- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- สัญญาณ"ประชาธิปัตย์"ขจัดเหลื่อมล้ำสุขภาพ ความหวังในสายลม ?
สัญญาณ"ประชาธิปัตย์"ขจัดเหลื่อมล้ำสุขภาพ ความหวังในสายลม ?
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อประเด็นความเหลื่อมล้ำในระบบหลักประกันสุขภาพที่เกิดขึ้นอย่างเซ็งแซ่ร่วม 2 เดือนที่ผ่านมา ได้ตกผลึกกลายเป็นความเข้าใจและการยอมรับร่วมกันของสังคมแล้วว่า มี “ความเหลื่อมล้ำ” ตั้งอยู่จริง
นั่นเพราะการชำแหละสิทธิประโยชน์ระหว่าง ระบบประกันสังคม ภายใต้การบริหารจัดการของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน กับ ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ซึ่งมีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นผู้ดูแล ถูกตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าผ่านสื่อมวลชนหลากหลายแขนงด้วยการเปรียบเทียบชนิด “สิทธิต่อสิทธิ”
อีกทั้ง “ประสบการณ์ตรง” ของผู้ใช้บริการ ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจนยากที่จะหาบาลีเลี่ยงได้!
นาทีนี้ ชุดความจริงที่เป็นผลมาจากงานวิจัยของนักวิชาการเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขกลาย เป็นที่รับรู้ในวงกว้างด้วยมิติที่ว่า ระบบบัตรทองซึ่งมีผู้ใช้สิทธิราว 48 ล้านคน และรัฐบาลเป็นผู้อุดหนุนงบ 100% กลับได้รับ “สิทธิประโยชน์เหนือกว่า” ระบบประกันสังคมที่ปัจจุบันมีผู้ประกันตนประมาณ 9.6 ล้านคนและต้องควักกระเป๋าจ่ายเอง
ความเข้มข้นของข้อเรียกร้องจากซีกผู้ประกันตนเพื่อทวงถามความเป็นธรรม สอดรับด้วยการเคลื่อนไหวของกลุ่มแรงงานและนายจ้าง เป็นเหตุให้ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องสั่งการด่วนใน 2 ประเด็น
1.ให้สปส.และสปสช.ร่วมหารือเพื่อ “เปิดช่อง” ให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ระบบประกันสังคมต่อ ไปหรือเปลี่ยนมาใช้บัตรทอง โดยแนวทางนี้จะต้องพิจารณาที่ข้อกฎหมาย
2.ให้สปสช.ศึกษาตัวเลขว่าภาครัฐจะต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้นเท่าใดหากโอนผู้ประกันตน 9.6 ล้านคนเข้ามาในระบบจริง
หากมองในแง่บวกถือเป็น “สัญญาณ” เพื่อ ปฏิรูประบบหลักประกันสุขภาพอย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรกจากฝ่ายการเมือง แต่ทว่าบัญชาของนายกฯ ในครั้งนี้หาได้มีกรอบระยะเวลาที่แน่ชัด หรือมีการกำหนดบทบาทต่อหน่วยงานทั้ง 2 เพื่อปฏิบัติแต่อย่างใด
ทำให้คิดได้ว่า ... เป็นเพียงการออก “แอคชั่น” หวังโหนกระแสเท่านั้นหรือไม่
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.แรงงาน ในฐานะต้นสังกัดของ สปส. แสดงท่าทีตอบรับนโยบายเร่งด่วนว่า พร้อมจะแก้กฎหมายเพื่อเปิดทางเลือกให้ไวที่สุดและกระทรวงแรงงานก็สามารถแก้กฎหมายได้ทันที แต่ต้องกลับไปถามว่าสปสช.พร้อมจะแก้ไปด้วยกันหรือไม่ เพราะหากดำเนินการพร้อมกันคงใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือนจะแล้วเสร็จ
“ผมไม่มีปัญหา คิดว่าแก้เพียงหนึ่งหรือสองมาตราให้ตรงกันก็จบคงใช้เวลาไม่น่าเกิน 2 เดือน แต่ต้องชัดเจนว่าแก้ไขเรื่องสิทธิผู้ประกันตนเท่านั้น ถ้าไปแก้แฝงตรงอื่นก็คงไม่จบ” เจ้ากระทรวงแรงงานให้ความมั่นใจ
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานเตรียมทำหนังสือถึงคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ตีความและพิจารณาพ.ร.บประกันสังคม พ.ศ.2533 และพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 เพื่อหาช่องในการแก้ไขครั้งนี้ด้วย โดยตามขั้นตอนแล้ว หากคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่ามีช่องโดยไม่ต้องแก้กฎหมายก็จะให้คณะกรรมการของทั้ง 2 ระบบมาหารือในรายละเอียด แต่ถ้าตรงกันข้ามคือไม่สามารถดำเนินการได้ก็จะต้องแก้กฎหมายทั้ง 2 ฉบับ
ถอดรหัสความข้างต้นนัยว่า เป็นเพราะสปสช.ไม่ให้ความร่วมมือจึงดำเนินการไม่ได้ทั้งๆ กระทรวงแรงงานพยายามถึงที่สุดแล้ว
พลันที่กระทรวงแรงงานแสดงจุดยืนต่อสาธารณชน เกิดเป็นคำถามพุ่งเป้าไปยังรมว.สาธารณสุข (สธ.) ด้วยสมมุติฐานอุปสรรคของการแก้ไขปัญหา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการสปสช. (บอร์ดสปสช.) ยืนยันชัดถ้อยชัดคำว่า การ แก้กฎหมายควรเริ่มต้นที่กระทรวงแรงงานและหากกระทรวงแรงงานมีความเห็นอย่าง เป็นทางการมาแล้วมีส่วนเกี่ยวข้องกับสธ.หรือสปสช.ก็พร้อมนำเข้าสู่การ พิจารณา
“ไม่อยากให้เกิดประเด็นว่าสปสช.ไปแย่งงานสปส.หรือกระทรวงแรงงานทำ ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาโดยไม่จำเป็น” คือเหตุผลของรมว.สาธารณสุขพรรคประชาธิปัตย์
ท่าทีของเจ้ากระทรวงหมอรายนี้ ชัดเจนว่าได้ “โยนเผือกร้อน” กลับไปยังกระทรวงแรงงานอีกครั้ง แม้นายจุรินทร์จะยืนยันว่าไม่ได้เป็นการโยนไปมาก็ตาม
มองในมุมแคบ ... เป็นเพียงการปัดความรับผิดชอบโดยการโบ้ยความผิดให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง พิเคราะห์ลึกลงไป ... เป็นไปได้ว่าบุคคลจากพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสองเลือกที่จะ “ยื้อเวลา” เพราะกลัว “เปลืองตัว” ก่อนการเลือกตั้ง เนื่องจากหากตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใดไปแล้ว ย่อมเกิดผลต่อประชาชน 9.6 ล้านคน และหมายถึง 9.6 ล้านคะแนนเสียงด้วย
หากข้อสังเกตข้างต้นเป็นจริง เมื่อสังคมรู้เท่าทันและเพิ่มระดับการกดดันจะเห็นมาตรการแก้ปัญหาของพรรคประ ชาธิปัตย์เป็นไปในลักษณะตั้งคณะกรรมการศึกษา ตั้งคณะกรรมการระหว่างสองระบบร่วมศึกษา ยื่นขอความเห็นข้อกฎหมายจากคณะกรรมการกฤษฎีกา ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าจะทอดเวลาออกไปจนถึงวันประกาศยุบสภาได้โดยไม่มีทางจะจวนตัว
แต่ในทางกลับกัน หากพรรคประชาธิปัตย์ “จริงใจ” ต่อการแก้ปัญหา ระยะเวลาเพียง 1 – 2 เดือนก็สามารถคลายปมความเหลื่อมล้ำได้อย่างง่ายได้ นั่นเพราะ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 มาตรา 10 ได้ “แผ้วถางทางออก” ไว้เป็นตัวเลือกหนึ่ง
มาตรา 10 ระบุว่า ขอบเขตของสิทธิรับบริการสาธารณสุขของผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม การขยายบริการสาธารณสุขตามพ.ร.บ.นี้ (พ.ร.บ.สปสช.) ไป ยังผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคมให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการและคณะ กรรมการประกันสังคมตกลงกัน ... และเมื่อตกลงกันแล้วให้คณะกรรมการเสนอรัฐบาลเพื่อตราพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะ เวลาการเริ่มให้บริการตาม พ.ร.บ.แก่ผู้มีสิทธิดังกล่าว
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการ สปสช. บอกว่า หากเลือกใช้แนวทางตามมาตรา 10 ก็คงไม่ต้องแก้กฎหมาย
นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ โฆษก สปสช. สำทับความเป็นไปได้ด้วยตัวกรณีการขยายสิทธิให้บิดามารดาของครูเอกชนว่า เดิมที บิดามารดาของครูเอกชนที่ไม่สามารถใช้บัตรทองได้ เนื่องจากได้รับสิทธิประกันตนจากลูก แต่เมื่อเกิดข้อร้องเรียนว่าค่ารักษาพยาบาลของบิดามารดาสูงเกินวงเงินที่ สมาคมครูเอกชนรับได้ จึงมีการเสนอให้ใช้ช่องทางมาตรา 10 โดยให้คณะกรรมการสปสช.หารือกับคณะกรรมการสมาคมครูเอกชน จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสิทธิของบิดามารดามาเป็นบัตรทอง
นั่นหมายความว่า หากรัฐมนตรีทั้ง 2 คือ เฉลิมชัย ในฐานะต้นสังกัดของ สปส. และจุรินทร์ ในฐานะประธานบอร์ดสปสช. สั่งการเชิงนโยบายให้บอร์ดทั้ง 2 ระบบ ร่วมหารือกันเพื่อทำข้อตกลงขยายสิทธิให้ผู้ประกันตน จากนั้นก็ชงเรื่องไปยังครม.เพื่อออกเป็นพระราชกฤษฎีกา ปัญหาเรื่องนี้ก็จะยุติลงอย่างรวดเร็ว
นิมิตร์ เทียนอุดม เลขาธิการชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน มองปรากฎการณ์เตะถ่วงที่เกิดขึ้นว่า สองกระทรวงที่เกี่ยวข้องอยู่ภายใต้พรรคประชาธิปัตย์ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในการแก้ปัญหาอย่างจริงใจ พบเพียงการโยนลูกไปมา สะท้อนให้เห็นถึงความไม่กล้าที่จะตัดสินใจเดินหน้านโยบาย
นิมิตร์ ตั้งคำถามว่า พรรคประชาธิปัตย์กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีกว่าหรือไม่ เพราะปัญหาสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์คือไม่มีความกล้าหาญ ลอยตัวเหนือปัญหา ประคองตัวให้รอด ด้วยวิธีคิดเหล่านี้ประชาชนจึงไม่เคยเห็นนโยบายอะไรของพรรคประชาธิปัตย์ที่ โดดเด่นและสร้างความประทับใจให้กับสังคม
“นี่เป็นโอกาสดีของพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากพลาดเรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรคมาแล้วครั้งหนึ่ง ก็จะรอดูว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเอาหรือไม่” ตัวแทนผู้ประกันตนระบุ
ความหวังอันเลือนลางที่ผู้ประกันตนฝากฝังไว้กับรัฐบาลประชาธิปัตย์ จะยิ่งทอดยาวไกลออกไปในสายลม หาก 2 รัฐมนตรียังไม่หยุดทำงานสนอง “การเมือง” เพียงอย่างเดียว
แก้ กม.ประกันสังคม ง่ายนิดเดียว แนวทางการลดความเหลื่อมล้ำในระบบหลักประกันสุขภาพที่สามารถทำได้รวดเร็วที่สุดคือ ช่องทางตามมาตรา 10แห่งพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พ.ศ.2545 แต่หากเป็นไปตามที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รวม.แรงงานระบุไว้ว่าจะเลือก “แก้กฎหมาย” นั้น นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ สาธารณสุข เสนอความคิดเห็นไว้อย่างน่าสนใจ คือหากแก้ พ.ร.บ.ประกันสังคมที่ปัจจุบันให้สิทธิประโยชน์ 7 ประการ ให้ลดลงเหลือเพียง 6 ประการ โดยตัดส่วนการรักษาพยาบาลออกไปก็จะทำให้ภาครัฐต้องกลับมารับผิดชอบดูแลการรักษาพยาบาลให้ประชาชน ตรงนี้จะทำให้ความเหลื่อมล้ำหมดไปได้ทันที |