- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- จับทาง “กรรมการแพทยสภา”ชุดใหม่ ธงล้มพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ
จับทาง “กรรมการแพทยสภา”ชุดใหม่ ธงล้มพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ
น่าจับตา! ว่าการเลือกตั้งกรรมการแพทยสภา วาระ พ.ศ.2554-2556 จำนวน 26 คน ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2554 ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา วงการแพทย์ไทยก็เพิ่งได้ “นายกแพทยสภา” คนใหม่มาปฎิบัติหน้าที่แทนคนเก่าที่อยู่ในตำแหน่งนานถึง 7 สมัย หากตัดเรื่องของการปรับเปลี่ยนกรรมการตามวาระที่ปฎิบัติกันมาต่อเนื่องทุก 2 ปีแล้ว การเลือกตั้งครั้งนี้นับเป็นปรากฎการณ์ความเปลี่ยนแปลงในวงการแพทย์ที่ค่อนข้างมีนัยยะสำคัญยิ่ง
ใครเป็นใครในแพทยสภา
การเลือกตั้งกรรมการแพทยสภาครั้งนี้ มีจำนวนสมาชิกแพทยสภาที่มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง 39,406 คน แต่คณะอนุกรรมการการเลือกตั้งกรรมการแพทยสภาสามารถจัดส่งบัตรเลือกตั้งไปยังสมาชิกได้ทั้งหมด 37,518 ฉบับ ซึ่งดำเนินการตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2553 ในจำนวนนี้มีบัตรเลือกตั้งที่ส่งถึงผู้รับตามที่อยู่เพียง 37,298 ฉบับ และมีบัตรที่ถูกตีกลับไปที่สำนักงานเลขาธิการแพทยสภา จำนวน 220 ฉบับ
นพ.พรณรงค์ โชติวรรณ ประธานคณะอนุกรรมการการเลือกตั้งกรรมการแพทยสภา เคยบอกไว้ในสื่อหลายแขนงว่า ในการตรวจนับคะแนนบัตรเลือกตั้งที่สมาชิกลงคะแนนและส่งกลับสำนักงานเลขาธิการแพทยสภา พบว่ามีจำนวน 12,833 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 34.2 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด ถือว่ามีจำนวนไม่ต่างจากปีที่แล้วมากนัก แต่ในจำนวนนี้เป็นบัตรดี 12,744 ฉบับ บัตรเสีย 89 ฉบับ
เมื่อไล่เรียงผลการเลือกตั้งคณะกรรมการแพทยสภา ผู้สมัครที่มีคะแนนสูงสุด 5 อันดับแรก ยังคงเป็นสมาชิกในชมรมแพทย์เพื่อวิชาชีพแพทย์ (ชพพ.) โดยผู้ที่มีคะแนนนำอันดับ 1 ได้แก่ ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา อดีตนายกแพทยสภา ได้ 10,424 คะแนน รองลงมาเป็น ศ.นพ.อำนาจ กุสลานันท์ ได้ 8,645 คะแนน นาวาอากาศเอก (พิเศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ ได้ 7,505 คะแนน นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ ได้ 7,185 คะแนน และ นพ.ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ ได้ 7,129 คะแนน ส่วนรายชื่อกรรมการรายอื่นๆ ที่ได้รับการเลือกตั้ง ได้แก่ นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ นพ.สุรินทร์ ทองมา นพ.สิน อนุราษฎร์ นพ.สมศักดิ์ เจริญชัยปิยกุล นพ.สุรจิต สุนทรธรรม
พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร นพ.กัมมันต์ พันธุมจินดา นพ.โชติศักดิ์ เจนพาณิชย์ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นพ.พินิจ หิรัญโชติ นพ.ไพฑูรย์ ณรงค์ชัย นพ.สุกิจ ทัศนสุนทรวงศ์ นพ.ภาคภูมิ สุปิยพันธุ์ นพ.บุญส่ง พัจนสุนทร นพ.วิสูตร ฟองศิริไพบูลย์ นพ.โยเชฟ ซื่อเพียรธรรม นพ.วิรุณ บุญนุช นพ.เกรียง อัศวรุ่งนิรันดร์ นพ.เมธิ วงศ์ศิริสุวรรณ นพ.ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ และ นพ.เพิ่มบุญ จิรยศบุญศักดิ์
ในจำนวนกรรมการแพทยสภาที่ได้รับการเลือกตั้งทั้ง 26 คน มีถึง 20 คน ที่เป็นคณะกรรมการชุดเดิมจากวาระที่แล้ว และเกือบทั้งหมดเป็นสมาชิกชมรมแพทย์เพื่อวิชาชีพแพทย์ (ชพพ.)
แต่ผิดคาดตรงที่ ในการคัดเลือกตำแหน่งนายกแพทยสภารอบนี้ แม้กรรมการแพทยสภาที่มาจากการเลือกตั้ง 26 คน และกรรมการแพทยสภาโดยตำแหน่งอีก 26 คน จะเสนอชื่อ ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกแพทยสภาอีกครั้ง แต่ ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา กลับปฎิเสธและขอถอนตัวโดยให้เหตุผลว่าต้องการให้คนรุ่นใหม่เข้าไปบริหารงานบ้าง ในที่สุดที่ประชุมจึงได้มีการเสนอชื่อ ศ.นพ.อดิศร ภัทราดูลย์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมาในสัดส่วนกรรมการโดยตำแหน่ง และ ศ.นพ.อำนาจ กุสลานันท์ อดีตอุปนายกแพทยสภา เป็นนายกแพทยสภา เมื่อมีการแข่งขันมากกว่า 1 คน กรรมการแพทยสภาจึงมีการลงคะแนนลับ ผลปรากฎว่า ศ.นพ.อำนาจ กุสลานันท์ ได้รับการคัดเลือกด้วยเสียง 33 คะแนน ต่อ 18 คะแนน ส่งผลให้ ศ.นพ.อำนาจ กุสลานันท์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกแพทยสภาคนใหม่ทันที ส่วน นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เป็นเลขาธิการแพทยสภา และนาวาอากาศเอก (พิเศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ เป็นรองเลขาธิการแพทยสภา
วงการแพทย์แข่งขันกันแรง
เป็นที่ทราบกันดีว่าในสัดส่วนกรรมการแพทยสภานั้น นอกจากเป็นกรรมการแพทยสภาที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว ยังมีกรรมการแพทยสภาที่มาโดยตำแหน่งอีกครึ่งหนึ่ง อาทิ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมต่างๆในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข คณบดีคณะแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ แต่ในจำนวนสมาชิกแพทยสภาทั้งหมดนั้น มาจาก 4 กลุ่มก้อนใหญ่ๆ กล่าวคือ 1.กลุ่มสถาบันฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทาง (ราชวิทยาลัย) 2.กลุ่มแพทย์ผู้ปฎิบัติงานและประกอบวิชาชีพแพทย์ (พป.) 3.ชมรมแพทย์เพื่อวิชาชีพแพทย์ (ชพพ.) และ 4.กลุ่มแพทย์อิสระ
ที่น่าสนใจคือ ในสนามชิงกรรมการแพทยสภารอบนี้ ผู้สมัครที่ลงแข่งขันในนามกลุ่มแพทย์ต่างๆ ซึ่งแตกย่อยออกมาจากกลุ่มก้อนที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แม้บางรายจะไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่พบว่าส่วนหนึ่งล้วนเป็นบุคคลที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ในฐานะผู้มีบทบาทในการเคลื่อนไหวคัดค้านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ.... ไม่ว่าจะเป็น พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.) นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ รองประธาน สผพท. หรือแม้แต่ พญ.อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล รองประธาน สผพท. ซึ่งลงแข่งในนามของกลุ่มแพทย์ไทยสามัคคี (พทส.) ร่วมกับ นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ขณะเดียวกัน ยังมี ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ นพ.เมธิ วงศ์ศิริสุวรรณ ศัลยแพทย์ประสาท โรงพยาบาลราชวิถี และ นพ.วิสุทธิ์ ลัจฉเสวี ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการสาธารณสุขสภาผู้แทนราษฎร ที่ลงชิงในนามกลุ่ม ชพพ.
ธงล้ม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ
พลันที่ ศ.นพ.อำนาจ กุสลานันท์ ดำรงตำแหน่งนายกแพทยสภา เขาประกาศทันทีว่า นโยบายที่จะเร่งดำเนินการมีอย่างน้อย 3 เรื่องหลัก คือ 1.สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแพทย์และผู้ป่วย 2.ผลักดันให้มีการจ่ายค่าตอบแทนแพทย์ให้เหมาะสมกับภาระงาน 3.เร่งดำเนินการให้มีการแยกบัญชีเงินเดือนของแพทย์ออกจากบัญชีอื่นๆ เนื่องจากแพทย์เป็นวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือชีวิตและร่างกาย นอกจากนี้ ในส่วนของการพิจารณาคดีจริยธรรมของแพทย์ในแต่ละคดีจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี โดยจะเร่งรัดขั้นตอนการพิจารณาให้เร็วขึ้นและนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินการ
สำหรับเรื่องร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ นั้น ศ.นพ.อำนาจ กุสลานันท์ ได้โปรยยาหอมแก่แพทย์ไว้ว่า ยังยืนยันเช่นเดิม คือ ต้องถอนออกจากการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร หรือนำเข้าสู่การพิจารณาในรัฐบาลหน้าก็ยังไม่สายเกินไป เนื่องจากร่าง พ.ร.บ.นี้กระทบต่อแพทย์ และประชาชนและ ใช้งบประมาณจำนวนมาก จึงต้องนำร่าง พ.ร.บ.นี้กลับมาพิจารณาทบทวนใหม่ให้มีความรอบคอบ เพื่อให้ได้รับผลที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนและแพทย์ รวมทั้งต้องทำประชาพิจารณ์ด้วย ซึ่งในเร็วๆ นี้ จะเดินสายเข้าพบนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานวิปรัฐบาล และกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เพื่อสร้างความเข้าใจในเรื่องร่าง พ.ร.บ.ด้วย
แต่ด้านของ พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา กลับออกมาโต้แย้งโดยระบุว่า ไม่เชื่อว่าจะสามารถเดินหน้านโยบายทั้ง 3 ด้านให้มีความสำเร็จเป็นรูปธรรมได้ เพราะกรรมการชุดนี้เหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่ คือ มีแต่นโยบายที่สวยงามและเป็นไปในทางของแผนที่ไม่เคยมีการเคลื่อนไหวใดๆ ให้สังคมได้เห็น จึงฝากเตือนว่า ควรที่จะใช้โอกาสของความเป็นคณะกรรมการแพทยสภาซึ่งมีเวลาเพียงแค่ 2 ปี ดำเนินตามนโยบายอย่างจริงจัง
ขณะที่ภาคประชาชนอย่าง นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ก็ชี้ว่า สิ่งที่น่าห่วงสำหรับคณะกรรมการแพทยสภาชุดใหม่คือ การเดินหน้าค้านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ อย่างเต็มที่ เพราะจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและแพทย์แย่ลง ซึ่งขัดกับภาระหน้าที่ของแพทยสภาโดยตรง แต่ทางที่ดีแพทยสภาควรหันมาแก้ไข พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ใน 3 เรื่องหลัก คือ 1.การเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการแพทยสภา โดยลดจำนวนกรรมการแพทยสภาลงและให้คนนอกเข้าไปเป็นกรรมการเพื่อคานอำนาจกันไม่ใช่มีแต่พวกพ้องเหมือนปัจจุบัน 2.กำหนดให้นายกแพทยสภา อุปนายก แพทยสภา เลขาธิการ และรองเลขาธิการ ต้องไม่เป็นผู้บริหารหน่วยงาน หรือองค์กรที่มีวัตถุประสงค์ และการดำเนินการที่อาจขัดแย้งต่อการทำหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพของประชาชนตามวัตถุประสงค์ของแพทยสภา และ 3.กำหนดให้ข้อบังคับใดๆ ที่มีผลกระทบต่อการคุ้มครองสวัสดิภาพของประชาชน ต้องเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนอย่างกว้างขวางจึงจะถือว่าเป็นประโยชน์
ส่วนนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ให้ความเห็นว่า การเลือกตั้งกรรมการแพทยสภาครั้งนี้ ถือเป็นดุลยพินิจของแพทย์ทั่วประเทศ แต่ฝากถึงกรรมการแพทยสภาชุดใหม่ไว้ 2 ประเด็น คือ 1.หากแพทยสภาอยากได้รับความไว้ใจและยอมรับจากประชาชน จะต้องเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการให้ความคิดเห็นหรือเสนอแนะในเรื่องที่มีผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะในเรื่องการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ และ2.ที่ผ่านมา กรรมการแพทยสภาไม่ได้แสดงออกว่าคัดค้านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ แต่อาจมีบางประเด็นที่เข้าใจไม่ตรงกัน ดังนั้นจึงควรเร่งทำความเข้าใจให้ตรงกัน พร้อมๆกับหาแนวทางที่เหมาะสม
และแม้แต่ นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ก็เป็นอีกคนที่บอกว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ต่างจากครั้งก่อน เนื่องจากเป็น ศ.นพ.อำนาจ เป็นกลุ่มดียวกันกับ ศ.นพ.สมศักดิ์ ซึ่งมีการทำงานในลักษณะเดียวกัน จะแตกต่างกันก็เพียงวิธีการสื่อสารเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทิศทางของร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของคณะกรรมการแพทยสภา แต่ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญของรัฐบาลในการแสดงจุดยืนเกี่ยวกับเรื่องนี้
นับจากวันนี้...คณะกรรมการแพทยสภาจะเคลื่อนไหวในประเด็นร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ อย่างไร คงต้องติดตาม!