาย้ำชัดว่า การดำเนินนโยบายทั้งหมดเพื่อประชาชน สร้างความสุขให้สังคมไทย โดยเฉพาะตัวเลขทางเศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน เรื่องนี้แม้รัฐบาลจะนับว่าเป็นผลงาน แต่ในสายตาผู้ที่อยู่ในคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) จะนับเป็นผลงานที่เข้าตาด้วยหรือไม่ หรือรัฐบาลทำดี มีผลงาน แต่ขาดการประชาสัมพันธ์ ก็ต้องไปถาม ท่านเหล่านี้ดู
เริ่มที่นโยบายดูจะได้รับความนิยมสูงสุด "การเรียนฟรี 15 ปี" ซึ่งเป็นนโยบายที่วางรากฐานสำหรับอนาคตของประเทศ และเป็นนโยบายที่มุ่งลดภาระของผู้ปกครอง และเป็นครั้งแรกที่มีการดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง จับต้องได้ ที่สำคัญ นายกรัฐมนตรี บอกว่า ประชาชนชื่นชมในแง่ของการทำงานของภาครัฐมากที่สุด
เรียนฟรี 15 ปี เดินมาถูกทาง
ถามใครอื่นไม่ได้นอกจากอดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงการศึกษา “คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา” กรรมการปฏิรูป มองว่า งานด้านการศึกษาถือเป็นความก้าวหน้า คิดว่า รัฐบาลเดินมาถูกทาง โครงการเรียนฟรีสามารถช่วยผู้ปกครองได้ในระดับหนึ่ง
“เราพูดมากว่าจะให้เรียนฟรี รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยก็พยายามทำเรื่องนี้ แต่ต้องยอมรับ รัฐบาลอภิสิทธ์ให้ความสำคัญมาก มีการเพิ่มงบประมาณจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวกับความเดือดร้อนของนักเรียน
ในสมัยอื่นมีการเพิ่มงบประมาณเป็นค่ารายหัว มีการจัดส่งไปที่โรงเรียน แต่รัฐบาลชุดนี้ได้ระบุชัดเจนว่า เงินก้อนนี้ต้องลงไปเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ของผู้ปกครอง ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดเด่น ซึ่งก็พบว่า ผู้ปกครองมีความพึงพอใจ แต่ก็ยังมีข้อวิพากษ์วิจารณ์บ้างในทางปฏิบัติ เช่น ควรจะซื้อหนังสือให้ด้วยหรือไม่ แต่ในภาพรวมก็ถือว่าเป็นก้าวหนึ่งที่สำคัญอย่างมาก
นอกจากเพิ่มงบประมาณแล้ว รัฐบาลยังเปลี่ยนวิธีให้อีกด้วย คุณหญิงกษมา บอกว่า เมื่อก่อนจะให้งบประมาณไปที่โรงเรียน และโรงเรียนจะนำไปลดภาระที่จะไปเก็บจากผู้ปกครอง แต่ครั้งนี้มีการประกาศอย่างชัดเจนว่า โรงเรียนได้รับอะไรไปแล้วบ้าง ทำให้โรงเรียนไม่สามารถไปเรียกเก็บจากผู้ปกครองได้อีก ขณะเดียวกันการมอบเป็นเงินให้แก่ผู้ปกครอง เพื่อใช้จ่ายเป็นค่าเสื้อผ้า ค่าอุปกรณ์การเรียน ซึ่งผู้ปกครองก็เดินทางมารับเงินอย่างคับคั่ง เป็นบรรยากาศที่ไม่น่าเชื่อ อีกทั้งยังทำให้ผู้ปกครองรู้สึกว่า เขาได้รับอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น
แต่สำหรับเด็กที่ยากจนจริงๆ แม้เงินจำนวนจะยังไม่เพียงพอ คุณหญิงกษมา มองถึงปมปัญหาใหญ่ที่เด็กเหล่านี้ขัดสนแม้กระทั่งค่าอาหาร ค่าข้าว ค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาโรงเรียน นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก ฉะนั้นถ้าจะเพิ่ม เสนอว่า ควรให้ความช่วยเหลือแก่เด็กที่ด้อยโอกาสจริงๆ เติมเต็มให้เงินไปสู่เด็กที่เดือดร้อนก่อน เพราะขณะนี้เงินเรียนฟรีได้ทุกคนเท่าเทียม เด็กที่ไม่เดือดร้อนก็ได้ด้วย "จะไปว่ารัฐบาลก็ไม่ได้ เนื่องจากเป็นข้อบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ"
สร้างสวัสดิการสังคมมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก
นอกเหนือจากเรื่องของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครองแล้ว มีหลายกลุ่มคนที่รัฐบาลในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างความมั่นคงด้วยการเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายให้กับคนเหล่านั้น เช่น ผู้สูงอายุ ได้รับเบี้ยยังชีพ 500 บาทต่อเดือน ทุกคนเป็นครั้งแรก ครอบคลุมผู้สูงอายุทั้งหมดที่ไม่มีหลักประกันทางด้านอื่น 5.7 ล้านคน
ในฐานะประธานสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย นพ. วิชัย โชควิวัฒน กรรมการปฏิรูป และกรรมการสมัชชาปฏิรูป ให้ความเห็นงานด้านสวัสดิการของรัฐบาลว่า ที่จริงแล้ว การที่จะสร้างสวัสดิการสังคมยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก เพราะว่าช่องว่างในสังคมไทย เป็นช่องว่างที่ถ่างกว้างอย่างต่อเนื่องมาในช่วงระยะเวลากว่า 20 ปี ความแตกต่างระหว่างกลุ่มคนที่มีรายได้สูงสุดกับกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำสุดจะอยู่ระหว่าง 12 – 15 เท่า มาอย่างต่อเนื่อง ถือว่า เป็นช่องว่างที่ห่างมากเกินไป
“ในประเทศที่เจริญแล้ว และประสบความสำเร็จ ในการพัฒนาสังคมอย่างแท้จริง ช่องว่างตรงนี้จะแคบกว่านี้ อย่างประเทศไต้หวันก็เหลือประมาณ 4 เท่า เท่านั้น แต่การที่มีช่องว่างห่างกันเช่นนี้ แน่นอนที่สุดแล้วว่า คนที่อยู่ในกลุ่มล่าง เป็นผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ เพราะหากว่า ยังปล่อยให้เป็นช่องว่างอย่างนี้ต่อไป นอกจากจะมีประชาชนที่เดือดร้อน ปัญหาสังคมต่างๆ ก็จะเกิดตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอาชญากรรม หรือปัญหาทางเศรษฐกิจ ตรงนี้ก็ต้องพยายามแก้ให้ครอบคลุมอย่างเป็นระบบ”
เมื่อถามถึงเงินเพียง 500 บาทต่อเดือน เป็นเงินที่มีความหมายอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุและครอบครัวที่ต้องดูแลผู้สูงอายุ หรือไม่ นพ.วิชัย มองว่า เบี้ยยังชีพคนชรา ที่ถึงแม้ว่าจะมีความพยายามในการให้อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่แล้ว แต่ว่า เงินจำนวน 500 บาท ก็ต่ำเกินไป ไม่เพียงพอที่จะยังชีพ หรือเอาชีวิตรอด แต่คงเป็นข้อจำกัดในเรื่องของเงินที่จะนำมาจัดสรรให้ จึงเป็นแค่การให้แบบปูพรม ในขณะเดียวกันก็ไม่มีระบบของการที่จะจัดสวัสดิการสังคมที่สร้างมาเพื่อรองรับการจัดสวัสดิการอย่างต่อเนื่อง เช่น ระบบการออม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เรียกว่า แรงงานนอกระบบ
“เรามีกฎหมายประกันสังคมมา 50 กว่าปีแล้ว แต่ว่ากฎหมายฉบับนี้ก็ไม่เคยมีผล เพราะกฎหมายกำหนดว่า จะมีผลก็ต่อเมื่อรัฐบาลออกกฎกระทรวงที่ประกาศใช้เป็นท้องที่ไป แต่รัฐบาลก็ไม่เคยประกาศเลย กระทั่งปี 2533 เราจึงได้มีเรื่องประกันสังคม การประกันสังคมก็ครอบคลุมโดยหลักๆ คือ แรงงานที่มีนายจ้าง หรือแรงงานในระบบเท่านั้น แต่แรงงานนอกระบบยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่มีปัญหา ไม่ได้รับการดูแล โดยครอบคลุมจากกฎหมายฉบับนี้ ตรงนี้ก็จะเป็นเรื่องที่เราจะต้องแก้ไขอย่างเป็นระบบต่อไป”
ประกันสุขภาพมีปัญหาคุณภาพ-แตกต่าง
นอกจากนี้ นพ.วิชัย ยังให้ทัศนะถึงเรื่องประกันสังคมว่า ที่ผ่านมาผู้ที่ดูแลเรื่องประกันสังคมมุ่งที่จะดูแลแต่ “กองทุน” มากกว่าดูแล “ประชาชน” ส่วนเรื่องรักษาพยาบาลก็โชคดี ที่มาตรการนี้เราสามารถจะดูแลได้ครอบคลุมทั่วถึง หรือเรียกได้ว่า ถ้วนหน้าแล้ว แต่ว่ายังมีความแตกต่างอย่างมากมายในระบบประกันสุขภาพ นั่นก็คือกองทุนสวัสดิการข้าราชการ ยังใช้เงินมากกว่ากองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประมาณ 5 เท่าตัว เป็นการใช้เงินที่ไม่มีประสิทธิภาพ และการใช้เงินที่ไม่มีประสิทธิภาพนั่นเอง เป็นการใช้เงินที่เรียกว่า “ไม่สมประโยชน์”
“หากว่าประหยัดเงินในส่วนนั้นได้ แล้วนำมาเพิ่มในส่วนที่มีความจำเป็นต่อประชาชน 48 ล้านคน หรือ ถ้าหากว่าใน 48 ล้านคน เราเห็นว่า พอเพียงแล้ว เงินจำนวนนั้นเราสามารถนำไปทำประโยชน์ในการบริหารสังคมด้านอื่นๆ ได้อีก และที่สำคัญก็คือว่า ในระบบประกันสุขภาพของทั้งประเทศ ทั้งระบบข้าราชการ ของประกันสังคม และระบบสุขภาพแห่งชาติ ยังมีปัญหาเรื่อง คุณภาพของการบริการ ความแตกต่างของกรุงเทพ เมืองใหญ่ๆ กับหัวเมืองในชนบท ซึ่งมีความแตกต่างกันอยู่ อย่างในกรุงเทพเรียกได้ว่า มีล้นเกินแล้ว เริ่มจะใช้เวลาไปทำสิ่งที่ไม่จำเป็นแล้ว เช่น เรื่องเสริมสวย ในขณะที่ชนบทยังขาดแคลนแพทย์มาก อันนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องแก้ไข”
ประธานสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ตอกย้ำอีกว่า ในเรื่องของผู้สูงอายุ ระบบเงินบำนาญแห่งชาติ ก็ต้องทำให้เป็นระบบต่อไป ขณะก็เรื่องระบบการออม (กองทุนเงินออมแห่งชาติ) ก็ได้เข้าไปอยู่ในสภาแล้ว ก็จะทำให้ระบบตรงนี้ดีขึ้น แต่ว่ากฎหมายก็ยังมีช่องว่าง และมีส่วนที่ยังปรับปรุงได้อีกมาก โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบที่ไม่มีระบบอะไรมารองรับเลย คนเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องให้บริการเสริมเข้าไป ในเรื่องผู้พิการ ผู้สูงอายุ ไม่ต้องช่วยเหลือแค่เรื่องเบี้ยยังชีพ ยังมีความจำเป็นในด้านอื่นๆ อย่างเช่น ในผู้พิการ หรือผู้สูงอายุ จะมีจำนวนหนึ่งที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ดังนั้นระบบการดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองได้ ยังเป็นระบบที่อ่อนแอมาก ส่วนใหญ่แล้ว มีแต่ภาพการช่วยเหลือกันเองตามมีตามเกิด ระบบของรัฐยังเข้าไปดูแลตรงนี้น้อยมาก
“ที่จริงก็มีตัวอย่างจากประเทศที่เจริญแล้ว ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เช่นที่ไต้หวัน มีการจัดสวัสดิการ และสถานดูแลผู้สูงอายุ กลางวัน มีผู้สูงอายุ 6 แสนคนที่ไม่มีใครดูแล ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่ผู้สูงอายุในประเทศของเราตอนนี้มีประมาณ 6 แสนคน ที่อยู่คนเดียว ไม่มีใครดูแล ในยามเจ็บป่วย และช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ต้องให้ความสำคัญ”
ขยายสิทธิ์ประกันสังคม มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ?
สำหรับมาตรการที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นไป ที่รัฐบาลจะขยายสิทธิประโยชน์ในเรื่องประกันสังคม ทั้งการที่จะปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ขยายสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมคู่สมรส บุตรไปจนถึงการขยายสิทธิประโยชน์ที่ได้รับอยู่ในปัจจุบันให้มีมากขึ้นนั้น นพ.วิชัย วิจารณ์ตรงไปตรงมาว่า เป็นการตัดสินใจที่มีเบื้องหน้า เบื้องหลัง ไม่ตรงไปตรงมานัก โดยเฉพาะอย่างสิทธิที่จะให้กับครอบครัวเป็นเรื่องดี แต่เรื่องสิทธิในการรักษาพยาบาลเป็นการตัดสินใจที่แปลกประหลาดมาก
“คนเหล่านี้เขามีสิทธิ์อยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปยุ่งกับสิทธิตรงนี้เลย แต่ปรากฏว่ามีความต้องการที่จะดึงให้ไปอยู่กับระบบประกันสังคม ทั้งๆ ที่ระบบการดูแลด้านการเจ็บป่วยเป็นระบบที่ไม่สมบูรณ์ คนที่ดูแลเรื่องนี้ไม่มีความเชี่ยวชาญ เพราะฉะนั้นผลประโยชน์ต่างๆ จะไปตกอยู่กับโรงพยาบาลเอกชน มากกว่าผู้ประกันตน ดังนั้นควรจะเอาผู้ประกันตนทั้งหมดมาอยู่ภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพราะมีความรู้ความเชี่ยวชาญมากกว่า”
เรื่องสำคัญที่สุด ที่นพ.วิชัย เน้นย้ำ คือการเน้นไปที่ปัญหาสังคมแม่และเด็กเล็ก จะดีกว่า จำเป็นจะต้องแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กฎหมายประเทศไทย อย่างกฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่เดินแนวคิดส่งเสริมการมีชีวิต ไม่ได้ส่งเสริมแนวทางให้กับแม่ที่ท้องไม่พร้อม กฎหมายปัจจุบันไม่เปิดช่องให้เขายุติการตั้งครรภ์ได้ เพราะฉะนั้นเขาต้องอุ้มท้องต่อ ซึ่งยุคนี้เป็นยุคที่แม่ที่ท้องไม่พร้อมต้องเผชิญปัญหามากมาย ทั้งที่ยังอายุน้อย ขาดประสบการณ์ และเป็นกลุ่มคนที่มักจะมีปัญหาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ที่รัฐบาลจะต้องเข้ามาช่วยเหลือดูแล ให้เขาสามารถที่จะดำรงชีวิตต่อไปได้ แต่เมื่อกฎหมายตีกรอบตรงนั้น รัฐบาลก็ต้องหาแนวทางเข้ามาเสริมในประเด็นนี้
นโยบายหลายเรื่อง รบ.ต้องทำตาม รธน.
รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ กรรมการปฏิรูป และกรรมการสมัชชาปฏิรูป ให้มุมมองผลงานรัฐบาลของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เรียนฟรีในรอบ 15 ปี เป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนอยู่แล้ว รัฐบาลจะต้องทำอย่างสวัสดิการ การรักษาพยาบาล หรือการศึกษา ซึ่งปรากฏสิทธิขึ้นพื้นฐาน เป็นเรื่องที่รัฐจะต้องทำอยู่แล้ว ตามรัฐธรรมนูญ
“หากพ่อแม่ไม่ให้ลูกเรียนตามนั้น ก็มีความผิด จะว่าไปเมื่อมีนโยบายตรงนี้เกิดขึ้น พ่อแม่ก็ไม่มีสิทธิ์จะอ้างว่า ลูกไม่ได้เรียนเพราะอะไร เพียงแต่ว่าอาจจะมีคนบางกลุ่ม ที่มีปัญหา เช่นคนอายุที่ 15 ขึ้นไป มีคนที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้อยู่ประมาณ 3 ล้านคน ตรงนี้รัฐบาลจะทำอย่างไร”
กรณีของเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและคนพิการ รศ.ดร.ณรงค์ เสริมอีกว่า เป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญที่จะได้ แต่ปัญหาก็คือทำอย่างไรให้ได้รับกันอย่างทั่วถึง เพราะสิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการเข้าถึงสิทธิ์ที่พึงจะได้รับ หากคนพิการ คนชรา รับรู้ถึงสิทธิมากขึ้น ความทั่วถึงก็ตามมา บางทีอาศัยระบบราชการอย่างเดียวก็อาจจะไม่ทั่วถึง หากเจ้าของสิทธิ์ทักท้วงขึ้นมา ก็จะทั่วถึงมากขึ้น เรื่องเหล่านี้ต้องใช้เวลา
ถ้าหันมาดูในเรื่องของงานทางด้านอื่น ๆ เรื่องของความมั่นคง เรื่องของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่รัฐบาลโชว์ผลงาน ว่าขณะนี้การสร้างอาชีพเกิดขึ้นไปแล้วใน 3,000 หมู่บ้าน นักเศรษฐศาสตร์ นั่งในกรรมการปฏิรูปทั้ง 2 ชุด ชี้ชัดว่า ในส่วนของการสร้างงานกว่า 3,000 หมู่บ้าน นโยบายดี แต่ปัญหาอยู่ว่าจะทำอย่างไร ซึ่งยังไม่มีคำอธิบาย และจะมีตัวชี้วัดอย่างไร ให้พวกเขามีงานจริง
ส่วนแนวทางการวางอนาคตเพื่อคนไทย การแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้าง การแก้ปัญหาในเรื่องของความเหลื่อมล้ำ 1 ใน 4 เรื่องที่รัฐบาล จะปฏิรูป มีเรื่องของกระบวนการยุติธรรม สร้างสิ่งที่เรียกว่า “ยุติธรรมชุมชน” เรื่องนี้ รศ.ดร.ณรงค์ บอกว่า ยุติธรรมชุมชน รายละเอียดยังไม่ค่อยชัดเจน แต่ในกระบวนการยุติธรรมบ้านเราเกิดความเหลื่อมล้ำ โดยกระบวนการ วิธีการ คนด้อยสิทธิ์มักจะไม่ได้รับความยุติธรรม เพราะว่ากระบวนการยุติธรรมที่เริ่มต้นตั้งแต่ตำรวจ ยันศาล เป็นกระบวนการที่ทุกคนควรจะต้องรู้จักสิทธิ์ของตนเอง และเมื่อไม่รู้วิธีการปกป้องสิทธิ์ก็กลายเป็นผู้ด้อยโอกาส
“ส่วนที่ผมทำอยู่เกี่ยวกับเรื่องแรงงาน เวลาเขาถูกเอาเปรียบ เวลาเขาถูกละเลยในทางปฏิบัติ เช่นไม่จ่ายค่าจ้าง หรือว่าจ่ายเงินค่าประกันตน แต่ว่านายจ้างไม่ส่งเรื่องต่อ นั่นคือนายจ้างทำผิดกฎหมาย ซึ่งลูกจ้างไม่รู้ว่ากระบวนการทำอย่างไร ต้องฟ้องร้องใคร และต้องใช้วิธีใดในการดำเนินคดี ซึ่งจริงๆแล้ว ตามกฎหมายลูกจ้างถูกตั้งข้อหากระทำผิด สามารถจ้างทนายมือหนึ่งไปว่าความให้ได้ แต่ถามความเป็นจริงว่าจะนำเงินที่ไหนมาจ้าง
สังคมทุนนิยมแบบนี้ ความยุติธรรมก็ไม่เสมอภาคอยู่แล้ว หากคุณได้ดูรายการไทยทีวี คุยกับแพะ คุณจะเห็นว่าแพะเต็มไปหมด เพราะคนจนยากที่จะหาทนายความ หาคนถูกต้อง แต่ก็ไม่มีปัญญา การไกล่เกลี่ยอย่างที่รัฐบาลว่า ในกระบวนการยุติธรรมชุมชนนั้นก็ไม่ได้บอกว่า ยุติธรรมหรือไม่ ได้รับความเป็นธรรมหรือเปล่า เพราะคนที่อยู่ในที่ดินกว่า 30 ปี และโดนไล่ที่ ให้ติดคุก อย่างนี้ก็ต้องถามว่า ไกล่เกลี่ยอย่างไร หากให้ออกไปจากที่ดิน ไม่ต้องติดคุก อย่างนี้เรียกยุติธรรมหรือไม่ หากไม่ติดคุก แต่ไม่มีที่ดิน”
ปฏิรูปดันคนเล็กคนน้อยมีพลังอำนาจ
สุดท้าย รศ.ดร.ณรงค์ เห็นว่า ในกระบวนการปัจจุบันต้องปฏิรูปขนาดใหญ่ เพราะมีปัญหาอยู่ 2 ประการคือ 1. เพราะประชาชนข้างล่างเป็นคนด้อยสิทธิ ด้อยโอกาส จึงถูกละเมิดสิทธิ 2.ศาล ไม่ใช่คนที่จะวิ่งหาข้อมูลเอง ศาลก็นั่งของเขาอยู่เฉยๆ คู่กรณีต่างหากต้องเป็นคนนำเสนอว่าข้อมูลคืออะไร หากเขาฟ้องว่าเราผิด เรามีวิธีการจะแจ้งอย่างไรว่า ไม่ผิด เรารู้ดีว่าวิธีบอกเล่ากับศาลต้องเป็นวิธีที่อิงกฎหมาย ถามว่าเราจะพิสูจน์อย่างไรให้ไม่ผิด เหมือนคนจนที่ไม่รู้กฎหมาย เขาจะทำอย่างไรให้ศาลว่าความว่าไม่ผิด คนที่จะพูดต้องเป็นคนที่รู้กฎหมาย ทนายมีเยอะ แล้วจะมีคนไหนว่าความให้ฟรีๆ หรือเปล่า ?
“ภาพตรงนี้ไม่อาจเรียกได้ว่า ไม่มีความยุติธรรมเกิดขึ้น แต่ต้องเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าศาลไม่สามารถที่จะตัดสินคดีความอย่างถูกต้องและเที่ยงธรรมได้ เพราะความไม่รู้ ความเสียโอกาสของคู่กรณี ที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูล กฎหมาย กระบวนการ เข้าถึงสิ่งที่กฎหมาย ฉะนั้นผมจึงไม่เข้าใจว่าจะยุติธรรมชุมชนกันอย่างไร
คณะปฏิรูปถึงบอกว่า ไม่ว่าความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมจะเกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรม เศรษฐกิจ สังคมก็ตาม สิ่งแรกคือทำให้คนเล็กคนน้อยมีพลังอำนาจขึ้นมา เท่านั้น เขาก็สามารถปกป้องตนเองได้ ต้องมีส่วนร่วมในนโยบายต่างๆ ที่พวกเขาได้รับอยู่ ต้องไม่ถูกตัดสินโดยรัฐบาล เขาต้องสามารถรวมตัวกันได้ แต่พวกเขาขาดพลัง ความรู้ ขาดการมีส่วนร่วม เพื่อปกป้องตนเอง หากไม่ทำอย่างนี้ คนเล็กน้อยก็จะถูกเหลื่อมล้ำตลอดเวลา”