- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ทำไมต้องคิดเรื่อง “จังหวัดจัดการตนเอง”
ทำไมต้องคิดเรื่อง “จังหวัดจัดการตนเอง”
ปัจจุบันสังคมไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ประชาชนแบ่งแยก แตกออกเป็นฝ่ายต่างๆ แต่ละฝ่ายก็เรียกร้อง และหยิบเรื่องความไม่เป็นธรรม ความไม่เท่าเทียม ไม่เสมอภาค ขึ้นมาเป็นประเด็นการเคลื่อนไหว
ปรากฏการณ์ ที่ผ่านมา มีการระดมประชาชนจากทุกภาคของประเทศ เข้ามาร่วมชุมนุม จนเรียกได้ว่า ถนนทุกสาย “มุ่ง” หน้าสู่ทำเนียบรัฐบาล จุดศูนย์รวมอำนาจในการบริหารประเทศ
ยิ่งหากไล่ดูจะพบตัวเลขที่น่าตกใจ การชุมนุมประท้วงเกิดขึ้นถี่ มีทุกปี และปีหนึ่งๆ ก็มีหลากหลายเดือน ไม่ว่าจะเป็นเดือนเมษายน พฤษภาคม ตุลาคม จนต้องจดสถิติบันทึก
ประเทศไทยมีการประท้วงปีละไม่ต่ำกว่า 5,000 ครั้ง
หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมปัญหาการเมืองไทย จึงแก้ไม่ตกสักที
ประเด็นนี้ ภาคประชาสังคมหลายจังหวัด เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา สงขลา อำนาจเจริญ เลย ขอนแก่น ปราจีนบุรี ฯลฯ ได้ให้ความสนใจ พยายามค้นหาแนวทางเพื่อหลุดออกจากปัญหา จนพบสภาพปัญหาที่ประเทศเรากำลังเผชิญอยู่นั้นมี “รากเหง้า” มาจาก วิธีคิดแบบรวมศูนย์อำนาจ รัฐมีอำนาจมากเกินไป ทำให้ใช้อำนาจไปจัดการเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ทรัพยากร การศึกษา วัฒนธรรมท้องถิ่น โดยที่ท้องถิ่นไม่มีส่วนร่วม หรือมีก็น้อยมาก
และเป็นมูลเหตุ ที่มาของข้อเสนอ “จังหวัดจัดการตนเอง”
ความหมาย “จังหวัดจัดการตนเอง” ไม่ใช่การแบ่งแยกดินแดน หรือการแยกประเทศใหม่ แต่คือการทำให้ความเป็นรัฐบาลกลางเล็กลง ทำให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการจัดการตนเองมากขึ้น คนในจังหวัดสามารถกำหนดทิศทาง
การพัฒนา การบริหารงบประมาณ เช่น การจัดเก็บภาษี การใช้งบประมาณ การต่อรองการค้าระหว่างประเทศ
ยกตัวอย่าง เช่น จังหวัดเชียงใหม่ มีลำไย ก็สามารถเจรจาซื้อขายกับประเทศจีน หรือประเทศอื่นๆ ได้เอง โดยไม่ต้องรอรัฐบาลกลางไปเจรจาให้ ซึ่งนอกจากจะล่าช้าแล้วยังไม่ตรงกับความต้องการ
คาดจว.มีงบฯ 1.3 หมื่นล้าน
“มีจังหวัดจัดการตนเอง ไม่ได้หมายความว่า หน่วยงานส่วนกลางจะหายไป” ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายให้เข้าใจ
พร้อมกับยืนยันแนวคิดข้างต้นว่า เรายังมีผู้ว่าราชการจังหวัด มีสำนักงานของผู้ว่าราชการจังหวัด แต่บุคลากรจะเหลือน้อยลง เพราะบรรดาหัวหน้าส่วนราชการ ไปอยู่จังหวัดจัดการจนเองแล้ว
“ผู้ว่าราชการจังหวัด ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลกลาง ประสานงานนโยบายกับจังหวัดและท้องถิ่น กำกับท้องถิ่น หน่วยงานส่วนกลางที่ยังคงมีอยู่ เช่น ศาล อัยการ เรือนจำ สรรพากร สรรพาสามิต ป.ป.ช. ทำหน้าที่ในนามรัฐบาล”
ส่วน อำนาจหน้าที่ จังหวัดจัดการตนเอง ทำทุกเรื่องตั้งแต่การส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การจ้างงาน หมายความว่า ราคาสินค้า ข้าว การลงทุน การไม่มีงานทำ จังหวัดจัดการได้แล้ว
ประเด็นนี้ อาจารย์จรัส เห็นว่า อีกภาระหน้าที่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องเป็นผู้ส่งเสริมการลงทุนด้วย ไม่ใช่ทำหน้าที่เพียงให้ใบอนุญาต โดยต้องหานักลงทุน สร้างกลไกลส่งเสริมการลงทุนแบบที่อยากได้ โดยเฉพาะเรื่องการคลัง ถ้าท้องถิ่นไม่ทำอะไรเลยก็จะไม่มีฐานของภาษี เพราะเศรษฐกิจเป็นที่มาของภาษี ดังนั้น จังหวัดจัดการตนเองต้องพึ่งการคลังของตัวเองให้เป็นหลักก่อน
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นั่งคิดตัวเลขแบบเหนียมๆ หากมีการโอนงบประมาณที่ให้กับกระทรวง ทบวง กรม ลงไปที่จังหวัดโดยตรง จังหวัดหนึ่งๆ จะมีงบฯ 13,000 ล้านบาทต่อปี แหล่งรายได้หลักมาจากเงินภาษี และเงินปันผลจากการลงทุน โดยเฉพาะรายได้จากภาษีบุคคลธรรมดา 10 % แรก นำมาลงที่จังหวัด กับภาษีเงินได้นิติบุคคล 5% นำมาลงที่จังหวัด
“ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่างน้อยสุดทุกๆ ท้องถิ่นต้องมีหน้าที่ส่งเสริมการลงทุน และการจ้างงาน ส่งเสริมอาชีพพื้นฐาน ให้คนมีงานทำด้วย เพื่อเป็นฐานรายได้ของท้องถิ่น มิเช่นนั้น ท้องถิ่นจะไม่มีรายได้”
ตำรวจ ประปา ไฟฟ้า เป็นของจังหวัด
การคิดเรื่องการปกครองตนเองระดับพื้นที่ จังหวัดจัดการตนเอง มีสิ่งที่อาจารย์จรัส บอกว่า ฝันและอยากเห็น คือ
“ตำรวจเป็นของจังหวัด” เหมือนประเทศญี่ปุ่น
“ประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์” ให้จังหวัดร่วมทุน กับรัฐวิสาหกิจเหล่านี้
“สภาจังหวัด” ที่มีความหลากหลาย มีสมาชิกประมาณ 50 คน โดย 2 ใน 3 เป็นตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับล่าง อีกประมาณ 1 ใน 3 เป็นตัวแทนขององค์กรชุมชน แทนผ่านกระบวนการเลือกตั้งเดี่ยว
“ผู้ว่าการจังหวัด” เป็นคำที่ตั้งขึ้นมาให้ต่างจากผู้ว่าราชการจังหวัด โดยมาจากการเลือกตั้งโดยตรง
“ปลัดจังหวัด” ไม่ใช่ความหมายปลัดจังหวัดในสังกัดกระทรวงมหาดไทย แต่ทำหน้าที่เหมือนปลัดอบต. ปลัดเทศบาล หัวส่วนข้าราชการประจำจังหวัด
ข้อเสนอทั้งหลาย ที่อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ทดลองคิด จังหวัดจัดการตนเอง มีเหตุมีผล เพราะได้เห็นแล้วว่า การกระจายอำนาจภายใต้โครงสร้างเดิม ใกล้ถึงทางตันแล้ว
ต้องสู้ วิธีคิดแบบท้องถิ่นจัดการตนเอง
“การปฏิรูปประเทศ หากไม่ลงไปแตะเรื่องโครงสร้างอำนาจ ก็จะเป็นแค่ปฏิโลม ลูบๆ คลำๆ ดังนั้นต้องไปจัดการโครงสร้างอำนาจ ให้ประชาชนทุกจังหวัดต้องลุกขึ้นมาพูดเรื่องนี้ หางานวิชาการ หาข้อมูลจากต่างประเทศมาประกอบ”
ในมุมองของ “สวิง ตันอุด” ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการทางสังคม และสมาชิกสภาพัฒนาการเมือง ย้ำชัดว่า วันนี้ต้องสู้กัน สำหรับวิธีคิดแบบท้องถิ่นจัดการตนเอง ด้วยกฎหมายกว่า 1,000 ฉบับ เขียนมาเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับส่วนกลางทั้งสิ้น ครอบประชาชน เหมือนประชาชนถูกสุ่มมาครอบตลอด
การปฏิบัติการจังหวัดจัดการตนเอง ที่ “สวิง” อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ผู้ที่เคยขอให้ตัดคำว่า ภูมิภาค ออกจากรัฐธรรมนูญ เปรียบเหมือนการ "ปิ้นสุ่ม" หรือหงายสุ่มนั่นเอง
เป็นเรื่องที่มากกว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ โดยให้แต่ละจังหวัดลุกขึ้นมาประกาศจังหวัดจัดการตนเอง ปฏิรูปประเทศไทย
“ท้องถิ่นต้องใหญ่ ต้องจัดการตนเอง ส่วนกลางเป็นฝ่ายสนับสนุนดีที่สุด”
งบฯ กว่า 2 ล้านล้าน อยู่ในกำมือส่วนกลาง
สำหรับความไม่เป็นธรรมด้านการจัดสรรทรัพยากร และการจัดสรรงบประมาณแบบรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง สิ่งที่สมาชิกสภาพัฒนาการเมืองท่านนี้ ชี้ให้เห็น คือ
“ภาษีส่วนใหญ่ถูกเก็บจากท้องถิ่นไปให้ส่วนกลาง งบประมาณของประเทศไทยกว่า 2 ล้านล้านบาท ตกอยู่ในกำมือของส่วนกลางทั้งหมด ขณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แทนที่จะได้รับการสนับสนุน 35% ตามรัฐธรรมนูญ กลับได้เพียงประมาณ 25% เท่านั้น”
พร้อมกันนี้ เขายังเชื่อว่า ไม่ว่ารัฐบาลไหน นักการเมืองคนใด ก็ต้องการนโยบายประชานิยม ประชาวิวัฒน์ ต้องการซื้อเสียงล่วงหน้า และมีธงใบเดียว คือ ธงแห่งอำนาจ และงบประมาณกว่า 2 ล้านล้านบาท อีกทั้ง นักการเมืองรู้ว่า จะเข้ามาคุมธงนี้อย่างไร
เมื่องบประมาณรวมศูนย์ อำนาจรวมศูนย์ ในฐานะคนเชียงใหม่อย่าง “สวิง” โชว์ตัวเลขว่า เชียงใหม่เก็บภาษีได้ 150,000 ล้านบาท แต่ได้รับกลับมาเพียง 40,000 ล้านบาทเท่านั้น
กลับกันอย่างสิ้นเชิงกับทั่วโลก ที่ท้องถิ่นเก็บภาษี แล้วแบ่งภาษีให้กับส่วนกลาง แต่บ้านเรา ส่วนกลางเก็บภาษี จากนั้นนำมาเจียดให้ท้องถิ่น
รวมศูนย์ -โครงสร้างแห่งความรุนแรง
ทั้งนี้ เขาย้ำว่า ทั้งเรื่องเงิน เรื่องหลักคิด กอรปกับโครงสร้างแบบรวมศูนย์ ได้ก่อรูปกลายโครงสร้างแห่งความรุนแรง เกิดปะทะกันได้ง่ายขึ้น ก่อนจะยกตัวเลขการประท้วงหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ย้อนไปเมื่อปี 2552 เกิดการประท้วงถึง 66 ครั้ง
“การประท้วงทั้งหมด จังหวัดจัดการไม่ได้เลย เป็นไปรษณีย์ส่งต่อเรื่อง หอบสารพัดปัญหามากองรวมไว้ที่ส่วนกลาง” ดังนั้น สวิง มองว่า ต้องทำให้ศูนย์กลางมีความหมายน้อยลง และความขัดแย้งต่างๆ ก็จะลดลง
กรณีฟุตบอลไทยเข้ากันได้ดีกับหลักคิดจังหวัดจัดการตนเอง ผอ.สถาบันการจัดการทางสังคม หยิบยกขึ้นมาเป็นกรณีศึกษาไว้ อย่างน่าสนใจ...
ที่จากเมื่อก่อนการจัดการฟุตบอลอยู่ที่สโมสรส่วนกลาง นักเตะดูกันเอง คนดูโหรงเหรง แต่วันนี้กลับกลายเป็นว่า ให้ท้องถิ่นทำเรื่องฟุตบอล การจัดการทำให้เกิดการมีส่วนร่วม พลิกกลับ ฟุตบอลเป็นที่นิยมอีกครั้ง
แม้จะตีกันบ้าง ก็ยังแสดงถึงสัญลักษณ์ที่ดี เพราะคนรู้สึกในความเป็นเจ้าของ นี่คือรูปธรรม กีฬาแค่ 2 ปีเห็นผล
น่าคิดว่า “จังหวัดจัดการตัวเอง” จะเร็วขนาดไหน…?