- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- “ประกันสังคม” โมเดล 2 มาตรฐาน ความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพไทย
“ประกันสังคม” โมเดล 2 มาตรฐาน ความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพไทย
พลันที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชูธงปฏิรูปประเทศไทยหวังให้ความเหลื่อมล้ำและช่องว่างระหว่างบุคคลลดน้อยลง ได้เกิดกระแสและเสียงวิพากษ์ในรายละเอียดระหว่างบรรทัดจากทุกองคาพยพขึ้น ล่าสุดประเด็น ความไม่เท่าเทียมในระบบหลักประกันสุขภาพ ถูกจุดพลุเขย่าให้สังคมต้องสั่นคลอนอยู่ร่วมเดือน
ย้อนกลับไปในปี 2544 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ประเทศที่มีหลักประกันสุขภาพครอบคลุมประชากรทั่วทุก หัวระแหง โดยสามารถแบ่งระบบหลักประกันสุขภาพออกเป็น 3 ระบบ ได้แก่ 1.ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) 2.สวัสดิการข้าราชการและรัฐวิสาหกิจรวมถึงบุคคลากรภาครัฐ 3.ระบบประกันสังคม
ภาพกว้างของแต่ละระบบพุ่งเป้าไปยังการให้การรักษาพยาบาลแก่ผู้เป็นสมาชิก ในระบบด้วยคุณภาพ โดยมีหลักสำคัญคือ ประชาชนจะต้องแบกรับภาระน้อยที่สุด ในขณะที่ภาครัฐต้องจ่ายงบอุดหนุนเพื่อแบ่งเบาภาระให้ได้มากที่สุด
ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับระบบประกันสังคม กลับไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องด้วยกอปรขึ้นจากคุณภาพของการบริการที่ด้อยกว่าทุกระบบ สำทับด้วยภาระที่ผู้ประกันตนแต่ละรายต้องแบกรับเอาไว้เอง
นางสาวกมลวรรธน์ ดวงใจดี อาสาสมัครแรงงานพื้นที่นวนคร จ.ปทุมธานี สะท้อนประสบการณ์ให้ฟังว่า มักพบปัญหาเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของระบบหลักประกันสังคมอยู่มาก เท่าที่พูดคุยกับเพื่อนแรงงานทุกคนจะเล่าตรงกันว่า ไปใช้บริการที่โรงพยาบาลต้นสังกัดแล้วได้รับการบริการที่ไม่ดี เหมือนเป็นประชาชนชั้น 2 เพราะมีช่องจัดให้บริการแยกออกต่างหาก มีเพื่อนหลายคนที่รักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น จนต้องตัดสินใจเสียเงินไปตรวจที่โรงพยาบาลอื่นเอง จึงได้พบว่าตัวเองเป็นอีกโรคหนึ่ง
“พวกเราเรียกสิทธิการรักษาพยาบาลของประกันสังคมว่า พารารักษาทุกโรค เพราะไม่ว่ามีอาการเช่นใด แพทย์ก็จะสั่งจ่ายยานี้มาให้ตลอด หรือมีหลายคนที่ปวดท้องมากก็ได้ยาธาตุน้ำขาวมากิน สุดท้ายทนไม่ไหวต้องไปโรงพยาบาลอีก พบว่าไส้ติ่งแตก ถามว่านี้หรือคือความเชื่อมั่นที่ให้เราทั้งๆ ที่เราจ่ายเงินสมทบเองทุกเดือน” อาสาสมัครแรงงานเน้นส่วนของคำถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
สอดรับกับที่นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี เปิดประเด็นต่อว่า ถึงเวลาหรือยังที่ผู้ประกันตนจะต้องตั้งคำถามกับรัฐบาลและสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ว่าทำไมยังเป็นคนกลุ่มเดียวในประเทศที่ต้องจ่ายเงินเพื่อให้ตัวเองมีสิทธิรักษาพยาบาล
นพ.พงศธร ขยายความว่า ปัจจุบันหลักประกันสุขภาพในประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำกันมาก โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนที่ยังไม่มีผู้ใดให้คำ อธิบายได้เลยว่า เหตุใดผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมจำนวน 9 ล้านคน เป็นคนกลุ่มเดียวที่ต้องเสียเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิรักษาพยาบาล ในขณะที่ประชาชนผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ากว่า 48 ล้านคน และกลุ่มข้าราชการอีกกว่า 5 ล้านคน กลับไม่ต้องสูญเสียเงินเพื่อแลกกับสิทธิในส่วนนี้
“เท่านี้ก็เห็นชัดแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในระบบหลักประกันสุขภาพ เป็นธรรมกับผู้ประกันตนทุกคนหรือไม่” นพ.พงศธร กล่าว
คุณหมอพงศธร อธิบายว่า หากพิจารณางบประมาณของรัฐบาลปี 2553 ที่ต้องแบกรับสำหรับสิทธิรักษาพยาบาลของประชาชนจะพบว่า รัฐบาลจ่ายเงินให้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 120,846 ล้านบาท จ่ายให้ระบบสวัสดิการข้าราชการและครอบครัว 62,195 ล้านบาท ขณะที่ระบบประกันสังคมนั้น จ่ายได้แต่จ่ายสมทบเพียง 1 ใน 3 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด คือ 7,490 ล้านบาท จาก 22,471 ล้านบาทเท่านั้น
“ทำไมคน 9 ล้านคนต้องจ่ายเงินเพื่อรักษาพยาบาลเอง เป็นคำถามที่ต้องมีรัฐต้องมีคำตอบให้” คุณหมอรายนี้กล่าวย้ำ
นอกจากนี้ หากเทียบค่าใช้จ่ายต่อหัวและสิทธิประโยชน์ของระบบประกันสุขภาพทั้ง 3 จะยิ่งตอกย้ำความน่าเชื่อถือเรื่องความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน
เพราะระบบสวัสดิการข้าราชการมีค่าใช้จ่ายต่อปี เฉลี่ยหัวละ 1 – 1.2 หมื่นบาท ส่วนบัตรทอง 2,546 บาท ขณะที่ประกันสังคม 2,105 บาทเท่านั้น สำหรับสิทธิประโยชน์พบว่าผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมจะได้สิทธิประโยชน์ดี กว่าผู้ที่อยู่ในระบบบัตรทองเพียง 2 อย่างคือ ค่าห้องผู้ป่วยในและบริการรักษารากฟันเทียม
ด้าน อาจารย์ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอว่า รัฐบาลควรที่จะให้ลูกจ้างหรือผู้ประกันตนใช้บัตรทองรักษาฟรี แล้วนำเงินที่ลูกจ้างจ่ายสมทบไปเป็นเงินประกันชราภาพหรือเป็นเงินประกันการ ช่วยเหลือครอบครัว เพราะเงินก็ยังคงอยู่ในกองทุน ลูกจ้างก็จะได้ประโยชน์สูงขึ้น และเกิดความเสมอภาคในระบบสวัสดิการเพื่อการเจ็บป่วยได้ดีกว่า
ทั้งที่ความเหลื่อมล้ำในระบบประกันสังคมซึ่งก่อตัวเป็นปัญหาเรื้อรังยัง ไม่ได้รับการแก้ไข แต่รัฐบาลกลับให้น้ำหนักไปที่นโยบายประชาวิวัฒน์ด้วยการขยายสิทธิผู้ประกัน ตนรายใหม่ หวังกอบโกยคะแนนเสียงโดยไม่ต้องควักเนื้อให้เจ็บตัว
อันตรายกำลังจะเกิดขึ้น