- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ยกเลิกเบิกจ่ายยานอกบัญชี นำร่องคุม 70,000 ล้าน ค่ารักษาข้าราชการ
ยกเลิกเบิกจ่ายยานอกบัญชี นำร่องคุม 70,000 ล้าน ค่ารักษาข้าราชการ
กระแส ข่าวกรณีกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง มีแผนควบคุมค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการไม่ให้เบิกจ่ายเกิน 70,000 ล้านบาทต่อปี โดยในปีงบประมาณ 2554 เตรียมจะพิจารณายกเลิกการเบิกจ่ายยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติเพิ่มเติมอีก 8 กลุ่ม หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการยกเลิกการเบิกจ่ายยาในกลุ่มยาลดข้อเข่าเสื่อม ซึ่งสามารถประหยัดงบประมาณแผ่นดินได้ประมาณ 442 ล้านบาท ไปแล้วนั้น มาตรการนี้จึงนับว่ากระทบกระเทือนไปถึงกลุ่มผู้ใช้สิทธิรักษาพยาบาลในระบบ สวัสดิการข้าราชการจำนวนมากถึง 4.5 ล้านคนเศษ
9 กลุ่มยาส่อยกเลิกเบิกจ่าย
สำหรับกลุ่มยาที่กรมบัญชีกลางจะมีการพิจาณายกเลิกการเบิกจ่าย ประกอบด้วย 1.กลุ่ม ยาลดข้อเข่าเสื่อม (Glucosamine) คาดว่าประหยัดเงิน 442 ล้านบาท 2.กลุ่มยาลดไขมันในเลือด (Antilipdemia) คาดว่าประหยัดเงิน 1,009 ล้านบาท 3.กลุ่มยาป้องกันโรคกระดูกพรุน (Drug affecting bone metabolism) คาดว่าประหยัดเงิน 712 ล้านบาท 4.กลุ่มยาลดแผลและเลือดออกในกระเพาะอาหาร (Anti-ulcerant/variceal bleeding) คาดว่าประหยัดเงิน 599 ล้านบาท 5.กลุ่มยาต้านอักเสบที่มิใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs/anti-osteoarthritis) คาดว่าประหยัดเงิน 415 ล้านบาท 6.กลุ่มยาเบื้องต้นในการรักษาความดันโลหิตสูง และภาวะหัวใจล้มเหลวแบบเลือดคั่ง (Angiotensin converting enzyme: ACE inhibitors) คาดว่าประหยัดเงิน 87 ล้านบาท 7.กลุ่มยาลดความดันโลหิต (Angiotensin-II Receptor blockers: ARBs) คาดว่าประหยัดเงิน 158 ล้านบาท 8.กลุ่มยาป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด (Antiplatelets) คาดว่าประหยัดเงิน 376 ล้านบาท และ 9.กลุ่มยารักษามะเร็ง (Anticancers) คาดว่าประหยัดเงิน 647 ล้านบาท
ซึ่งก่อนหน้านี้ นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า การพิจารณายกเลิกการเบิกจ่ายยานอกบัญชียาหลักฯ ใน 9 กลุ่มยาเป้าหมาย หากสามารถดำเนินการได้สำเร็จ จะสามารถประหยัดงบประมาณของชาติได้ถึง 4,851 ล้านบาท เพราะยาในบัญชียาหลักราคาถูกกว่าหลายเท่าตัว
รัดเข็มขัด 6 กลุ่มค่าใช้จ่ายสูง
การที่รัฐบาลมีแผนรัดเข็มขัดค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการกันอย่างเอาจริง เอาจัง เพราะมีการประมาณการณ์ว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 วงเงิน 2.07 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นงบรายจ่ายประจำถึง 1.63 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 98.79 ของรายได้ที่จัดเก็บ เท่ากับว่ารายได้ทั้งหมดสูญหายไปกับงบรายจ่ายประจำ เหตุนี้เองรัฐบาลจึงเล็งหาช่องทางที่จะควบคุมงบรายจ่ายประจำใน 6 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1.งบเบิกจ่ายรักษาพยาบาลข้าราชการที่สูงถึงปีละ 60,000-70,000 ล้านบาท (งบปี 2552 อยู่ที่ 68,000 ล้านบาท ) และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น 100,000 ล้านบาท 2.ภาระดอกเบี้ยจ่าย ซึ่งตั้งเป็นงบรายจ่ายปี 2554 ถึง 200,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 10 ของวงเงินรายจ่าย เทียบจากงบปี 2553 ที่วงเงิน 150,000 ล้านบาท 3.ทุนการศึกษา อาทิ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่อัตราการผิดนัดชำระหนี้มีแนวโน้มเพิ่มทุกปี รัฐจัดสรรงบสมทบเฉลี่ยปีละ 20,000-25,000 ล้านบาท 4.งบอุดหนุนองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เฉลี่ยปีละ 58,000 ล้านบาท 5.เงินบำนาญ/เบี้ยหวัดต่างๆ เฉลี่ยปีละ 87,000 ล้านบาท และ 6.เบี้ยเดินทาง/เบี้ยเลี้ยง เป็นต้น
แม้งบรายจ่ายประจำหลายรายการจะมีแนวโน้มที่เพิ่มอย่างรวดเร็ว แต่การจะเข้า ไปควบคุมไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากทั้งหมดเป็นภาระผูกพันมาแต่เดิม รัฐบาลจึงต้องเลือกควบคุมรายจ่าย ที่สามารถแก้ไขได้รวดเร็วในระยะสั้น โดยเฉพาะงบเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ และภาระดอกเบี้ยจากการก่อหนี้ของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม งบรักษาพยาบาลผู้ป่วยในกลับไม่ใช่ประเด็น แต่ที่เป็นปัญหาคือกลุ่มการรักษา ของผู้ป่วยนอกที่ไปรับการตรวจแล้วรับยากลับไปกินที่บ้าน งบส่วนนี้กรมบัญชี กลางพบว่า มีแนวโน้มเฉลี่ยเพิ่มถึงร้อยละ20-30 ต่อปี จึงได้มอบหมายให้คณะที่ปรึกษาจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ทำการสำรวจในเบื้องต้นโรงพยาบาลของรัฐ 34 แห่ง พบว่ามีหลายกลุ่มโรคที่มีการเบิกค่ายานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ มากกว่าปกติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยาที่มีค่าลิขสิทธิ์และราคาแพงมาก โดย 9 กลุ่มโรคดังกล่าว ได้แก่ 1.กลุ่มโรคผมร่วง 2.กลุ่มโรคปวดศีรษะ/ไมเกรน/เบลอ 3. ปวดตา /น้ำตาแห้ง/ เรตินาผิดปกติ 4.ไซนัส คัดจมูก ภูมิแพ้ 5. เครียด โรคกลิ่นปาก 6.กลุ่มโรคไขข้อ /ปวดข้อ คอ นิ้ว 7.โรคอ้วน คอเลสเทอรอล 8.โรคกระเพาะ และ 9.โรคริดสีดวงทวาร
วางแผนคุมการเบิกจ่ายค่ารักษา
กรมบัญชีกลาง ชี้ว่าหากดูจากสถิติงบรักษาพยาบาลข้าราชการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเร็วมาก เฉลี่ยถึงร้อยละ 20 ต่อปี ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 61,000 ล้านบาท โดยเป็นงบผู้ป่วยใน 15,000 ล้านบาท และงบผู้ป่วยนอก 45,000 ล้านบาท สำหรับการเบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเป็นของข้าราชการนั้น เป็นการเบิกตามการจ่ายจริงของข้าราชการ และเป็นระบบการจ่ายตรงไปยังโรง พยาบาลของรัฐ ฉะนั้นแนวโน้มที่จะมีการใช้จ่ายไม่สมเหตุผลจะมีมาก
นายรังสรรค์ กล่าวถึงแนวทางในการควบคุมการเบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการว่า ในระยะสั้น กรมบัญชีกลางได้ดำเนินมาตรการเป็น 3 แนวทาง ได้แก่
1.การนำระบบแบ่งกลุ่มผู้ป่วยแบบดีอาร์จี (DRG: Diagnosis related groups) มาใช้ในการกำหนดวงเงินในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลแบ่งตามกลุ่มวินิจฉัยโรค ร่วม
2.ออกระเบียบกำหนดให้โรงพยาบาลจ่ายยาตามบัญชียาหลัก แห่งชาติ หากจ่ายยานอกบัญชียาหลักฯ จะต้องมีแพทย์รับรอง
3.จ้างสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เข้าไปตรวจสอบเอกสารที่โรงพยาบาลส่งมาประกอบการเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลกับ กรมบัญชีกลาง ทั้งนี้ เนื่องจากกรมบัญชีกลางไม่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์ จึงต้องไปว่าจ้าง สวรส. เข้ามาตรวจสอบเอกสารขอเบิกเงิน
“ผลการตรวจสอบที่ผ่านมา พบว่ามีหลายโรงพยาบาลมีการจ่ายยาซ้ำซ้อน, จ่ายยาเกินความจำเป็น และจ่ายยาไม่ตรงตามการวินิจฉัยของแพทย์ ดังนั้น สวรส.จึงเสนอให้กรมบัญชีกลางเรียกเงินคืนจากโรงพยาบาล ซึ่งในปีงบประมาณ 2553 เรียกเงินคืนมาได้เกือบ 30 ล้านบาท และในบางปีเคยเรียกเงินคืนสูงสุดถึง 50 ล้านบาท ซึ่งเท่าที่ทราบ โรงพยาบาลส่วนใหญ่จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้เอง แต่ก็มีโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงกลาโหมบางแห่งให้แพทย์เป็นผู้รับผิดชอบแทน” นายรังสรรค์ ระบุ
ปฎิรูประบบสวัสดิการข้าราชการ
นอกจากนี้ นายรังสรรค์ ยังกล่าวอีกว่า หลังจากที่ได้มีการจากหารือกับสมาคมประกันชีวิตไทย และทีดีอาร์ไอ เกี่ยวกับการปฏิรูประบบสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการและครอบครัว ได้ข้อสรุปหลัก 2 แนวทาง คือ 1.จัดตั้งกองทุนการออมเพื่อสุขภาพ (Medisave) ลักษณะคล้ายกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และ 2.ดึงบริษัทประกันชีวิตเข้ามาทำประกันสุขภาพให้กับข้าราชการและครอบครัว ซึ่งทั้ง 2 แนวทางจะต้องอยู่ภายใต้หลักการที่ว่า จะต้องไม่ทำให้สิทธิประโยชน์ที่ข้าราชการเคยได้รับลดน้อยลงไปกว่าสิทธิเดิม และสามารถควบคุมการเบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้อยู่ในกรอบวงเงินที่กำหนด ไว้ในเอกสารงบประมาณด้วย โดยกรมบัญชีกลางจะต้องเร่งหาข้อสรุป เพื่อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณาตัดสินใจในเร็วๆ นี้ เพื่อประกอบการจัดทำแผนงบประมาณปี 2555
"การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการที่ผ่านมา มีปัญหาเบิกกันเกินกว่างบประมาณที่ได้รับทุกปี เช่น ในปีงบประมาณ 2553 ตั้งงบไว้ 48,500 ล้านบาท แต่เบิกจ่ายจริงถึง 62,190 ล้านบาท ส่วนที่เบิกเกินไป 13,690 ล้านบาท ก็จะต้องไปยืมเงินคงคลังออกมาใช้ก่อน และต้องไปตั้งงบมาชดเชยในปีถัดไป ส่วนในปีงบประมาณ 2554 ตั้งงบไว้ 61,000 ล้านบาท ยังไม่ทราบว่ายอดการเบิกจ่ายจริงจะเป็นจำนวนเท่าใด ดังนั้นหากไม่เข้าไปวางระบบให้ดี การเบิกจ่ายงบในส่วนนี้ ก็อาจจะบานปลายต่อไปเรื่อยๆ" นายรังสรรค์ กล่าว
อย่างไรก็ดี กรณีที่ทีดีอาร์ไอได้เสนอแนะรัฐบาลให้มีการจัดตั้งกองทุนการออมเพื่อสุขภาพ เหมือนกับประเทศสิงคโปร์นั้น นายรังสรรค์ ได้ให้ความเห็นว่าเป็นแนวทางที่ดี แต่ต้องทำควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเงินเดือนของข้าราชการทั้งระบบด้วย เพราะจะต้องมีการหักเงินเดือนส่วนหนึ่งสมทบเข้ากองทุนฯ ส่วนการดึงบริษัทประกันชีวิตเข้ามาทำประกันสุขภาพให้กับข้าราชการและครอบ ครัว ข้อดี คือรัฐบาลจะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายไม่ให้บานปลาย ซึ่งในแต่ละปีรัฐบาลจะจัดสรรงบมาเป็นค่ารักษาพยาบาลให้กับข้าราชการปีละ ประมาณ 60,000 ล้านบาทอยู่แล้ว ก็อาจจะนำงบในส่วนนี้มาจ่ายเป็นค่าเบี้ยประกันแทนโดยบริษัทประกันชีวิตจะ เข้ามารับความเสี่ยงแทนรัฐบาล ในกรณีที่มีการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสูงเกินกว่างบที่ตั้งไว้ แต่ถ้าบริษัทประกันเข้ามาบริหารจัดการได้ดี และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายไม่ให้สูงเกินกว่าค่าเบี้ยที่ได้รับก็จะมีกำไร
แต่กระนั้น ที่กรมบัญชีกลางสามารถดำเนินการได้ทันทีคือ การขยายสิทธิให้ข้าราชการสามารถเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งในระยะแรกจะเปิดให้บริการเฉพาะผู้ป่วยในก่อน ล่าสุดมีโรงพยาบาลเอกชน 80 แห่ง ยื่นใบสมัครขอเข้าร่วมโครงการนี้แล้ว แต่ตามเป้าหมายจะคัดให้เหลือเพียง 50 แห่ง เท่านั้น
นักวิชาการหนุนให้เร่งทำ
ขณะที่ ศ.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ ทีดีอาร์ไอ บอกว่ากรณีกรมบัญชีกลางมีมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายยาของสิทธิสวัสดิการรักษา พยาบาลข้าราชการโดยควบคุมการเบิกจ่ายค่ายาบางกลุ่มนั้น ไม่ว่าจะเป็นแนวทางใด การควบคุมค่าใช้จ่ายสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ถือเป็นเรื่องจำเป็น เนื่องจากเมื่อเปรียบเทียบกับระบบประกันสุขภาพของไทยทั้ง 3 ระบบ ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) กองทุนประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ พบว่าแตกต่างกันมาก โดยกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดูแลคนจำนวน 47 ล้านคน ใช้งบประมาณราว 90,000 ล้านบาทเศษ ขณะที่กองทุนประกันสังคมดูแล 9 ล้านคน ใช้งบรักษาพยาบาล 30,000-40,000 ล้านบาท ส่วนข้าราชการใช้งบรักษาพยาบาลสูงถึง 60,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ มีสัดส่วนข้าราชการเพียงร้อยละ 10 ของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือประมาณ 4.5 ล้านคนเศษเท่านั้น ซึ่งถือเป็นการฟุ่มเฟือยอย่างมาก
ศ.อัมมาร แนะนำว่า วิธีที่ง่ายที่สุดในการควบคุมค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลของข้าราชการคือฝากไว้ กับกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรืออาจจะฝากไว้กับกองทุนประกันสังคม เนื่องจากมีระบบการบริหารจัดการอยู่แล้ว แต่การจะดำเนินการในส่วนนี้ควรจะเริ่มกับข้าราชการใหม่เท่านั้น และต้องเพิ่มเงินเดือนให้ข้าราชการกลุ่มนี้ เนื่องจากที่ผ่านมา ข้าราชการได้รับเงินเดือนน้อย จึงเป็นที่มาของสวัสดิการรักษาพยาบาลที่มากมาย จนนำไปสู่ปัญหาการควบคุมค่าใช้จ่ายที่บานปลาย
ด้าน นพ.ธันย์ สุภัทรพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันรายได้ของโรงพยาบาลร้อยละ 70 ถือว่ามาจากระบบสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งไม่ใช่เพียง รพ.รามาธิบดี เท่านั้น แต่โรงพยาบาลของรัฐส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนี้ ซึ่งปัญหาคือ ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยนอกมากกว่าผู้ป่วยใน เพราะการดูแลรักษาผู้ป่วยในถูกควบคุมโดยการวินิจฉัยโรครวม หรือ DRGs และผู้ป่วยไม่เพิ่มจำนวนขึ้น เนื่องจากทุกโรงพยาบาลมีเตียงจำกัด ขณะที่ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกเป็นการเบิกจ่ายแบบปลายเปิด ซึ่งจ่ายตามการรักษาที่เกิดขึ้นจริง ที่สำคัญ ระบบการเบิกจ่ายตรงกับกรมบัญชีกลาง ยิ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ เพราะทำให้เสียความสมดุลระหว่างผู้ใช้บริการและแพทย์ แต่หากรัฐบาลกล้าที่จะยกเลิกระบบเบิกจ่ายโดยตรง และกลับไปใช้วิธีการนำใบเสร็จไปเบิกจ่ายจะเป็นการถ่วงดุลค่ารักษาพยาบาลได้ เป็นอย่างดี
แต่กระนั้น ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด หากรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจน เชื่อว่า โรงพยาบาลทุกแห่งพร้อมที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขแน่นอน และเมื่อนั้นสมดุลก็จะกลับคืนมาอีกครั้ง