- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- เปิดสูตร "สอบรับตรงกลาง" ของ ทปอ. "ทางออก" แก้ปัญหา "วิ่งรอก"??
เปิดสูตร "สอบรับตรงกลาง" ของ ทปอ. "ทางออก" แก้ปัญหา "วิ่งรอก"??
ในที่สุด ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มีมติให้สมาชิก ทปอ.ทั้ง 22 แห่ง ให้จัดสอบ "รับตรงกลาง" ร่วมกัน เพื่อแก้ปัญหานักเรียน "วิ่งรอก" สอบตรง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้ได้ทันในปีการศึกษา 2555
โดยให้สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เป็นผู้ดำเนินกการจัดทำข้อสอบ และจัดสอบในวิชาที่คณะ/สาขาวิชาต่างๆ ของแต่ละมหาวิทยาลัยต้องการ โดยจะใช้ศูนย์สอบทั่วประเทศเช่นเดียวกับการทดสอบวัดความถนัดทั่วไป (GAT) และการทดสอบวัดความถนัดทางวิชาการ/ วิชาชีพ (PAT)
ก่อนที่ที่ประชุม ทปอ.ซึ่งมี "ศ.ประสาท สืบค้า" อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ในฐานะประธาน ทปอ.จะมีมติดังกล่าว ที่ประชุมได้หยิบยกปัญหาในการวิ่งรอกสอบในระบบรับตรงที่เกิดขึ้นมาพูดคุยกัน โดยได้หยิบยกกรณีของนักเรียนคนหนึ่งที่วิ่งรอกสอบรับตรงในคณะนิติศาสตร์ถึง 12 มหาวิทยาลัย โดยต้องจ่ายค่าสมัคร และค่าใช้จ่ายต่างๆ มากถึง 200,000 บาท และสามารถสอบได้ถึง 8 มหาวิทยาลัย
โดยก่อนหน้านี้ ก็เคยมีกรณีตัวอย่างของการวิ่งรอกสอบรับตรงหลายๆ กรณี ที่ถูกนำวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงในแวดวงการศึกษาไทย ทั้งครู และผู้บริหารโรงเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือจากบรรดาอาจารย์ นักวิชาการ และผู้บริหารมหาวิทยาลัยด้วยกันเอง
ไม่ว่าจะเป็นกรณีนักเรียนคนหนึ่งของโรงเรียนวัดนายโรง ที่วิ่งรอกสอบรับตรงมากถึง 16 คณะ ใน 10 มหาวิทยาลัย หรือกรณีนักเรียนโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยตรัง ที่ต้องจ่ายค่าเครื่องบินไปสอบคณะแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การวิ่งรอกสอบมาราธอนเช่นนี้ ทำให้ผู้ปกครองต้องควักกระเป๋าจ่ายกันมากมายมหาศาล หากเป็นผู้ปกครองที่มีอันจะกิน หรือมีเงินเหลือกินเหลือใช้ ก็ไม่มีปัญหา แต่หากเป็นผู้ปกครองที่หาเช้ากินค่ำ ก็ต้องกัดฟันกู้ยืมเงินมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสมัครสอบตรง รวมทั้ง เป็นค่าใช้จ่ายในการกวดวิชาให้กับลูกๆ อย่างกรณีของพนักงานขับรถในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ที่ต้องกู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู เป็นเงินถึง 400,000 บาท โดยจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี เพื่อใช้จ่ายเป็นค่ากวดวิชา ค่าสมัครสอบ และค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ ที่จำเป็น
ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการที่มหาวิทยาลัยต่างๆ หันไปคัดเลือกนิสิตนักศึกษาในระบบ "รับตรง" กันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยอ้างว่าเป็นเพราะ "ระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา" หรือ "ระบบแอดมิสชั่นส์กลาง" ไม่สามารถคัดเลือกนิสิตนักศึกษาที่มีคุณสมบัติได้ตรงตามที่คณะ หรือมหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องการ โดยเฉพาะในคณะ/สาขาวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์ เนื่องจากองค์ประกอบที่ใช้ในระบบแอดมิสชั่นส์กลางอย่าง PAT2 การวัดความถนัดทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบไปด้วย ฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา รวมกัน 100 คะแนน ทำให้นิสิตนักศึกษาที่เข้าเรียนในคณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ฯลฯ มีพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์น้อยมาก หลายคนเรียนไม่ไหว และถูก "รีไทร์" ในที่สุด และบางคนต้องย้ายไปเรียนคณะอื่นๆ ในปีถัดไป
คณะ/สาขาวิชาต่างๆ จึงแก้ปัญหาด้วยการหันมาคัดเลือกนิสิตนักศึกษาเองผ่านระบบรับตรง!!
อย่างไรก็ตาม การที่คณะ และมหาวิทยาลัยต่างๆ หันมาเพิ่มสัดส่วนในระบบรับตรงเพิ่มมากขึ้นทุกปี นอกจากจะไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ "ตรงจุด" แล้ว ยังสร้างปัญหา และเกิดผลกระทบต่างๆ ตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่นักเรียนวิ่งเข้าหา "โรงเรียนกวดวิชา" มากขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับวัตถุประสงค์ของการสร้างระบบแอดมิสชั่นส์กลางขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหานักเรียนทิ้งห้องเรียน และตั้งหน้าตั้งตากวดวิชาเพียงอย่างเดียว เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ แม้แต่ความสัมพันธ์ระหว่าง "ครู" กับ "ลูกศิษย์" ก็เปลี่ยนไป เพราะเมื่อนักเรียนมุ่งกวดวิชาโดยไม่สนใจเรียนในห้องเรียน การเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ก็เริ่มหายไป เปลี่ยนเป็น "ดูถูก" ครู เพราะคิดว่าตัวเองมีความรู้มากกว่าครู เพราะสิ่งที่ครูสอนมานั้น รู้หมดแล้ว
สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ระบบการศึกษาไทย "ย่ำแย่" ทั้งระบบ ในขณะที่ตัวบุคลากรที่ถูกป้อนเข้าสู่รั้วสถาบันอุดมศึกษาก็กลายเป็น "คนไม่เต็มคน", "พร่อง" และกลายเป็น "บัณฑิต" ที่ไม่มีคุณภาพในที่สุด
เสียงเรียกร้องที่ตามมา คืออยากให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่างๆ ร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ทำแบบ "ตัวใครตัวมัน" หรือ "มือใครยาวสาวได้สาวเอา" ซึ่งนอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว ในระยะยาวยังส่งผลกระทบต่อการจัดตั้งศึกษาในทุกระดับ
"รศ.มณฑล สงวนเสริมศรี" อธิการบดีมหาวิทยาลัยพะเยา และอดีตประธานคณะทำงานศึกษาแอดมิสชั่นส์ฟอรั่มของ ทปอ.ระบุว่า ปัจจุบันมหาวิทยาลัยหันไปรับตรงเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยภาพรวมสัดส่วนรับตรงต่อแอดมิสชั่นส์กลางจะอยู่ที่ 60 ต่อ 40 เพราะมหาวิทยาลัยมีจำนวนมากขึ้น แต่ละแห่งอยากได้เด็กเก่ง และอยากได้จำนวนนิสิตนักศึกษาตามแผนที่วางไว้ ถ้ารอรับผ่านระบบแอดมิสชั่นส์กลางเพียงอย่างเดียว นักเรียนก็จะเลือกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงก่อน ทำให้มหาวิทยาลัยเล็กๆ ไม่ได้เด็กเก่ง
เดิมทั้ง "นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และ "นายไชยยศ จิรเมธากร" รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.มีแนวคิดที่จะให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จัดตั้ง "ศูนย์รับตรง" ขึ้น เพื่อทำหน้าที่ประสานการจัดสอบรับตรงเพียงครั้งเดียว เพื่อแก้ปัญหาการวิ่งรอกสอบตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ
แต่ดูเหมือนแนวคิดนี้จะ "ไม่ได้" รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยเท่าที่ควร..
อย่างไรก็ตาม เมื่อมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่อาจต้านทาน "กระแส" ต่อต้านการเพิ่มสัดส่วนรับตรงได้ ในที่สุด ทปอ.จึงต้องหยิบยกเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุม และมีมติให้มหาวิทยาลัยรัฐทุกแห่ง ร่วม "รับตรงกลาง" โดยให้ สทศ.เป็นผู้ดำเนินกการจัดทำข้อสอบ และจัดสอบในวิชาที่คณะ/สาขาวิชาต่างๆ ของแต่ละมหาวิทยาลัยต้องการ โดยจะใช้ศูนย์สอบทั่วประเทศเช่นเดียวกับการทดสอบ GAT และ PAT
แนวทางดังกล่าวดูเหมือนจะได้รับการตอบรับจากฝ่ายต่างๆ ทั้งนายไชยยศ จิรเมธากร ที่พยายามผลักดันให้มีการจัดสอบรับตรงร่วมกันมาตั้งแต่ต้น แม้ว่ามติดังกล่าวจะทำให้การจัดตั้งศูนย์รับตรงโดย สกอ.เป็นหมันก็ตาม
ขณะที่ผู้อำนวยการ สทศ. "นายสัมพันธ์ พันธ์พฤกษ์" ก็ยืนยันว่าพร้อมจะปฏิบัติตามมติของ ทปอ.ซึ่งคาดว่าจะจัดสอบรับตรงให้ได้ในวันที่ 8-9 มีนาคม 2555 ส่วนรายละเอียดของการจัดสอบจะเป็นอย่างไรนั้น เป็นหน้าที่ของ "นายพงษ์อินทร์ รักอริยะธรรม" รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในฐานะประธานคณะทำงานศึกษาแอดมิสชั่นส์ฟอรั่มของ ทปอ.คนปัจจุบัน ที่จะต้องไปดูความต้องการของกลุ่มคณะ/สาขาวิชาต่างๆ ว่าต้องการให้ สทศ.จัดสอบในวิชาใดบ้าง โดยเบื้องต้นในกลุ่มคณะวิทยาศาสตร์ อยากให้ สทศ.จัดสอบเพิ่มเติมในวิชาฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา
ซึ่ง "นายวรพงษ์ ศรีเชียงสา" นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนขามแก่นนคร จ.ขอนแก่น ซึ่งนั่งเก้าอี้ประธานสภานักเรียน ปี 2554 ก็เห็นด้วยกับมติของ ทปอ.ที่จะจัดสอบตรงกลาง แต่หากทำแล้วไม่ดี ก็ค่อยปรับปรุง
แม้จะมีผู้ขานรับกับแนวทางของ ทปอ.อย่างดี แต่ก็ยังมีผู้ที่กังวลว่าแนวคิดนี้จะมีผู้เห็นด้วยอย่างจริงจังมากน้อยแค่ไหน อย่าง "นายนนทวัฒน์ จันทร์เจริญ" คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เชื่อว่าการรับตรงกลางจะช่วยแก้ปัญหานักเรียนวิ่งรอกสอบตรงได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด เพราะการรับตรงในมหาวิทยาลัยต่างๆ มีหลากหลายรูปแบบ อาทิ โควต้าในพื้นที่ เป็นต้น จึงอยากให้ ทปอ.มีมติให้ทุกมหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิกเข้าร่วมสอบรับตรงกลาง แทนที่จะใช้วิธี "ขอความร่วมมือ"
"นายศุภชัย สมัปปิโต" อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นหนึ่งในสมาชิก ทปอ.ที่ออกมา "ปฏิเสธ" ชัดเจนว่าจะไม่เข้าร่วมการสอบรับตรงกลางของ ทปอ.เพราะสัดส่วนการรับตรงถึงร้อยละ 70 ของ มมส.ที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้จัดสอบเพิ่มเติม ส่วนใหญ่ใช้คะแนนจากองค์ประกอบของแอดมิสชั่นส์กลาง
ซึ่งสวนทางกับคำให้สัมภาษณ์ของประธาน ทปอ.ที่ระบุว่า "เมื่อมหาวิทยาลัยรัฐที่มีชื่อเสียงในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ยินดีเข้าร่วมสอบรับตรงกลาง ทั้งมหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นต้น มหาวิทยาลัยรัฐที่เป็นสมาชิก ทปอ.ก็พร้อมจะเข้าร่วมรับตรงกลางร่วมกัน"
นอกจากมติดังกล่าวแล้ว ทปอ.ยังมีมติยืนยันเกี่ยวกับองค์ประกอบ และค่าน้ำหนัก ในการคัดเลือกในระบบแอดมิสชั่นส์กลาง ได้แก่ คะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรมัธยมปลาย (GPAX) 20% คะแนนทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) 30% คะแนน GAT 10-50% และคะแนน PAT 0-40% รวมถึง ลดการสอบ GAT และ PAT จากปีละ 3 ครั้ง เหลือเพียง 2 ครั้ง ในเดือนตุลาคม และเดือนมีนาคม รวมทั้ง ให้เฉพาะนักเรียนชั้น ม.6 เท่านั้นที่มีสิทธิสอบ
ส่วนมาตรการแก้ปัญหาในระยะยาวของ ทปอ.เพื่อไม่ให้มหาวิทยาลัยต่างๆ หันมาเพิ่มสัดส่วนรับตรงมากขึ้นนั้น ทปอ.จึงมีมติให้กลุ่มคณะ/สาขาวิชาต่างๆ สามารถปรับค่าน้ำหนักขององค์ประกอบต่างๆ ในระบบแอดมิสชั่นส์กลางได้ ส่วนจะปรับเท่าไร และปรับในปีการศึกษาใดนั้น ได้มอบให้คณะทำงานศึกษาแอดมิสชั่นส์ฟอรั่มของ ทปอ.ไปพิจารณาอีกครั้ง
ก็ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดว่า "มาตรการ" ต่างๆ ที่ ทปอ.ทยอยเปิดออกมานั้น จะแก้ปัญหา "วิ่งรอก" สอบรับตรงได้หรือไม่??
เพราะในที่สุดแล้ว เชื่อว่าการ "ยกเครื่อง" ระบบแอดมิสชั่นส์กลาง เพื่อให้สามารถคัดเลือกนิสิตนักศึกษาให้มีคุณสมบัติตามที่คณะ/สาขาวิชาต่างๆ ต้องการ น่าจะเป็น "ทางออก" ที่ดีทั้งกับตัว "เด็กๆ" และ "มหาวิทยาลัย" เอง!!
๐ปฏิทินแอดมิสชั่นส์กลาง ประจำปี 2554๐ วันที่ 4-20 เมษายน 2554 จำหน่ายหนังสือระเบียบการฯ ที่ศูนย์กรุงเทพมหานคร/ศูนย์ภูมิภาค วันที่ 11-20 เมษายน 2554 รับสมัครทางเว็บไซต์ www.cuas.or.th วันที่ 11-22 เมษายน 2554 ชำระเงินค่าสมัครผ่านธนาคาร หรือ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ไทย วันที่ 12-25 เมษายน 2554 ผู้สมัครตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลการสมัครทางเว็บไซต์ www.cuas.or.th วันที่ 12-27 เมษายน 2554 ยื่นคำร้องขอแก้ไขข้อมูลทางโทรสารหมายเลข 0-2354-5155-6, 0-2576-5555, 0-2576-5777 วันที่ 8 พฤษภาคม 2554 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย ทางเว็บไซต์ www.cuas.or.th วันที่ 11-13 พฤษาคม 2554 สอบสัมภาษณ์ และตรวจร่างกาย ที่มหาวิทยาลัย/สถาบันอุดมศึกษาที่สอบได้ วันที่ 19 พฤษภาคม 2554 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ทางเว็บไซต์ www.cuas.or.th |
วันที่ 4-20 เมษายน 2554 จำหน่ายหนังสือระเบียบการฯ ที่ศูนย์กรุงเทพมหานคร/ศูนย์ภูมิภาค
วันที่ 11-20 เมษายน 2554 รับสมัครทางเว็บไซต์ www.cuas.or.th
วันที่ 11-22 เมษายน 2554 ชำระเงินค่าสมัครผ่านธนาคาร หรือ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ไทย
วันที่ 12-25 เมษายน 2554 ผู้สมัครตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลการสมัครทางเว็บไซต์ www.cuas.or.th
วันที่ 12-27 เมษายน 2554 ยื่นคำร้องขอแก้ไขข้อมูลทางโทรสารหมายเลข 0-2354-5155-6, 0-2576-5555, 0-2576-5777
วันที่ 8 พฤษภาคม 2554 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย ทางเว็บไซต์ www.cuas.or.th
วันที่ 11-13 พฤษาคม 2554 สอบสัมภาษณ์ และตรวจร่างกาย ที่มหาวิทยาลัย/สถาบันอุดมศึกษาที่สอบได้
วันที่ 19 พฤษภาคม 2554 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ทางเว็บไซต์ www.cuas.or.th