- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- คลี่ปมวิกฤตผู้บริหารอุดมศึกษา ผ่านสายตากูรูการศึกษาไทย
คลี่ปมวิกฤตผู้บริหารอุดมศึกษา ผ่านสายตากูรูการศึกษาไทย
จากข่าวคราวทุจริตของผู้บริหารระดับสูงในสถาบันอุดมศึกษา โดยเฉพาะกระบวนการสรรหาอธิการบดีและการบริหารงานที่ไม่โปร่งใส ทำให้ถูกตรวจสอบจากองค์กรอิสระต่างๆ แม้กระทั่งเกิดความขัดแย้งภายในกันเอง อันนำมาซึ่งการถอดถอน หรือไล่ออกผู้บริหารระดับสูงในรั้วมหาวิทยาลัย ขณะนี้กลายเป็น ‘โรคติดต่อ’ ที่ยังไล่จับ ‘ไวรัสตัวร้าย’ ไม่ทัน และหา ‘วัคซีน’ ป้องกัน หรือรักษาให้หายขาดไม่ได้
ที่น่าอนาถใจ คือ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในเวลานี้พบว่า มหาวิทยาลัยที่เป็นข่าวล้วนเป็น มหาวิทยาลัยที่อยู่ในส่วนราชการทั้งสิ้น เกิดเป็นก้างชิ้นใหญ่คาใจว่าจะหลงเหลือความเชื่อใจ มั่นใจ หรือฝากความหวังอันใดได้บ้างในวงการศึกษาที่กำลังสั่นคลอน จากการบริหารงานที่ขาดหลักธรรมาภิบาล เช่นที่เป็นอยู่นี้
ไล่เรียงปมปัญหากรณีต่อกรณี
กรณีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) มีคำสั่งลงโทษไล่ นายคิม ไชยแสนสุข อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ออกจากราชการตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด ร่วมกับนายรังสรรค์ แสงสุข อดีตอธิการบดี และนายเฉลิมพล ศรีหงส์ อดีตรองอธิการบดี ภายหลังที่ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดทั้งทางวินัยร้ายแรง และทางอาญา เกี่ยวกับการจ้างเหมาก่อสร้างอาคารเรียนรวมและอาคารปฏิบัติการ 25 ปี มูลค่ากว่า 600 ล้านบาท รวมถึงการออกคำสั่งขยายระยะเวลาราชการให้อดีตผู้บริหารขณะที่ดำรงตำแหน่ง ฝ่ายบริหารไปพร้อมกัน โดยขณะนี้ทางสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้รับทราบคำสั่งของทาง สกอ. แล้ว และได้แต่งตั้งนายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์และกรรมการสภามหาวิทยาลัย เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี
กรณีมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ที่สภามหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม (มจษ.) มีมติปลดนายสุชาติ เมืองแก้ว อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมออกจากตำแหน่งด้วยคะแนน 16 ต่อ 4 เสียง เมื่อวันอังคารที่ 25 มกราคม 2554 เนื่องจากเห็นว่ามีการบริหารงานบกพร่อง และขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัย ทั้งนี้มีมติแต่งตั้ง น.ส.สุมาลี ไชยศุภรากุล กรรมการสภามหาวิทยาลัย และคณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มจษ. มารักษาการอธิการบดีแทนจนกว่าจะมีการสรรหาอธิการบดีคนใหม่ได้
กรณีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่ศ.ดร. วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กำลังจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งอธิการบดี ในวันที่ 27 มิ.ย.2554 สภามหาวิทยาลัยได้มีมติแต่งตั้ง ดร.ณัฐ อินทรปาน เป็นประธานคณะกรรมการสรรหาผู้ที่เหมาะสมเพื่อมาดำรงตำแหน่งอธิการบดีคนใหม่ และระหว่างนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการสรรหาผู้เหมาะสมการสรรหาอธิการบดี แต่เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์ร้องเรียนเกิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัย โดยระบุมีการล็อกสเปกกรรมการสรรหาเพื่อให้คนของตัวเองได้เข้ามา
ฯลฯ
รูปแบบสภามหาวิทยาลัยเอื้อ… ‘ทุจริต’
จากปมปัญหากรณีดังกล่าวนี้ “ศ.ดร.ประสาท สืบค้า” อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และอนุกรรมการนโยบายและแผน พัฒนาบุคลากร สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) มองภาพรวมความขัดแย้งในมหาวิทยาลัย 3 กรณีดังกล่าวว่า จำแนกเรื่องราวได้ 3 ลักษณะ สำหรับกรณีแรกเป็นประเด็นปัญหากับผู้กุมกฎหมาย ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) หรือสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กรณีที่สองเป็นประเด็นปัญหาขัดขวางการทำงานของสภามหาวิทยาลัย และกรณีสุดท้ายเกิดความเคลือบแคลง ร้องเรียนระบบการสรรหาอธิการบดีภายในชุมชน
ซึ่งประเด็นปัญหาดังที่ว่านี้ ศ.ดร.ประสาท มองว่าหากสภามหาวิทยาลัยที่มีอำนาจสูงสุด ในการแต่งตั้งและขอถอดถอนอธิการบดี ที่ผ่านการคัดสรร และเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดีแล้ว คงจะไม่เกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้น แต่เนื่องจากรูปแบบของสภามหาวิทยาลัยที่หลากหลายและเอื้อต่อการทุจริตได้ ทั้งรูปแบบสภาของมหาวิทยาลัย ที่มีองค์ประกอบ คือ ผู้บริหาร ตัวแทนของรองอธิการบดี ตัวแทนคณบดี ตัวแทนของสภาราชการ และหากอธิการบดีสามารถกุมเสียงไว้ได้หมดก็จะแต่งตั้งตนเองได้ รูปแบบสภาของผู้ทรงคุณวุฒิกับผู้บริหาร ที่มักเกิดการก้ำกึ่ง ทับซ้อนในหน้าที่ การทำงาน ฉะนั้น หากอธิการบดีบีบฝั่งได้ก็จะได้รับการแต่งตั้งในโอกาสต่อไป
รูปแบบที่ถัดไป สภาผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิและตัวแทนคณาจารย์ที่เท่ากันทั้งสามส่วน และรูปแบบสุดท้ายที่ควรจะเกิดขึ้นมากที่สุด คือ สภามหาวิทยาลัยของผู้ทรงคุณวุฒิ (Lay board) ที่จะประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก มากกว่าตัวแทนคณาจารย์จากภายใน
“ผู้ทรงคุณวุฒิในสภามหาวิทยาลัย เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติสูงยิ่ง เนื่องจากได้รับการโปรดเกล้าฯ ฉะนั้นการที่อธิการบดีจะไปทำการล็อบบี้จึงเป็นไปได้ยากขึ้น เนื่องจากผู้ทรงคุณวุฒิจะมีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในการทำงาน ฉะนั้นหากมีความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการบริหารมหาวิทยาลัย ก็จะต้องมีบทลงโทษที่ชัดเจนอย่างแน่นอน”
การเลือกสภาผู้ทรงคุณวุฒินั้นถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของพ.ร.บ. หรือไม่ และผู้บริหารหรืออธิการบดี บริหารงานโปร่งใสแล้วหรือไม่ จึงทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจเช่นนี้ขึ้น ?? คำถามเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ ศ.ดร.ประสาท มองว่ามหาวิทยาลัยต้องนำกลับไปย้อนถามตนเอง
“วงการการศึกษา เป็นวงการที่ผลิตกำลังคน ฉะนั้น ครูบาอาจารย์จะต้องเป็นแบบอย่างให้กับลูกๆ นิสิตนักศึกษา หากวงการการศึกษามีมลทินแล้ว เราจะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อพัฒนาประเทศชาติได้อย่างไร”
สิ่งที่แวดวงการศึกษาจะกู้ภาพลักษณ์ได้นั้น จะต้องคำนึงถึงการรักษาวัฒนธรรมองค์กรที่ผลิตปัญญาชนให้มากที่สุด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากการสั่งสอนในมหาวิทยาลัย รวมถึงการประพฤติเป็นแบบอย่างด้วย หมายถึงหากผู้บริหารและคณาจารย์ประพฤติไม่ดี ก็จะเกิดการเอาเยี่ยงอย่าง และการไม่เคารพศรัทธา
สภามหาวิทยาลัยด้อยคุณภาพต้นตอใหญ่ปัญหา ‘ทุจริต’
ขณะที่ “ศ.(พิเศษ) ธงทอง จันทรางศุ” เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) มีมุมมองในทิศทางสอดคล้องกันว่า ในภาพรวมหากสภามหาวิทยาลัยสามารถออกแบบองค์ประกอบ และคนที่เข้าไปเป็นสภามหาวิทยาลัยเป็นคนที่มีคุณภาพดี มีต้นทางของการบริหารมหาวิทยาลัย คือ มีสภามหาวิทยาลัยที่ดีแล้ว น่าจะเชื่อได้ว่าผู้บริหารที่สภามหาวิทยาลัยจะเป็นคนคัดสรร กลั่นกรองมาก็น่าจะดีด้วย
การดำเนินการของมหาวิทยาลัยก็จะมีคุณภาพ สภามหาวิทยาลัยก็จะไม่ขายปริญญาตัวเอง ไม่ทำอะไรที่เลอะเทอะ !!!
แต่หากสภามหาวิทยาลัย ‘ด้อยคุณภาพ’ ไม่ได้สอบผ่านการทำงานของฝ่ายบริหาร ไม่ได้ให้นโยบาย ทิศทางที่เป็นคุณูปการของการศึกษาอย่างแท้จริง เป็นเพียงการรวมพวกรวมหมู่เท่านั้น ก็จะเกิดปัญหาอย่างที่ได้ยินได้ฟังกันอยู่
ศ.(พิเศษ) ธงทอง มองชัดว่า การด้อยคุณภาพของสภามหาวิทยาลัยเป็นต้นตอใหญ่ของปัญหาดังกล่าวนี้ ซึ่งขณะนี้ทางสำนักงานกรรมการอุดมศึกษากำลังติดตามและหาแนวทางในการปรับแก้ เพื่อให้สภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภาได้รับทราบและคำนึงถึงความสำคัญของตน เอง แต่จะไม่สามารถย้อนไปปรับแก้กฎหมายลดอำนาจสภามหาวิทยาลัยกลับมาไว้ที่ สกอ. ได้ เพราะเท่ากับว่าถอยหลังไปที่จุดเดิม
“ปัญหาในแวดวงการศึกษาไทยในวันนี้ คงต้องกลับไปพูดถึงการพัฒนาคุณภาพของสภามหาวิทยาลัยให้ตระหนัก และเข้าใจ ไม่ใช่แค่การเรียกหรือเชิญกรรมการสภามหาวิทยาลัยมาสั่งว่าต้องทำตัวเป็นคนดี ต้องขยัน เพราะเชื่อว่ายังมีกรรมการสภามหาวิทยาลัยอีกจำนวนมากที่ทำดีอยู่แล้ว”
คำว่า ‘มหาวิทยาลัย’ คนที่ต้องคิดให้มากที่สุดก็คือ ‘สภามหาวิทยาลัย’ !!!
ถ้าสภามหาวิทยาลัยซูเอี๋ยกับผู้บริหาร คณบดี อธิการบดี มองผลประโยชน์ในทางเม็ดเงิน – กำไรมากกว่าคุณภาพ หรืออุดมการณ์ที่แท้จริงของการศึกษาก็จะเกิดปัญหา วันนี้เราอาจจะต้องหวนกลับมาดูที่มาที่ไปของสภามหาวิทยาลัย และการทำงานของสภามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นต้นตอของผู้บริหารอีกทีหนึ่ง เพราะหากสภามหาวิทยาลัยเดินเละเทะ เป็นแม่ปูที่เดินเบี้ยว ลูกปูก็จะเดินเบี้ยวไปด้วย
ศ.(พิเศษ) ธงทอง เล่าว่า มีความเป็นไปได้ที่กรรมการสภามหาวิทยาลัยบางแห่ง บางที่ บางท่านอาจจะมีความสัมพันธ์กับธุรกิจ หรือกับการเมืองท้องถิ่น แท้ จริงแล้วการเมืองไม่ได้เป็นของเลว ถ้าเราแยกกันออกว่าในมุมที่เป็นการเมืองก็ทำหน้าที่การเมืองไป แต่อย่าให้การเมืองเข้ามาเล่นพรรคพวก มาแบ่งฝ่ายในมหาวิทยาลัย
การทอดระยะเวลาออกไปโดยไม่มีการเยียวยาแก้ไข เรื่องนี้จะเป็นอันตรายต่อการทำให้เกิดค่านิยมจำยอมต่อความเสื่อมเช่นนี้ ดังนั้น ‘กระบวนการตรวจสอบธรรมาภิบาล’ ในระบบมหาวิทยาลัยเป็นดั่งเครื่องกำกับดูแล องค์ประกอบของสภามหาวิทยาลัยว่าเป็นใคร มาจากไหน และมีวิธีได้มาของกรรมการสภามหาวิทยาลัยอย่างไร โดยคำนึงถึงระบบการถ่วงคานเป็นสำคัญ เนื่องจากการตรวจสอบการทำงานในรั้วการศึกษาฝากความหวังไว้ที่ ‘สภามหาวิทยาลัย’
“สภาฯ ต้องสร้างคุณภาพมหาวิทยาลัย ไม่ค้ากำไร ไม่ขายปริญญา”
ศาสตราจารย์ ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช*
“สภามหาวิทยาลัยยุคใหม่ มิใช่ตรายาง และมิใช่สภาที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยเสนอชื่อแต่งตั้งมาทำหน้าที่สนับสนุน เห็นชอบ แต่มีสถานะเป็นผู้กำกับดูแลการทำงานของผู้บริหารของมหาวิทยาลัย โดยที่สภาฯ ไม่มีผลประโยชน์หรือส่วนได้ส่วนเสียกับมหาวิทยาลัย
หน้าที่หลักสำคัญคือต้องดูแลรับผิดชอบให้มหาวิทยาลัยที่กำกับนั้นสร้างผลงาน ที่ดี ได้มาตรฐาน ไม่ใช่มหาวิทยาลัยหากิน มุ่งหาแต่กำไร ให้แต่ใบปริญญา แต่บัณฑิตไม่มีคุณภาพ”
“ชูหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้”
ศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์*
“ว่าเวลาพูดถึงผู้บริหาร หมายถึงผู้บริหารสูงสุด ที่เข้าใจ เข้าถึง และพร้อมจะดำเนินการตามอุดมการณ์และหลักการของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐและ หลักธรรมาภิบาล ถ้าผมจะไปเลือกใครมาเป็นอธิการบดี ผมจะซักเรื่องเหล่านี้มากที่สุด โดยเฉพาะตอนนี้เรื่อง Good Governance คือหลักธรรมาภิบาลเป็นเรื่องที่เน้น จะต้องรู้ในเรื่องหลักของการบริหารจัดการที่ดี จะเป็นหลักกฎหมาย หลักโปร่งใส ตรวจสอบได้ ความคุ้มค่า อะไรก็แล้วแต่ พวกเราทราบกันดี อันนี้เป็นสมรรถนะ เป็นภาวะผู้นำอันหนึ่งที่ต้องเป็นหนึ่ง”
“สังคมคาดหวัง สภาฯ รับประกันความดี”
ศาสตราจารย์ นพ.วิจารณ์ พานิช สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้และสังคม*
“หน้าที่สำคัญยิ่งของนายกสภาฯ และกรรมการสภาฯ คือเป็นคล้ายๆ “ตรา” รับประกันความดี ความซื่อสัตย์สุจริต ความถูกต้องชอบธรรมของมหาวิทยาลัย โดยที่หน้าที่นี้ไม่ได้เขียนไว้ในกฎหมายหรือพระราชบัญญัติจัดตั้ง มหาวิทยาลัยอย่างชัดเจน แต่หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าสังคมคาดหวังการทำหน้าที่นี้”
* เนื้อหาบางส่วน นำมาจากหนังสือ “กรรมการสภามหาวิทยาลัย : ภารกิจใหม่กับอุดมศึกษาใหม่ พิมพ์ครั้งที่ 2” โดย ที่ประชุมกรรมการสภามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ด้วยความสนับสนุนของ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ