- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- รัฐไม่กล้าสาง “เขื่อนปากมูล” ลูกระนาดกระทบแก้ “ปมที่ดิน”
รัฐไม่กล้าสาง “เขื่อนปากมูล” ลูกระนาดกระทบแก้ “ปมที่ดิน”
ความเจ็บช้ำที่เกิดขึ้นจากการกระทำของรัฐและนายทุนที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน ทั้งปัญหาจากการถูกเวนคืนที่ดินทำกิน การประกาศที่อุทยานทับที่ดินทำกิน การถูกฟ้องร้องข่มขู่ ขับไล่ หรือแม้กระทั่งได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ ฯลฯ ทำให้หลายครั้งคนในพื้นที่ของปัญหาลุกขึ้นป่าวประกาศ แต่ก็ไม่เป็นผล.. เพราะเสียงไม่ดังพอ
แต่ครั้งนี้พวกเขากว่า 5 พันคน ได้ไหลรวมกันเป็นหนึ่งเดียวในนาม “ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ ขปส.” อันประกอบด้วยประชาชนจาก 4 เครือข่าย คือ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.) เครือข่ายสลัม 4 ภาค สมัชชาคนจนกรณีเขื่อนปากมูน และเครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.) ซึ่งการรวมกันครั้งนี้ก็ทำให้ “เสียงคนจนดังขึ้น”
หลังจากยึดพื้นที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเป็นหัวหาดและเรือนนอนมาตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์จนถึงวันนี้ ข้อเรียกร้องของคนจนถูกรัฐหยิบยกไปพิจารณาไม่กี่เรื่องในจำนวน 28 เรื่องเร่งด่วน โดยยังมีอีกหลายกรณีที่ยังคงถูกปล่อยทิ้งร้าง รอให้หยากไย่ขึ้น
บางเรื่องแม้จะถูกหยิบยกไปพิจารณา แต่ก็ถูกตีตกในที่ประชุม ครม. นั่นคือ กรณีที่พี่น้องชาวอุบลราชธานีเสนอ “ให้รัฐพิจารณาทดลองเปิดเขื่อนปากมูนเป็นเวลา 5 ปี เพื่อคืนวิถีชีวิตของชาวบ้าน” ที่ดูเหมือนจะไม่คืบหน้า
เพราะถูกเตะสกัดจากคนบ้านเดียวกันอย่าง “อิสระ สมชัย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ค้านหัวชนฝาว่า “หากเปิดเขื่อนก็จะทำให้คนอื่นได้รับผลกระทบเช่นกัน”
จึงเป็นที่มาให้เจ้าของเรื่องกลับไปพิจารณาและเสนอกลับเข้าสู่ครม.ใหม่อีกครั้ง !!
การถูกตีตกในชั้นการพิจารณาของครม.ครั้งนี้ แม้จะไม่ผิดคาดไปจากการประเมินของพี่น้องชาวแม่มูนมั่นยืนเท่าใดนัก เพราะจากประสบการณ์การต่อสู้มากว่า 20 ปี สอนให้พวกเขารู้ดีว่า “ไม่มีอะไรได้มาอย่างง่ายดายและบทเรียนการต่อสู่กับรัฐทำให้ชาวบ้านหลายคนแกร่งขึ้นหลายเท่า”
โดย “แม่สมปอง เวียงจันทร์” แกนนำชาวบ้านเขื่อนปากมูล จ.อุบลราชธานี ที่วันนี้เธอไม่ได้เป็นเพียงแกนนำชาวบ้านเท่านั้น แต่เธอยังสวมหัวโขนเป็นกรรมการปฏิรูปที่นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานฯ อีกหนึ่งบทบาท แต่วันนี้แม่สมปองก็สวมหัวใจของความเป็นประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการของรัฐเต็มขั้นและกระโดดเข้าร่วมประท้วงกับพี่น้องคนจนอย่างใจเต็มร้อย
แม่สมปอง บอกว่า เรื่องเขื่อนปากมูนพูดกันมา 20 ปีแล้ว จากข้อโต้แย้งที่ว่า การเปิดเขื่อนถาวรจะทำให้ส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าตอนนี้ก็มีงานวิจัยจาก ม.อุบลราชธานีและหลายองค์กรออกมารองรับแล้วว่า ไม่ส่งผลกระทบ ทุกเรื่องพูดคุยกันเกิดความเข้าใจกันทั้งวงวิชาการและประชาชนจนไม่มีใครติดใจอะไรแล้ว แต่พอเข้าครม.กลับไม่มีมติให้เปิดเขื่อน
“การต่อสู้ของชาวปากมูนถือเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน ผ่านมาแล้ว 12 รัฐบาล ชาวบ้านชุมนุมมาแล้วกว่า 100 ครั้ง แต่ก็ยังไม่เห็นชัยชนะ แม้การต่อสู้จะทำให้หลายคนเกิดอาการท้อถอย แต่พวกเราก็จะไม่กลับบ้าน เพราะครั้งนี้ได้ระดมข้าวปลาอาหารมากันค่อนข้างมาก หากไม่เปิดเขื่อนพวกเราก็จะไม่กลับบ้าน เพราะการไม่เปิดเขื่อน ไม่เพียงแต่ทำลายวิถีชีวิตของพวกเราเท่านั้น แต่ยังทำลายอนาคตของลูกหลานอีกด้วย”แม่สมปอง ประกาศกร้าว
นโยบายการพัฒนาของรัฐส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงเผ่าพันธุ์ของชาวปากมูลอันมีพื้นเพเป็น “คนหาปลา” ถือเป็นวิถีชีวิตที่ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้หลายครอบครัวต้องอพยพเข้ามาเป็นคนจนเมืองและสุดท้ายก็กลายเป็นคนไร้บ้าน
ปัญหาของพี่น้องชาวปากมูนถือเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า รัฐเป็นผู้กระทำต่อชาวบ้านตาดำๆ แม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะไม่ได้เป็นผู้ก่อ แต่ก็ถือเป็น “มรดกบาป” ที่รัฐบาลยุคการปฏิรูปการเมืองอย่าง “รัฐบาลอภิสิทธิ์” จำเป็นจะต้องสะสาง แต่ทว่ารัฐบาลกลับเล่นบทหมาหยอกไก่ ไม่กล้าฟันธงแก้ไขปัญหาดังกล่าว !!
คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องร้อนๆ ของประชาชนที่รอคิวเข้าสู่การพิจารณาอีกหลายเรื่อง อาทิ การจ่ายค่าชดเชยให้กับชาวบ้านจำนวน 22 คนที่เป็นผู้เดือดร้อนจากกรณีให้ออกจากพื้นที่ป่าบ้านห้วยหวาย อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์, การตรวจสอบถอนแปลงเอกสิทธิ์ที่ออกโดยมิชอบบริเวณหนองปลาสวายจำนวน 15,000 ไร่ใน อ.บ้านโฮ่ง-เวียงหนองล่อง จ.ลำพูน, กรณีการพิสูจน์สิทธิ์กรณีการประกาศแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยแก้วทับที่ดินชาวบ้านบ้านโป่ง ต.แม่แฝก อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ฯลฯ คงไม่ได้รับการแก้ไขเช่นเดียวกัน
เพราะขนาดเรื่องที่เห็นกันอยู่ว่า ควรมีบทสรุปเช่นไร เนื่องจากมีข้อเสนออย่างเป็นรูปธรรมและมีทางออกชัดเจน แต่รัฐบาลกลับก็ไม่กล้าเดินเครื่องแก้ไขปัญหา
นี่จึงอาจเป็นเหตุผลให้การชุมนุมของชาว ขปส. ยืดเยื้อและยาวนาน โดย “กันยา ปันกิติ” ตัวแทนเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่รัฐประกาศพื้นที่ทับที่ดินอันเป็นผืนดินจำนวน 31 ไร่ อันเป็นที่ดินมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษให้กับอุทยานเขาปู่เขาย่า อ.รัษฎา จ.ตรัง
เธอประกาศว่า แม้เราจะไม่ได้คาดหวังว่ารัฐบาลชุดนี้จะช่วยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็คิดว่าเขายังเห็นหัวคนจนอยู่ ซึ่งเราจะอยู่ชุมนุมจนกว่ารัฐบาลจะแก้ไขปัญหาให้ เราจะไม่กลับบ้านมือเปล่า เพราะกลับไปก็ไม่ที่ให้อยู่และอาจจะถูกจับด้วย
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้หลายคนประกาศจะปักหลักชุมนุมยืดเยื้อ แม้ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้องหรือแดดร้อนกว่านี้หลายเท่า พวกเขาก็ประกาศว่า จะยังคงยึดพื้นที่ลานพระรูปทรงม้าเป็นหลักชัยเพื่อเคลื่อนไหวให้ปัญหาที่ถูกกดทับอยู่ถูกแก้ไขให้ลุล่วง โดยเฉพาะการคืนสิทธิในที่ดินทำกินและการคืนวิถีชีวิตของคนในชุมชนที่ควรจะเป็นของคนพื้นถิ่นได้อยู่ทำกิน อันเป็นสิทธิที่ควรมีควรได้ของพวกเขาอยู่แต่เดิม