- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- เสียงเตือนจาก “ท้องถิ่น” เร่งส่วนกลางปลดห่วงคล้องอำนาจ
เสียงเตือนจาก “ท้องถิ่น” เร่งส่วนกลางปลดห่วงคล้องอำนาจ
ส่วนกลางและท้องถิ่นสำหรับประเทศไทย ยังคงมีข้อเปรียบเทียบให้เห็นความต่างอยู่มาก ไม่เว้นแม้กระทั่งการปกครอง
การกระจายอำนาจเป็นเป้าหมายที่ถูกวางไว้นานแล้ว และยังคงเป็นเพียงจุดหมายที่ยังไปไม่ถึง ก้าวกันอย่างไร...ถึงช้านัก
เสียงของผู้อยู่ในท้องถิ่นจะไล่เรียงให้รับทราบ
อุปสรรคอยู่ที่รัฐรวมศูนย์ กระจุก ไม่ กระจาย
อุปสรรคการกระจายอำนาจของท้องถิ่นมีหลายส่วน รศ.โกวิทย์ พวงงาม อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ซึ่งศึกษาเรื่องการกระจายอำนาจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปสั้นๆ พาดพิง รัฐบาลว่า มีความผิดพลาดและไม่สนใจเรื่องนโยบายเกี่ยวกับท้องถิ่น
1.การปฏิรูปกฎหมาย เกี่ยวกับท้องถิ่นหลายฉบับไม่ได้รับความสนใจเช่น กฎหมายระเบียบข้าราชการท้องถิ่น รายได้ท้องถิ่น กฎหมายกระจายอำนาจ หรือ ประมวลกฎหมาย ไม่ยอมเพิ่มอำนาจท้องถิ่น ลดอำนาจรัฐลง 2. การถ่ายโอนอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น เป็นไปอย่างเชื่องช้า กระทรวง กรม ก็ยังคงอำนาจไว้เหมือนเดิม
“รัฐบาลควรระวังว่า หากวันหนึ่งการเมืองในระบบสภาผู้แทนราษฎร คนไม่ฟังประชาชนไม่สนใจวันนั้นจะถึงทางตัน แล้วมันจะกลายเป็นประเทศอียิปต์ และประเทศบาห์เรน นั่นก็การเมืองโดย การเอารัฐบาลออกด้วยวิธีของภาคประชาชนซึ่งถือเป็นวิธีที่อันตราย"
เป็นคำเตือนของ รศ. โกวิทย์ที่เล่นเอาขนลุกขนพองกันพอควร!
มาฟังมุมมองของ หัวขบวนนายกฯท้องถิ่นโดยตรงถึงปัญหา อุปสรรคและทางออกว่าอยู่ตรงไหนกันบ้าง จะมีทางที่ท้องถิ่นไทยจะเติบโตเข้มแข็ง สร้างการพัฒนาและประชาธิปไตยสู่ยอดหญ้าได้แค่ไหน
“นพดล แก้วสุพัฒน์” นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แห่งประเทศไทย เกริ่นว่า การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เป็นวิวัฒนาการที่ทั่วโลกใช้ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองตนเอง ซึ่งก็มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บังคับใช้อยู่เพื่อให้ท้องถิ่นมีโอกาสที่จะร่วมกับประชาชนในการคัดเลือกเป็นตัวแทนร่วมกันคิดเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่ของเขา โดยที่รัฐบาลกลางจะต้องมอบอำนาจไปให้ท้องถิ่นดูแลจัดการตัวเอง ไม่ให้ปัญหากระจุกในส่วนกลาง หรือให้ประชาชนที่เดือดร้อนมาออกมาเดินขบวนหน้ารัฐสภาที่กรุงเทพ ปัญหาวันนี้ คือ เรายังมีความลักลั่นในหลายเรื่องซึ่งไม่เอื้อต่อการบริหารงานราชการส่วนท้องถิ่น
เนื่องจากประเทศไทยปกครองด้วยระบบนิติรัฐ หรือระบบกฎหมายผ่านกระทรวง ทบวง ทว่า ส่วนกลางยังใช้อำนาจในการออกกฎหมายโดยตรง ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรธน. ปี 2540 ,2550 ที่ระบุว่ารัฐจะต้องสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน สู่การกระจายอำนาจ ให้กับท้องถิ่น ตรงนี้เป็นหลักการใหญ่ ซึ่งในพรบ.การจัดตั้งองค์กรส่วนท้องถิ่นแต่ละรูปแบบ และ พรบ.กำหนดแผนขั้นตอนการกระจายอำนาจให้กับท้องถิ่นปี 2542 ได้กำหนดให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการจัดบริการสาธารณะในพื้นที่ของตนเอง แต่ที่ผ่านมาพบว่า การถ่ายโอนภารกิจของหน่วยงานของรัฐให้แก่ท้องถิ่นยังติดขัดอยู่ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของประชาชน การสร้างความเป็นธรรม และความเหลื่อมล้ำของสังคม ที่สำคัญ คือ การจัดสรรงบประมาณ เงินอุดหนุน เช่น การจัดการเรื่องการศึกษา สาธารณสุข จัดหาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม กฎหมายหรือกฎต่างๆ
รัฐดองงบใช้หาเสียง- ไม่โอนท้องถิ่น
นายกฯสมาคมอบต.แห่งประเทศไทย บอกว่า ปัญหาอีกเรื่องคือ การจัดสรรงบประมาณ พบว่า ในปี 2553 มีการจัดสรรให้ 25% เท่านั้น เมื่อแยกย่อยแล้ว ยังมีปัญหาการจัดงบที่มีความเหลื่อมล้ำด้านการพัฒนา เช่น การจัดสรรงบของเทศบาล อบจ. อบต. กทม. หรือ พัทยา มีการคำนวณรายได้ต่อหัวที่แตกต่างกัน กล่าวคือ คนที่อยู่ในอบต. จะได้รับการจัดสรรรายหัวที่น้อยกว่า เทศกาล คนที่อยู่ในเทศบาลก็จะมีค่าหัวน้อยกว่า พัทยาหรือ กทม. เมื่อคำนวณแล้วทำให้การเอางบประมาณรายหัวไปบริการสาธารณะต่อประชาชนทั่วประเทศ เกิดความไม่เท่าเทียมกัน
“รัฐบาลเองก็ทำตามหน้าที่ที่มีอยู่ตามกฎหมายการกระจายอำนาจ แต่รัฐบาลก็ยังคงให้มีการจัดสรรงบผ่าน พรรคของตัวเองเพื่อที่จะมีฐานเสียงหวังสร้างผลงาน สร้างคะแนนกับประชาชนในพื้นที่ ทั้งที่รัฐบาลกลางมีหน้าที่ที่กำหนดนโยบายใหญ่ๆ เช่น การออกกฎหมาย แต่ถ้ายังต้องมาทำงานแข่งกับท้องถิ่นอย่างนี้ พยายามที่จะมีงบของนักการเมืองอยู่ผ่านการสร้างถนนเส้นเล็กเส้นน้อย ขุดรอกคลองเพื่อให้ตัวเองมีชื่อเสียงว่า ได้แก้ปัญหาให้ชาวบ้าน และจัดสรรงบประมาณไปอยู่ในมือของตัวเอง เช่น นโยบายประชาวิวัฒน์ ส่วนหนึ่งก็มาทำผ่านท้องถิ่น เช่น ทำอาหารกลางวัน ผู้สูงอายุ เรียนฟรี อสม. นี่ทำให้ท้องถิ่นไม่สามารถแก้ไขปัญหาตามแผนที่วางไว้ เพราะเรามีปัญหาเดิม คือ งบเราจำกัด และถูกรัฐบาลเอาไปใช้งบเองด้วย”
เขาเสนอทางออกว่า ควรมีกลไกกลางที่จะทำการศึกษาเรื่อง ของท้องถิ่นโดยตรง เช่น การรวบรวมสถิติข้อมูลทางวิชาการ หากมีก็จะทำให้ท้องถิ่นสามารถต่อรองกับรัฐบาลหรือกระทรวงมหาดไทยได้ อีกส่วนคือ กฎหมายที่ใช้บังคับในท้องถิ่นเป็นกฎหมายที่ร่างขึ้นจากส่วนกลางโดยที่ท้องถิ่นไม่ได้มีส่วนร่วมในการร่าง ฉะนั้นจึงควรจะต้องมี “สถาบัน” ที่ศึกษาการกระจายอำนาจที่มีลักษณะ วิจัย เพื่อการพัฒนาประเทศไทย และ เป็นฐานที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่น ไม่ว่า เรื่องภาษี หรือ การเป็นตัวกลางที่จะเจรจาระหว่างท้องถิ่นกับหน่วยงานภายนอก เช่น งานของรัฐบาลกลาง หรือ เรื่องกฎหมายที่ไม่เอื้ออำนวยระหว่างท้องถิ่นด้วยกันเอง เรื่อยไปถึง การหาสวัสดิการของท้องถิ่นที่มั่นคง เพราะงบประมาณที่บริหารจัดการแต่ละพื้นที่ล้วนแตกต่างกัน ส่วนนี้ควรมีกองทุน หรือ มูลนิธิ ที่เป็นของท้องถิ่นเองมาดูแล
“เรื่องหลักๆ คือ กฎหมายที่เกี่ยวข้องมันต้องมีการแก้ไข โดยเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม และ เพื่อให้ท้องถิ่นเป็นเจ้าของมากขึ้น เช่น ในกฎหมายควรจะพูดถึงองค์กรที่เป็นของท้องถิ่นระดับชาติ เช่น มีสถาบันหรือหน่วยงานที่เป็นสภาการปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งชาติที่เป็นองค์กรสูงสุดในการบริหารราชการท้องถิ่น หรือ มีสำนักงานของท้องถิ่นแห่งชาติ ในสังกัดของสภาองค์กรท้องถิ่นแห่งชาติมีหน้าที่ที่จะเป็นฝ่ายเลขาหรือดูแลทางด้านธุรการ
ที่สำคัญ คือ เราต้องชัดเจนว่า เมืองไทยควรมีท้องถิ่นกี่รูปแบบ หรือ การสร้างระบบ เพื่อให้ท้องถิ่นในพื้นที่เดียวกันดูแลแก้ไขปัญหาร่วมกันเพราะในท้องถิ่นหนึ่ง อาจมีพื้นที่ติดต่อกัน เช่น ใน1ลำน้ำอาจมีหลายท้องถิ่นที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบ
เขายังเสนอด้วยว่า เรื่องรายได้ของท้องถิ่นจะต้องมีการแก้ไขโครงสร้าง ให้ท้องถิ่นมีรายได้ในการจัดเก็บภาษี ของตัวเองมากขึ้น และเป็นเจ้าของภาษีแทนรัฐบาลส่วนกลาง ไม่ใช่เหมือนอย่างปัจจุบัน ที่ท้องถิ่นมีอำนาจจัดเก็บภาษีไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของภาษีรายได้ของรัฐบาลทั้งหมด
นอกจากนี้ ในส่วนของการบริหารงานบุคคล เมื่อเรามีพนักงานเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่เป็นเครื่องมือในการบริหารงานของตัวแทนท้องถิ่น ก็ควรจะมีคณะกรรมการที่มีการคัดเลือกชัดเจนและก็มีสำนักงานที่เป็นสังกัดเช่น สำนักนายกรัฐมนตรี โดยในส่วนนี้ควรมีระบบคุณธรรม มีสวัสดิการเพราะท้องถิ่นยังมีปัญหาเรื่องความมั่นคงด้านสวัสดิการที่ไม่เท่าเทียมกัน
ประเด็นเหล่านี้ นายกสมาคมอบต.แห่งประเทศไทย บอกว่าจะนำเสนอต่อพรรคการเมืองให้มีการปฏิรูปนำไปสู่การแก้ปัญหา เช่น แก้กฎหมาย ด้านการเงิน การบริหารงานบุคคล เพื่อให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับประชาชน
กระนั้น เขาสรุปว่า วันนี้ประเทศไทยเดินทางมาไกลพอควรในเรื่องของการกระจายอำนาจ ซึ่งท้องถิ่นมีการเปลี่ยนแปลงระดับหนึ่ง แต่อาจไม่ทันใจ โดยเฉพาะ การบริหารงานที่บางอย่างที่ยังไม่ชัดเจน ระเบียบไม่เอื้อ ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ท้องถิ่นอาจถูกโจมตีได้ ทั้งที่ เรื่องดีๆ ในท้องถิ่นมีมาก ก็ต้องอาศัยสื่อช่วยเปิดประเด็นส่งเสริม
ให้กำลังใจท้องถิ่น
ขณะที่ “สานันท์ สุพรรณชนะบุรี” นายก อบจ.พัทลุง ในฐานะนายกสมาคมอบจ.แห่งประเทศไทยมองว่า ทิศทางการกระจายอำนาจปัจจุบันยังไม่ชัดเจน ยังกลับไปกลับมาระหว่างการกระจายอำนาจ กับ การรวมศูนย์ ระบบราชการยังหวงอำนาจ ไม่กระจายมาให้ท้องถิ่น ทั้งที่ รธน. 2540 สนับสนุนให้เกิดการกระจายอำนาจ จนมีกฎหมายกระจายอำนาจปี 2542 ออกมา แต่จนบัดนี้การกระจายอำนาจก็ยังทำไม่ได้เท่าไร ยังติดหลายเรื่อง ช่น การโอนเครื่องไม้เครื่องมือจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่นที่ยังไม่ดี เช่น เครื่องเจาะบาดาล รถเจาะ จนมา สร้างภาระต่อให้กับท้องถิ่น เช่น การสร้างทางของอบจ.ก็เป็นเส้นทางที่แย่ และก็ไม่มีงบซ่อมต่อเนื่อง เหล่านี้ เป็นการซ้ำเติมแทนที่จะเป็นการกระจายอำนาจ
“ปรัชญาของการกระจายอำนาจ คือ ทำอย่างไรให้ท้องถิ่นคล่องตัว แก้ปัญหาของพี่น้องได้อย่างรวดเร็วฉับพลัน ให้ประชาชนได้รับการบริการที่ดีจากรัฐอย่างทั่วถึง แต่วันนี้มันสร้างปัญหามันมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่การกระจายอำนาจแล้ว”
ภาพลบคอรัปชั่นอปท.
อีกเรื่อง คือ การถ่ายโอนงบประมาณให้ท้องถิ่น ที่ยังเป็นปัญหามาก เพราะงบหลายตัว แทนที่จะผ่านมายังท้องถิ่น แต่กลับไปผ่าน ส.ส.ทั้งที่รธน.เขียนไว้ชัดว่า ส.ส.ห้ามมีงบประมาณ โดยยังมีการแปรญัตติ ปรับลดงบของท้องถิ่นแล้วไปแจกให้โควต้า ส.ส.เพื่อใช้ไปลงพื้นที่ ขณะเดียวกัน ส.ส.ก็ยังเก็บผลประโยชน์ในหลายกรมกอง วันนี้จึงกลายเป็นว่า นักการเมืองระดับชาติกับนักการเมืองท้องถิ่นแย่งงบประมาณกัน เราถูกตัดตอนจากส่วนกลางที่ยังหวงอำนาจอยู่ ส่วนราชการต่างๆ ยังไม่ยอม ถ้ามีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นได้คิดเอง ทำเอง แก้ปัญหาเอง มันก็ช่วยพัฒนาท้องถิ่นนำไปสู่ความเจริญ แต่วันนี้มันไม่สามารถสร้างความเจริญได้ สิ่งที่ได้ก็ไม่ตรงกับความต้องการของคนท้องถิ่น”
โดยรวมตอนนี้ท้องถิ่นตื่นตัวสูงหรือไม่? สานันท์ บอกว่า ความจริงแล้ว ท้องถิ่นเองก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน ที่ต้องระมัดระวังคือ การแสวงหาผลประโยชน์ของผู้บริหาร จากงบประมาณ เพราะมันจะเป็นภาพลบต่อภาพรวมของการกระจายอำนาจทั้งหมด นักการเมืองท้องถิ่นต้องสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้น และให้เกิดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนให้ได้
คิดว่า ความพร้อมของอปท.มีมากน้อยแค่ไหน? “ นายกฯเทศบาล นายกฯอบต. นายกฯอบจ. เกินครึ่งปรับตัวเลยขั้นตอนนั้นไปแล้ว และนำไปสู่การพัฒนาที่จะทำให้องค์กรท้องถิ่นเป็นผู้บริหารมืออาชีพ ยึดโยงกับการพัฒนาของท้องถิ่นตัวเอง ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่วางไว้ที่ผลประโยชน์ตัวเอง
“วันนี้ผมคิดว่า ท้องถิ่นพร้อม ส่วนประชาชนก็เข้าใจภารกิจของท้องถิ่น ยกตัวอย่างที่พัทลุง การเลือกตั้งท้องถิ่นที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันของพรรคการเมืองกับตัวบุคคลซึ่งทางใต้เราจะเห็นว่า หลายจังหวัดมีพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งครองฐานเสียงภาคใต้ และเขาก็ส่งผู้สมัครหมด ที่สุดก็ไม่สามารถชนะเลือกตั้งได้ทั้งหมด เพราะประชาชนเห็นว่า การเมืองระดับบนก็ให้พวกหนึ่งเล่นไป ส่วนการเมืองท้องถิ่นก็ให้อีกพวกเพราะเขามั่นใจว่า จะสร้างความเจริญให้กับเขาได้”
นายกสมาคมอบจ.แห่งประเทศไทย ทิ้งท้ายว่า “การกระจายอำนาจในช่วงที่ผ่านมาของเรามันช้ามาก แม้ว่าโครงสร้างของท้องถิ่นวันนี้จะถูกต้องแล้วที่ทำให้เกิดการถ่วงดุลระหว่างสภากับนายกฯท้องถิ่น สำคัญคือ ถ้านักการเมืองระดับชาติยังมองไม่เห็นว่า การเมืองท้องถิ่นเป็นการเมืองที่เป็นฐานรากของประชาธิปไตยเราก็ไม่มีวันที่จะจัดการซื้อเสียง ขายสิทธิ์ได้ ฉะนั้น เราต้องเข้าใจว่า รากฐานของประชาธิปไตยต้องเริ่มจากท้องถิ่นแต่วันนี้การซื้อเสียงมีความรุนแรงขึ้น ทุกระดับ ทั้งท้องถิ่นและระดับชาติ ฉะนั้นจึงเป็นบทบาทของทุกฝ่ายที่ต้องเร่งให้ความรู้กับประชาชนให้เห็นความสำคัญของการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธํรรมนำไปสู่การพัฒนาประเทศ ไม่จมปลักกับการเมืองแบบเดิมที่วนอยู่กับการทุจริตและวนกับการปฏิวัติ”