- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- แรงงาน “ทหารเกณฑ์” ข้อจำกัดปฏิรูปกำลังสำรอง
แรงงาน “ทหารเกณฑ์” ข้อจำกัดปฏิรูปกำลังสำรอง
มีหนังสือ“พ็อกเก็ตบุ้ค” ที่เขียนโดยนักข่าวสายทหารเล่มหนึ่งตีพิมพ์เมื่อปลายปีที่แล้ว พูดถึงชีวิตทหารเกณฑ์ไว้อย่างน่าสนใจ ส่วนใหญ่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในค่ายทหารช่วงฝึกหนัก แต่สิ่งที่ซ่อนไว้ในแต่ละบรรทัดของงานเขียนชิ้นนี้คือการสะท้อนถึงคุณภาพชีวิต ภาระหน้าที่ และความสำคัญของ ทหารประเภทนี้ไว้อย่างน่าอ่าน
นอกจากสู้รบ เฝ้ายาม ปราบม็อบ ซ่อมบ้าน ขนของช่วยน้ำท่วม สร้างถนน ยังเลยไปถึงซักผ้า ทำกับข้าว ทำความสะอาดบ้าน ส่งลูกนายไปโรงเรียน ในฐานะ “ทหารรับใช้” ที่ประจำอยู่ตามบ้าน “นาย” อีกต่างหาก
แต่ช่วงก่อนหน้านี้ มีชายไทยจำนวนไม่น้อยยังต้องการสมัครเข้าเป็นทหาร เพราะ นอกจากได้แต่งเครื่องแบบแล้ว ยังมียศ และที่สำคัญคือ มี “เงินเดือน –เบี้ยเลี้ยง” โดยปัจจุบันมีการปรับให้เหมาะสมกับสภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสิทธิพิเศษอื่นๆ ที่ชายไทยซึ่งขาดโอกาสในการทำงานด้านอื่นน่าจะสนใจการเป็นทหารอยู่ไม่น้อย
ตามกฎหมายกำหนดว่า 1.พลทหารกองประจำการปีที่ 1 ยังไม่ผ่านหลักสูตรนายทหารใหม่ ได้รับเงินเดือน 1,550 บาท 2. พลทหารกองประจำการปีที่ 1 ที่ผ่านหลักสูตรการฝึกทหารใหม่แล้ว ได้รับเงินเดือน 3,490 บาท 3.พลทหารกองประจำการปีที่ 2 ได้รับเงินเดือน 4,190 บาท 4.พลทหารกองประจำการทำหน้าที่ครูทหารใหม่ ได้รับเงินเดือน 4,400 บาท 5. พลทหารกองประจำการที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นยศสิบตรี จ่าตรี จ่าอากาศตรี ได้รับเงินเดือน 4,630 บาท 6. พลทหารกองประจำการได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ 75 บาท ต่อวัน ส่วนการหักเบี้ยเลี้ยง ประกอบด้วยรายการ ค่าเชื้อเพลิง 3บาท ค่าข้าว 12 บาท ค่ากับข้าว 35 บาท จ่ายคืน 25 บาท
นอกจากนั้น ยังได้รับสิทธิได้ลดวันรับราชการทหารกองประจำการสำหรับผู้ที่มีคุณวุฒิ ม.6 หรือเทียบเท่าขึ้นไป และ ต้องนำหลักฐานการศึกษา หรือ หนังสือรับรองวิทยฐานะที่จบ ร.ด. ปี 1 หรือ ปี 2 แสดงต่อคณะกรรมการตรวจเลือก ,จบมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่า ถ้าสมัครเป็นทหาร 1 ปี ถ้าจับ “ใบแดง” เป็นทหาร 2 ปี , จบ ร.ด.ปี 1ถ้าสมัครเป็นทหาร 1 ปี ถ้าจับได้สลากได้แดง เป็นทหาร 1 ปี 6 เดือน ,จบ ร.ด.ปี 2 ถ้าสมัครเป็นทหาร 6 เดือน ถ้าจับใบแดงได้เป็นทหาร 6 เดือน
ได้สิทธิสมัครสอบนักเรียนนายสิบทหารบกในสัดส่วนทหารกองประจำการ 40-50 % ถ้าสมัครเป็นนักเรียนจ่าทหารเรือได้คะแนนเพิ่มพิเศษ และถ้าสมัครนักเรียนจ่าทหารอากาศจะได้สัดส่วนของพลทหารกองประจำการปีละ 5-10 % แต่จะใช้สิทธินี้ต้องเป็นผู้ที่สมัครเข้าเป็นทหารกองประจำการของแต่ละเหล่าทัพเท่านั้น
มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลฟรี, มีสิทธิสมัครรับราชการทหารในกองประจำการต่อได้จนถึงอายุ26 ปี โดยยื่นคำร้องสมัครต่อหน่วยทหารที่สังกัดอยู่ได้ปีละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1 ปี มีสิทธิได้เงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงเท่ากับทหารกองประจำการปีที่ 2 หรือตามชั้นยศหรือตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้ง สิทธิอื่นๆ คงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยสิทธินั้นๆ เช่นได้รับเงินฝ่าอันตราย ได้รับสิทธิคัดเลือกเป็นนักเรียนทหารจนถึงอายุ 23 ปี ศึกษาต่อ ฝึกวิชาชีพ และสวัสดิการอื่นๆ เช่นกับทหารกองประจำการปีที่ 2
สิ่งเหล่านี้ จึงทำให้เกิดแนวคิดว่าในอนาคตอาจจะไม่มีการ “เกณฑ์ทหาร” เพราะยอดสมัครทหารเพิ่มขึ้นจากสิ่งตอบแทนที่ได้กล่าวมา ทว่ายอดสมัครทหารกลับลดลงเมื่อเกิดเหตุการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะเกิดเหตุร้าย ทหารเกณฑ์จะได้รับความสูญเสียในอันดับต้น ๆ เพราะหน่วยระดับปฏิบัติเพื่อทำการรบ จะมีการประกอบกำลังในชุดปฏิบัติการ ลักษณะ 1 ต่อ 3 กล่าวคือเป็นพลทหาร 3 ส่วนและ นายทหาร 1 ส่วน ทำให้ยอดในการเรียกพลเพื่อรับคัดเลือกเป็นทหารกองประจำการมากขึ้น
ช่วงเหตุการณ์ “กระชับพื้นที่” เมื่อเดือน เม.ย.- พ.ค. 2553 กองทัพใช้ พลทหาร หรือ ทหารเกณฑ์ จำนวนมาก ออกมาปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลสถานการณ์ในหลายพื้นที่ที่ประกาศพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งที่ มีการฝึกภาคสนามที่ยังไม่ครบระยะการฝึก เพราะกำลังไม่พอ
ในปีนี้หน่วยของกองทัพบก ประมาณ 500 กว่าหน่วย มีความต้องการ “ทหารกองประจำการ” เพิ่มขึ้นประมาณ 9 พันกว่านาย เนื่องจากภารกิจทหารที่ “ตึงมือ” ทั้งสถานการณ์ชายแดน ไทย –กัมพูชา สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การรักษาความสงบเรียบร้อยจากการชุมนุมที่ต้องใช้กองร้อยรักษาความสงบเรียบร้อย (ร้อย รส.) ที่มีอยู่ในแต่ละกองพัน ต้องการ “พลทหาร”เข้ามาปฏิบัติการเพิ่ม
จากตัวเลข พบว่า “ทหารเกณฑ์” หรือ “ไอ้เณร”หรือ “พลทหาร” หรือ “ทหารกองประจำการ” ในแต่ละปีประมาณ 1.8 แสนนาย โดยแบ่งการเรียกพลเพื่อคัดเลือกเข้ามาฝึกรวมสองผลัด ผลัดละประมาณ 9 หมื่นนาย แบ่งเป็นทหารบก และ ทหารอากาศปีละ 2 ผลัด ทหารเรือ 4 ผลัด เมื่อเทียบกับทหารประจำการ (นายทหาร –นายสิบ) ที่มีอยู่เกือบ 2 แสนนาย ถือได้ว่าเป็นอัตราส่วนที่มาก
เหตุผลหนึ่ง เพราะทหารประจำการ ในปัจจุบัน ระดับกองพันทหารราบ มีกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งไม่มีกำลังวังชาพอที่จะไปทำภารกิจในภาคสนามได้ เทียบแล้วอยู่ในอัตรา 10-15 % ไม่นับรวม ปัญหางบประมาณ ที่กองทัพสามารถบรรจุกำลังพลได้แค่เพียง 70-80 %
ชายไทยอายุครบเกณฑ์ 20 ปี จึงกลายเป็นความจำเป็น ที่กองทัพต้องการใช้เป็น “ภาคปฏิบัติ” และเครื่องมือของกองทัพในการทำงาน โดยมี “วิธีการ –มาตรการ” ในการเปลี่ยน “วัยรุ่น” ให้เป็น “คนในเครื่องแบบ” มีปืนซึ่งเป็นอาวุธ และ มีจิตวิญญาณทหาร ในการทำหน้าที่อย่าง “ซื่อสัตย์”ต่อคำสั่งผู้บังคับบัญชา
โดย “ทหารเกณฑ์” เหล่านี้ถูกแปรสภาพกลายเป็น “แรงงาน” ที่รัฐจ้างเพื่อทำงานตามคำสั่งเพื่อรักษาความมั่นคงแห่งรัฐโด ภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาของ “นาย”
จากพ็อกเก็ตบุ้ค “โหด มัน ฮา ข้าคือทหารเกณฑ์” ที่ได้เกริ่นไปข้างต้น พออนุมานได้ว่า “ทหารเกณฑ์” คือความจำเป็นที่ “รัฐ” ทุกรัฐต้องมี เพราะการฝึกปฏิบัติการรบ ที่ประกอบไปด้วยภาคสนามระยะเวลา 2 เดือน 10 วัน บวกกับการเข้าไปปฏิบัติงานตามหน่วยจริงรวม 40 สัปดาห์ ส่งผลให้ “ชายไทย”เหล่านั้น มีทักษะการทหารเบื้องต้นที่ใช้งานได้ เช่นเดียวกับ “ทหารประจำการ” ทัศนคติ จิตวิญญาณ แบบทหารที่ถูกปลูกฝังอยู่ในตัว เพียงพอที่จะถือปืน และ ปฏิบัติต่อฝ่ายตรงข้ามได้อย่าง “ไม่แหย” แต่ก็ไม่สามารถเทียบเท่ากับทหารประจำการ ที่ผ่านโรงเรียนหลัก หรือ เหล่าบรรดา “จ่า”หรือ “นายสิบ” ที่มีประสบการณ์ภาคสนามมาอย่างโชกโชน
“ผมมองว่าพลทหาร ต้องกลายเป็นยอดมนุษย์ทำได้ทุกภารกิจ ทั้งที่ความจริงเหล่าทหารเกณฑ์พวกนี้มาจากพลเรือนที่ฝึกปรือเพียงไม่กี่เดือน ตามหลักสูตรฝึกแค่ 2 เดือน 10 วัน ยิงปืนได้ไม่กี่ร้อยนัดก็ต้องออกผจญกับสงครามแล้ว แถมด้วยมันสมองส่วนใหญ่ของพลทหาร ล้วนแล้วแต่ความรู้เท่าหางอึ่งเท่านั้น ผมไม่ได้หยามเหยียดแต่นี่คือเรื่องจริง เมื่อบรรดาลูกปริญญาทั้งหลายต่างพากันเส้นหนีทหารกันเป็นแถว ด้วยความที่ใช้กำลังบวกปัญญาเกินความสามารถจริงของพลทหาร แน่นอนว่าทำให้ผลการทำงาน และสิ่งที่คาดก่อนทำงานจะได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ย่อมเป็นไปไม่ได้ เมื่อการปฏิบัติงานบางครั้งต้องใช้วิจารณญาณบวกด้วยเซ้นท์ในการตัดสินใจ สิ่งเหล่านี้นักเรียนเตรียมทหารอาจจะมีกันเกือบทุกคน แต่ถามว่าหากเป็นเหล่าทหารเกณฑ์ที่จิตใจไม่ได้เจตนาอยากเป็นทหารมาตั้งแต่แรกจะมีสิ่ง เหล่านี้หรือเปล่า ดังนั้นจะไม่ดีกว่าหรือหากจะพัฒนา อบรมให้ทหารเกณฑ์สมบูรณ์ พรั่งพร้อมทั้งอีคิว และไอคิว ก่อนเร่งบรรจุลงสนามรบจริงก่อนเวลาอันควร” นักข่าวสายทหารและ ผู้เขียนพ็อกเก็ต เล่มดังกล่าว ระบุ
กระนั้นการพัฒนาระบบกำลังสำรอง ที่เคยมีแนวคิดในการลดอัตรา “ทหารเกณฑ์”ลง และ ใช้วิธีเรียกระดมพลจาก “ชายไทย” ที่ฝึกหลักสูตรรักษาดินแดน หรือ รด. ที่มีระยะการฝึก แค่ 30 ชั่วโมง เนื่องจากภารกิจของทหารใน “รัฐไทย” หลังยุคสงครามเย็นลดลง แต่แนวคิดดังกล่าวต้องเป็น “หมัน” เพราะเอาเข้าจริง กองทัพกลับมีภารกิจมากขึ้นจากภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ที่นอกเหนือ “การรบ”
ทั้ง การบรรเทาสาธารณภัย การรักษาความสงบเรียบร้อย การปราบม็อบ ที่มี “กองทัพ”เป็นแกนหลักในการทำงาน เพราะมี “แรงงาน”ของรัฐ ที่เตรียมพร้อมอยู่ในระบบถึงปีละ 1.8 แสนคน
หน้าที่ของ “ทหารเกณฑ์” จึงเป็นภาคบังคับที่ หนัก อึด และ เหนื่อย แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ “ความเสี่ยงที่จะสูญเสีย” “ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธได้ ถ้าถูกเลือกให้ไปทำงานใน “สนาม”
จึงไม่แปลก ถ้าคนที่เข้าไปสัมผัสชีวิตทหารเกณฑ์ จะบอกว่า “พลทหาร”คือ แรงงานไร้สมอง ราคาถูก ที่ไม่สามารถยกระดับ หรือ ปรับคุณภาพชีวิต ให้มีหลักประกันในความเสี่ยงใดๆ หากแต่ภารกิจนั้นต้องทำในนาม “กองทัพ” สถาบันอันทรงเกียรติของชาติ เพราะถ้าไม่มีเขาเหล่านี้ ก็ไม่รู้จะใช้ใครทำงานที่ล้นมือให้กับ “รัฐสมัยใหม่” ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน