- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- เรื่อง “ขนม” ที่ไม่ขนม ติดไฟจราจรจัดเรตติ้งอาหาร
เรื่อง “ขนม” ที่ไม่ขนม ติดไฟจราจรจัดเรตติ้งอาหาร
การรวมตัวของ 8 องค์กรด้านสุขภาพ ที่ประกอบด้วย มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว,เครือข่ายคนไทยไร้พุง,โครงการพัฒนาระบบและกลไกเพื่อเด็กไทยมีโภชนาการสมวัย, แผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ, เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน, สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล, สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) ในการเคลื่อนไหวด้วยการล่ารายชื่อผู้ปกครองเด็ก จำนวน 1,128 คน เพื่อยื่นต่อนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการลดหวานมัน เค็ม เพื่อลดภาวะอ้วนลงพุงของคนไทยและสนับสนุนมาตรการฉลากอาหารแบบสีสัญญาณไฟจราจรเพื่อให้ผู้บริโภคใช้ประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้านั้น แม้จะไม่ใช่ประเด็นฮอตฮิตชวนให้สังคมติดตาม แต่ก็ไม่จะควรมองข้ามเสียทีเดียว
เพราะนับตั้งแต่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 มีมติเรื่องการจัดการปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ให้ความเห็นชอบกับมติดังกล่าวไปแล้วเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2553 ที่ให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(คสช.) และคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสนับสนุนมาตรการดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดย1.ยกร่างแผนปฏิบัติการที่ระบุหน้าที่รับผิดชอบชัดเจนภายใน 1 ปี 2.ใช้มาตรการลักษณะสีสัญญาณพร้อมคำเตือนในอาหารที่มีไขมัน หรือน้ำตาล หรือโซเดียม 3.ใช้มาตรการทางภาษีและราคาของอาหารเพื่อจัดการกับปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน และ 4.จัดทำระเบียบว่าด้วยการตลาดเกี่ยวกับอาหารที่มุ่งเป้าหมายไปยังเด็ก และมีผลต่อความรุนแรงของภาวะน้ำหนักเกิน โรคอ้วน และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เรื่องนี้จึงถือว่าเป็นวาระแห่งชาติที่มีการขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเชื่อหรือไม่ว่า...ก่อนหน้านี้ได้มีการสำรวจข้อมูลผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับการอ่านข้อมูลบนฉลากโภชนาการจำนวน458 คน พบว่ามีถึงร้อยละ 97 ที่อ่านเฉพาะวันหมดอายุ รองลงมาร้อยละ 83 อ่านเฉพาะส่วนประกอบ ร้อยละ 82 อ่านเฉพาะวันที่ผลิต ร้อยละ 63 อ่านเฉพาะฉลากโภชนาการ และร้อยละ 50 อ่านเฉพาะเครื่องหมาย อย. ซึ่งในจำนวนผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด มีประมาณร้อยละ 40 ของผู้ที่อ่านฉลากโภชนาการระบุว่าไม่เข้าใจความหมาย และมีการเสนอให้ทำฉลากใหม่เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงเป็นที่น่าห่วงใยว่า หากผู้บริโภคไม่มีความรู้ประกอบการตัดสินใจที่เพียงพอ อาจทำให้ผลิตภัณฑ์ดีๆเหล่านั้น ต้องกลายเป็นสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
ดันจัดเรตติ้งผลิตภัณฑ์อาหาร
ดังนั้น เมื่อไม่นานมานี้ สถาบันโภชนาการมหิดลจึงทำการวิจัยเกี่ยวกับสัญลักษณ์โภชนาการเพื่อพัฒนาให้ง่ายต่อการอ่านและการใช้ประโยชน์โดยใช้ต้นแบบสัญลักษณ์โภชนาการในต่างประเทศ เช่น ในสหราชอาณาจักร ที่กลุ่มผู้ผลิตอาหารบางกลุ่มได้ทำสัญลักษณ์โภชนาการแบบGuideline Daily Amounts (GDA) ซึ่งเป็นการแสดงปริมาณของส่วนประกอบของขนมหรือผลิตภัณฑ์อาหาร ประกอบด้วย ไขมัน ไขมันอิ่มตัว น้ำตาล และโซเดียม ฯลฯหากส่วนประกอบใดสูงมากกว่าปกติจะจัดอยู่ในกลุ่มสีแดงถ้ามากแต่อยู่ในระดับรับได้จัดอยู่สีเหลือง และในระดับพอดีจัดอยู่สีเขียว ซึ่งวิธีการนี้ผู้ประกอบการในสหราชอาณาจักรมีการดำเนินการอย่างสมัครใจมานาน โดยไม่ต้องออกกฎหมายบังคับใช้
รศ.ประไพศรี ศิริจักรวาล นักวิจัยสถาบันโภชนาการ มหิดล ให้ข้อมูลว่า จากการสำรวจในนักเรียนและผู้ปกครอง จำนวน 450 คน โดยการทดสอบความเหมาะสมและความเข้าใจสัญลักษณ์โภชนาการ 4 แบบ ได้แก่ ดวงดาว สีสัญญาณไฟจราจร สัญลักษณ์โภชนาการและสี และโลโก้ดาว พบว่า กลุ่มตัวอย่างชอบสัญญาณไฟจราจรถึงร้อยละ63.9ส่วน ดวงดาวร้อยละ 17.8ขณะที่ สัญลักษณ์และสี ร้อยละ 10.5 และโลโก้ดาวร้อยละ7.7
“การใช้สัญลักษณ์ไฟจราจรเป็นการอ้างอิงสีจากไฟจราจรเขียว-เหลือง-แดงเช่น รูปแบบไฟจราจรที่ใช้วงกลม 5 วงวางเรียงกัน แต่ละวงเป็นตัวแทนสารอาหารและปริมาณโดยคำนึงถึงพลังงาน-ไขมัน-ไขมันอิ่มตัว-น้ำตาล-โซเดียมภายในวงกลมจะระบายสีไฟจราจรสีใดสีหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณสารอาหารที่มีในหนึ่งหน่วยบริโภคของอาหารนั้นๆ เพราะเชื่อว่าน่าจะช่วยให้ผู้ปกครองตัดสินใจเลือกซื้อขนมสำหรับบุตรหลานได้ง่ายขึ้น หรือแม้กระทั่งเด็กที่ซื้อขนมไปกินเองก็เข้าใจฉลากเหล่านี้ได้มากกว่าแบบเดิมที่มีแต่ภาษาทางวิชาการ แต่อย่างไรก็ตาม รูปแบบของสถาบันโภชนาการจะแตกต่างจากของต่างประเทศ เนื่องจากจะมีรายละเอียดมากกว่าคือ มีการบอกปริมาณ ระดับส่วนผสม” รศ.ประไพศรี กล่าว
ตลึง!เด็กไทยกินอย่างไร้คุณภาพ
สำหรับเป้าหมายของมาตรการนี้ ชัดเจนว่าเพื่อต้องการ “คุ้มครองผู้บริโภค” โดยเฉพาะเด็กที่เป็นอนาคตของชาติ เพราะปัจจุบันมีข้อมูลน่าตกใจว่าเด็กไทยใช้เงินซื้อขนมประมาณ 8,900 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งมากกว่าการใช้เงินซื้อเครื่องเขียนที่ใช้ประมาณ 400-500 บาทต่อคนต่อปี เท่านั้น ปัญหาคือ เมื่อเด็กกินขนมมาก และได้รับสารอาหารเกินจำเป็นมาก ก็ยิ่งส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว
ซึ่งเรื่องนี้ นพ.ทักษพล ธรรมรังสี นักวิจัยสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ สะท้อนความน่าวิตกกังวลว่า เด็กไทยกำลังเผชิญกับภาวะอ้วน โดยจากข้อมูลการสำรวจสุขภาพประชาชนระหว่างปีพ.ศ.2551-2552 พบว่าเด็กไทยอายุ 1-14 ปี มีจำนวน 540,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ5 อยู่ในภาวะอ้วน ส่งผลให้เด็กไทยจำนวน 135,000 คน เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 (type 2 diabetes) โดยร้อยละ28 ของเด็กอายุ 2-14 ปีกินขนมกรุบกรอบที่มีไขมันสูงทุกวันหรือบ่อยกว่านั้น
ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการสำรวจของสำนักงานสำรวจสุขภาพประชาชนไทยในปี2552 ที่ระบุว่า เด็กมีความถี่ในการกินขนมกรุบกรอบเพิ่มขึ้น2 เท่าจากปี 2546 กล่าวคือร้อยละ 72 ของเด็กอายุ 2-5 ปีกินขนมกรุบกรอบอย่างน้อยสัปดาห์ละ1 ครั้ง เด็กอายุ 6-14 ปี กินขนมกรุบกรอบทุกวันร้อยละ12 ขณะที่การกินบะหมี่สำเร็จรูป เด็กอายุ 2-5 ปี ร้อยละ 7 กิน 4-6 ครั้งต่อสัปดาห์ และร้อยละ12 ของเด็กอายุ 6-14 ปี กิน 4-6 ครั้งต่อสัปดาห์
“จากการพัฒนาฉลากแบบสัญญาณไฟจราจรบนซองขนมที่จำหน่ายในท้องตลาด พบว่า ขนมส่วนใหญ่ถึง 80% มีปริมาณไขมัน ในระดับสีแดง ซึ่งเกินกว่าปริมาณที่ร่างกายควรได้รับถึง 2 เท่าใน 1 มื้อ โดยมันฝรั่งทอดปรุงรส ข้าวเกรียบ และขนมปังสอดไส้ มีสัญญาณสีแดงมากที่สุด อย่างไรก็ตามมีบางผลิตภัณฑ์ที่ได้สัญลักษณ์สีเขียว และเหลืองเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีน้ำตาล ไขมัน และเกลือ ที่อยู่ในปริมาณพอเหมาะ ดังนั้น การติดฉลากสัญญาณไฟจราจรจะช่วยให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าได้เข้าใจมากกว่าการให้ข้อมูลเพียงตัวเลขอย่างเดียว” นพ.ทักษพล กล่าว
ด้าน นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคสช.กล่าวว่า ในประเทศผู้ที่เป็นโรคอ้วนทั้งวัยเด็กและผู้ใหญ่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่สำคัญหลายโรค เมื่อเทียบกับประชากรที่มีน้ำหนักปกติ เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจขาดเลือด มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเต้านม ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาผู้ป่วยเบาหวานในสถานพยาบาล 11 แห่ง ทั่วประเทศ ที่พบว่าเด็กและวัยรุ่นป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่2 มากขึ้น
นอกจากนี้ มีรายงานว่าเกือบ 1 ใน 3 ของเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี ชอบบริโภคอาหารรสหวาน และเกินกว่าครึ่งยังนิยมบริโภคขนมกรุบกรอบและเครื่องดื่มที่มีรสหวาน โดยจากการสำรวจ 20 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี บริโภคน้ำตาลเฉลี่ยสูงถึง 30.4 กรัมต่อคนต่อวัน ซึ่งสูงกว่าปริมาณสูงสุดที่ควรบริโภค (24 กรัมต่อคนต่อวัน) ถึงร้อยละ 27 และเด็กอายุ 6-14 ปี ก็มีพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มรสหวาน ขนมกรุบกรอบ อาหารประเภทไขมันสูง สูงกว่าประชากรกลุ่มอายุอื่น และมีทิศทางการบริโภคสูงขึ้นอย่างเห็นได้จากมูลค่าการตลาดของขนมกรุบกรอบบรรจุหีบห่อนั้นเพิ่มจาก1.1 หมื่นล้านบาทในปี 2549 เป็น 1.3 หมื่นล้านบาทในปี 2550
ผู้ผลิตหนุนแต่ต้องทำให้ถูกทาง
แต่ในแง่ของภาคผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ที่รวมตัวกันในนามสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลับมีข้อโต้แย้งกับมาตรการนี้ ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
ผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมฯ รายหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า แม้การแสดงฉลากโภชนาแบบใช้สีสัญลักษณ์จะสะดุดตา และทำให้ผู้บริโภคสามารถรับรู้และเข้าใจถึงคุณค่าทางโภชนาการได้ง่ายกว่า แต่เมื่อพิจารณาตามหลักโภชนาการแล้ว การใช้สีสัญลักษณ์ในลักษณะดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากความต้องการทางโภชนาการของแต่ละบุคคลมีความหลากหลายและแตกต่างกันไป ตามอายุ เพศ อาชีพ และรูปแบบการดำเนินชีวิต การใช้สีสัญลักษณ์ซึ่งอ้างอิงจากเกณฑ์เพียงเกณฑ์เดียวมาชี้นำรูปแบบในการบริโภคของประชาชนโดยส่วนรวมจึงไม่เหมาะสม และอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์สัญลักษณ์สีเขียวทั้งหมดในปริมาณมาก เพราะเข้าใจว่ามีประโยชน์และสามารถกินได้ไม่จำกัด หรือการเลี่ยงบริโภคผลิตภัณฑ์สัญลักษณ์ของสารอาหารบางชนิดเป็นสีแดงโดยสิ้นเชิง เพราะเข้าใจว่าไม่ดีต่อสุขภาพ นอกจากนี้ การใช้สัญลักษณ์ในการสื่อความยังไม่ส่งเสริมให้ผู้บริโภคเข้าใจในหลักโภชนาการ เพราะไม่ทราบถึงหลักการแบ่งกลุ่มประเภทอาหาร และเกณฑ์ที่ใช้อ้างอิง แต่จะใช้สีสัญลักษณ์เป็นปัจจัยหลักในการเลือกบริโภคอาหารมากกว่าการคำนึงถึงการวางแผนการบริโภคอย่างสมดุลในแต่ละวัน
นอกจากนี้ ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมฯ รายเดิม ยังชี้ว่า หากการรักษาสมดุลระหว่างการบริโภคกับการมีกิจกรรมทางกาย คือ ปัจจัยหลักในการป้องกันภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน ฉลากโภชนาการที่ดีควรจะต้องทำหน้าที่ในการส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมดังกล่าวมากกว่าที่จะส่งเสริมให้ผู้บริโภคเลือกกินอาหารบางประเภท เพราะนอกจากไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการบริโภคอย่างสมดุลแล้ว ยังก่อให้เกิดอคติกับผลิตภัณฑ์อาหารบางประเภทอีกด้วย
เขาให้เหตุผลอีกว่า ในขณะที่ประเทศไทยมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารของโลก ประเทศไทยสมควรให้ความสำคัญกับกฎระเบียบในการควบคุมอาหารที่สอดคล้องและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ตามหลักการ Harmonization เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศไทย และขณะเดียวกัน ก็เปิดโอกาสให้ผลิตภัณฑ์อาหารที่นำเข้าจากต่างประเทศสามารถแข่งขันในตลาดในประเทศได้อย่างเป็นธรรม เพราะหากไม่คำนึงถึงประเด็นดังกล่าวอาจขัดต่อหลักการค้าเสรีขององค์การการค้าโลกได้
ในเมื่อปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน เป็นปัญหาทางสุขภาวะที่สำคัญ และเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน จะดีหรือไม่ หากแนวทางแก้ไขปัญหานี้ควรจะได้รับการส่งเสริมและได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าเป็นจากภาควิชาการ ภาคราชการ ภาคเอกชน หรือภาคประชาชน