- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- แหวกกระแสเกษตรสมัยใหม่ ‘ร.ร.ชาวนา’ ความมั่นคงทางอาหารของชุมชน
แหวกกระแสเกษตรสมัยใหม่ ‘ร.ร.ชาวนา’ ความมั่นคงทางอาหารของชุมชน
ขณะที่สังคมเมืองกำลังถกกันเรื่องปากท้อง ของแพง เงินเดือนน้อย สวัสดิการไม่ดี เกษตรกรหลายท้องที่กำลังนั่งหลังสู้ฟ้า หน้าสู้คอนกรีตอยู่ตามท้องถนน ด้วยเพราะแก้ปัญหาไม่ตกเรื่องความอยู่รอด และทิศทางการเกษตรไทยที่ไม่ได้รับการดูแลปัญหาส่วนหนึ่ง เพราะสู้ราคาทุนที่ต้องลงไปกับปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ค่าจ้างแรงงานเกษตรไม่ไหว ที่สำคัญ คือ สู้ราคารักษาชีวิตตนเองและครอบครัวจากผลของเกษตรสมัยใหม่ไม่ได้
ไม่นานมานี้ มีโอกาสสั้นๆ พูดคุยกับผู้นำ อบต. ท่านหนึ่ง ที่เคยผ่านเหตุการณ์ดังกล่าว ด้วยการสร้างความเข้มแข็งของคนในชุมชน ร่วมกันฝ่าวิกฤติเกษตรสมัยใหม่ ด้วยการสร้างการเรียนรู้จนเกิดความมั่นคงในทุกด้านของชุมชนจนสำเร็จ และเข้มแข็ง แต่จะด้วยวิถีทางอย่างไรนั้น คงต้องศึกษาจากการถอดบทเรียน ต่อจากนี้ ..
“เมื่อก่อนตอนเด็กๆ หมู่บ้านผมและละแวกใกล้เคียงมีความอุดมสมบูรณ์มาก เวลาฝนตกก็ไปจับกบ มีสัตว์ มีพันธุ์ไม้อุดมสมบูรณ์ แต่ในปี 2546 – 2547 ท้องถิ่นบ้านเกิดของผมเต็มไปด้วยสารเคมี เพราะการแก้ปัญหาไม่ถูกต้อง ช่วงที่มีหอยเชอรี่เข้ามากินข้าวในท้องนา รัฐก็ให้สารเคมีมาใช้ แต่ผลที่ได้คือ นอกจากหอยเชอรี่จะตายแล้ว สิ่งแวดล้อมกลับเสียไปด้วย กบ เขียด งู แค่เลื้อยผ่านก็ตายแล้ว ชาวบ้านเองก็สุขภาพย่ำแย่ บางรายถึงขั้นเสียชีวิต สัตว์น้ำที่เคยมีอย่าง ปลาหลด ปลากระทิงก็ตายไปหมด วิถีชีวิตของชาวอุทัยเก่าก็หายไป”
เวลานั้น ผมและคนในชุมชนส่วนหนึ่ง เริ่มคิดกันว่า จะต้องลุกขึ้นมาทำอะไรกันสักอย่างแล้ว …
‘ธาดา อำพิน’ นายกอบต.อุทัยเก่า อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี เล่าถึงยุควิกฤติการเกษตรที่ชาวอุทัยเก่าประสบภายหลังที่เขาเรียนจบด้านบริหารจัดการเกษตรโดยตรงจากประเทศญี่ปุ่น
กลับมาพบว่า ผืนดินบ้านเกิดที่เขาและครอบครัวรัก บัดนี้สิ้นซากไปด้วยการทำลายล้างของสารเคมี และเทคโนโลยีการเกษตรที่ล้ำสมัย เกษตรกรหนุ่มรุ่นใหม่เลือดอุทัยเก่าจึงรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ‘จิตอาสา’ ประมาณ 30 คน แหวกกระแสเกษตรสมัยใหม่ ย้อนรอยวิถีเกษตรแบบเก่า ด้วยแนวคิด
“ไม่ใช้สารเคมีก็อยู่ได้” ศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ “โรงเรียนชาวนา” จึงก่อตัวขึ้นบนพื้นที่ 50 ไร่ของครอบครัว
“ก่อนที่จะชักชวนให้ชาวบ้านมาร่วมแนวคิดกับเรา จะต้องทำให้เขาเห็นก่อน”นายกอบต.อุทัยเก่า เล่าต่อถึงช่วงแรกที่คิดริเริ่ม ชาวบ้านไม่มีใครเอาด้วยสักคน
บางคนก็หาว่าเขาบ้าที่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาปลูกต้นไม้ และทำเกษตรด้วยมือตัวเองล้วนๆ จากนั้น ทางกลุ่มจิตอาสาจึงเริ่มหาวิธีให้ชาวบ้านรู้สึกว่า ธรรมชาติกลับมาแล้ว ในขณะนั้นเขามีตำแหน่งสมาชิกสภา อบต. จึงสามารถนำงบประมาณบางส่วนมาซื้อปลาปล่อยสู่ธรรมชาติจำนวน 5,000 ตัว พอปลาว่ายหลุดไปตามช่องทางสู่แปลงนาอื่น ชาวบ้านจึงเริ่มเห็นว่า ปลากลับมาแล้ว เริ่มตื่นตัวบ้าง แต่กระนั้น ก็ยังไม่ให้ความร่วมมือเท่าใดนัก
จุดเปลี่ยน..
เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่อยู่ๆ จะลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนทัศนคติของคนทั้งตำบล นายกอบต.อุทัยเก่า บอกถึงความพยายาม กว่าจะรวบรวมสมัครพรรคพวกเป็นกำลังที่แข็งขันได้อย่างทุกวันนี้ ต้องใช้เวลาพอสมควร ไหนจะมีจุดเปลี่ยนจุดเดียวที่พิสูจน์ให้ชาวบ้านเห็นชัด และปรับทัศนคติได้ทันที คือ การส่งอาสาสมัคร (อสม.) เข้าไปตรวจสุขภาพ และสารพิษตกค้างในเลือดของชาวบ้าน ซึ่งทำให้ชาวบ้านได้รู้ว่า ตนเอง และคนในครอบครัวมีเลือดดำ
“ตอนนั้นชาวบ้านเริ่มกลัว เพราะไม่ว่าเขาจะมีเงินทอง ร่ำรวยแค่ไหน แต่พอรู้ว่าชีวิตตนเองกำลังเสี่ยงกับอันตรายชาวบ้านจะรู้สึกว่าต้องตายแน่ๆ ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การตรวจเลือดจึงเป็นกลวิธีที่ง่าย และเร็วที่สุด โดยไม่ต้องอธิบายหรือโน้มน้าวอะไรเลย"
พร้อมกันนี้ เขายังยกตัวอย่างคนในหมู่บ้านให้ฟังว่า มีลุงคนนึ่ง ลูกชายอยู่ฝรั่งเศส ส่งเงินมาให้ใช้อย่างสบาย แต่ลุงกลับมีเลือดดำ เพราะซื้อผัก ข้าว และอาหารจากตลาดมากิน
สิ่งนี้เองทำให้ทางกลุ่มจิตอาสา จึงวิเคราะห์กันว่า อาหารจากท้องตลาดไม่ปลอดภัยแล้ว เลยสนับสนุนให้ชาวบ้านปลูกผัก และเลี้ยงสัตว์กินเอง เป็นโครงการ “ตู้เย็นข้างบ้าน” โดยให้ชาวบ้านขุดหลุมกว้าง 2 เมตร ยาว 2 เมตร ปักหลัก 4 หลัก และทาง อบต. สนับสนุนตาข่าย เมล็ดพันธุ์ และจุลินทรีย์ที่ทางกลุ่มผลิตขึ้นมาให้ชาวบ้าน
สุดท้ายผลผลิตก็เหลือกินเหลือใช้ นอกจากนำไปขายมีรายได้แล้ว ยังสามารถนำมาแบ่งปันกันระหว่างครัวเรือนได้ด้วย กลายเป็นอาชีพหลักของชาวอุทัยเก่า ที่ตี 3 ของทุกวันจะพบเห็นชาวบ้านขี่ซาเล้งบ้าง สามล้อบ้าง ขนผัก ผลไม้ไปขายที่ตลาด บรรยากาศเหมือนย้อนไปมีวิถีชีวิตแบบเก่า ตอนนี้เองที่ชาวอุทัยเก่าเริ่มรวมตัวกันอย่างแข็งขัน ทำให้ “โรงเรียนชาวนา” มีรูปแบบที่ชัดเจนมากขึ้น
ถอดบทเรียนการปฏิบัติ (เก่า) สู่ การจัดองค์ความรู้ (ใหม่)
แม้แนวคิดสร้าง ร.ร.ชาวนา จะก่อตัวขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 แต่กว่าจะแล้วเสร็จและเป็นรูปเป็นร่างก็เข้าปี พ.ศ. 2547 นับนิ้วเล่นๆ ก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่กว่า 7 ปี
แต่ภายหลังที่ชาวนาเริ่มมองเห็นความแตกต่างระหว่างการทำนาแบบอิงการใช้สารเคมี กับการทำนาแบบอินทรีย์ที่พึ่งพาธรรมชาติเป็นหลักแล้ว ร.ร.ชาวนา จึงเริ่มต่อยอดโดยการจัดองค์ความรู้ทั้งเก่าและใหม่ในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตร วัฒนธรรม ความเชื่อ วิถีปฏิบัติของชาวนาแต่เก่าก่อนมาเป็นฐานราก และนำผลการเรียนรู้ที่ได้จากแหล่งอื่นๆ มาเสริมและต่อยอด เกิดเป็น “หลักสูตรโรงเรียนชาวนา”
“หลักสูตรต่างๆ ในโรงเรียนชาวนา ผมและกลุ่มจิตอาสาเป็นผู้คิดค้นกันเอง ด้วยแนวคิดที่ต้องการพึ่งตนเองให้ได้มากที่สุด ทำอย่างไรจะทดแทนสิ่งที่เราต้องไปซื้อได้ ลดต้นทุนได้ ส่วนไหนสามารถทำได้เอง” ธาดา อธิบายอย่างภาคภูมิใจ
หลักสูตรโรงเรียนชาวนา มีกระบวนการเรียนรู้ ก่อนทำ ระหว่างทำ และหลังทำเป็นตัวชี้วัดผลที่ได้ตลอดทั้งกระบวนการ
โดยที่ก่อนจะลงทุน ลงแรงทำการเกษตร จะต้องตั้งวงคุยกันก่อนว่า ต้นทุนที่ใช้เท่าไหร่ ทำอย่างไรจะสามารถลดต้นทุนลงได้
ในระหว่างทำก็จะต้องพยายามคิด ทดลองปรับเอาผลผลิตในระบบเกษตรที่ทำอยู่ทั้งหมดมาใช้ทดแทนวัตถุดิบต่างๆ เช่น ปุ๋ย จุลินทรีย์ เป็นต้น และภายหลังจากเสร็จสิ้นก็จะทำการประเมินว่า สิ่งที่อุดรอยรั่วไป ทำให้เหลือทุนเท่าไหร่ ประหยัดไปได้เท่าไหร่
กระบวนการเหล่านี้ เขายืนยันว่า ทำให้ชาวบ้านมีเงินเก็บมากขึ้น และสามารถกำหนดเงินที่จะได้ในแต่ละวัน แต่ละเดือน และแต่ละปีของตัวเองได้ชัดเจน เสมือนเป็นข้าราชการที่มีเงินเดือนประจำ เพราะรายได้อย่างต่ำของชาวบ้านที่นี่อย่างน้อยๆ ก็ 500 บาทต่อวันแล้ว
“หลักสูตรชาวนา” ฤา ชาวนา ต้องเรียน ทำนา
เจาะลึกกันต่อด้วยเรื่องของ “หลักสูตร” ที่สงสัยเหลือเกินว่า เหตุใดชาวนา ต้องเรียนรู้การทำนา เกษตรกรต้องเรียนรู้วิธีทำการเกษตร…?? แท้จริงแล้วกระบวนการลงจอบ ลงเสียม ขุดดิน หว่านไถ ไม่ใช่วิชาที่ ร.ร.ชาวนา สอน หากแต่เป็นการเสริมสร้างองค์ความรู้เพิ่มเติม เพื่อให้ชาวบ้านรู้เท่าทันความก้าวหน้าของนวัตกรรมการเกษตร และให้ผู้เรียนยอมรับว่า
“การทำนาไม่ต้องใช้สารเคมี เพื่อป้องกันแมลงศัตรูข้าว”
หลักสูตรการเรียน การสอนของ ร.ร.ชาวนา จึงประกอบด้วยหลายหลักสูตร และแต่ละหลักสูตรใช้เวลาทั้งสิ้น 18 สัปดาห์ๆ ละ 3 ชั่วโมง
อาทิ หลักสูตรเน้นการจัดการศัตรูพืช เพื่อศึกษาโรคแมลงโดยเฉพาะ ต้องเรียนรู้เรื่องสมุนไพรที่ใช้ในการกำจัดศัตรูพืชและระบบนิเวศน์ในแปลงนา แบ่งฐานการเรียนรู้ออกเป็น 10 ฐาน เช่น ฐานทำปุ๋ยอินทรีย์ ชีวภาพ ฐานการอนุรักษ์พันธุ์พืช และสัตว์ ฐานเลี้ยงหมูหลุม ฐานเลี้ยงปลา ฐานปลูกป่า ต้นไม้หายาก
รวมถึงต้องเรียนรู้การบริหารจัดการพื้นนา โดยใช้ทฤษฎี 30 : 30 : 10 กำหนดจุดแหล่งน้ำ มีการปล่อยปลา ในส่วนของคันนาปลูกต้นไม้ ผักและผลไม้ ให้ระบบของธรรมชาติเกื้อหนุน เอื้ออาทรกัน ส่วนที่เหลืออีก 30 จะเพิ่มในส่วนของฟาร์ม ทั้งหมูหลุม วัว เป็ด และปลา โดยใช้ระบบนิเวศวิทยามาอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจถึงประโยชน์ของแมลงตัวเล็กๆ ที่เป็นจักรกลตัวหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อพืช ทำให้ชาวบ้านที่นี่ ลด ละ เลิกใช้ยาฆ่าแมลงได้อย่างเด็ดขาด
ความมั่นคงทางอาหาร และความเข้มแข็งของชุมชน
จากกลุ่มจิตอาสา 30 คน จัดองค์ความรู้ในแบบท้องถิ่น ให้คนในท้องถิ่นได้เรียนรู้ ณ วันนี้ ขยายแนวร่วมมาเป็น 150 คน และพื้นที่ยังคงเป็น 50 ไร่เท่าเดิม เพิ่มเติมกิจกรรมให้หลากหลายมากขึ้น มีชาวบ้านจากตำบลอื่น กลุ่มเกษตรกร กลุ่มต้นกล้าอาชีพ และกลุ่มเยาวชนเข้ามาศึกษา ร.ร.ชาวนา ร่วมทำปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพ รุ่นละประมาณ 50 คน จนผ่านไปหลายต่อหลายรุ่นแล้ว
นับถึงปัจจุบันนี้มีบัณฑิตที่จบหลักสูตร รร.ชาวนาไปแล้วเป็นพันคน
หากให้ประเมินว่า ณ วันนี้ อบต.อุทัยเก่า มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากวันแรกที่กลับมาบ้าง
‘ธาดา’ เล่าอย่างภาคภูมิว่า ทุกวันนี้ชุมชนมีเงินเก็บมากขึ้น สิ่งแวดล้อมดีขึ้น สัตว์น้ำก็กลับมาแล้ว และจะร่วมกันอนุรักษ์มากขึ้น โรคภัยของชาวบ้านก็ดีขึ้น และคุณภาพชีวิตก็ดีขึ้นมาก เห็นได้จากระยะหลังที่มีการตรวจสุขภาพภายในชุมชน (ตรวจ 6 เดือนครั้ง) จากที่ชาวบ้านเคยเลือดดำ ตอนนี้มีเลือดปกติแล้ว เพราะการส่งเสริมปลูกผัก และเลี้ยงสัตว์กินเอง จนกลายเป็นคำพูดติดหูกันในชุมชนว่า
“ต่อให้มีเงินร้อยล้าน พันล้าน แต่ถ้ามีโรคอยู่ไปก็ไม่มีความสุข”
การทำเกษตรแบบอินทรีย์ของชาวอุทัยเก่า ทำให้วันนี้ชุมชนมีผลผลิตด้านอาหารเหลือกิน เหลือใช้ พูดได้เต็มปากว่ามีความมั่นคงทางอาหารมากเพียงพอที่จะจุนเจือ เจือจาน และส่งขายต่างตำบล ต่างจังหวัดได้อย่างสบาย
“ทุกวันนี้ไม่ว่าจะมีงานอะไรในชุมชน จะมีทีมอาหารผลิตเอง นำผักที่เรามีในชุมชนมาประกอบอาหาร ทำให้อาหารเรามีมาตรฐานขึ้น และสามารถผลผลิตของเราไปสู่ตัวจังหวัด รวมถึงจังหวัดอื่นๆ เรื่องอาหารจึงถือเป็นรายได้หลักๆ ในแต่ละวัน โดยผลผลิตหลักๆ ที่นำรายได้เข้าชุมชน ได้แก่ ข้าว ผัก ผลไม้ ทั้ง ส้มโอ มะปราง และกล้วย รวมทั้งกลุ่มแปรรูปผลไม้เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิต”
เขายังเล่าให้ฟังด้วยว่า ขณะนี้ ชาวอุทัยเก่าและคนทั้งจังหวัด มีความเข้มแข็งมากพอที่จะรวมตัวกันป้องกัน ขับไล่ไม่ให้โรงงาน และห้างสรรพสินค้าเข้ามาตั้งหลักแหล่งในบ้านเกิด ฉะนั้น หากคนกลุ่มไหนเข้ามาทำลายวิถีเกษตร จะมีการรวมตัวกันขับไล่ออกไป เพราะชาวอุทัยเก่าพอใจกับสิ่งแวดล้อมเดิม วิถีชีวิตแบบเกษตรพอเพียง และไม่ขอตามกระแสสังคมปัจจุบันที่มีแต่ทำลาย
ผลพลอยได้จาก ‘วิถีเกษตรอินทรีย์’
“การทำการเกษตรของต่างประเทศ เป็นเกษตรแบบอินทรีย์ล้วนๆ สามารถไปเด็ดกินได้เลย และแม้เขาจะเป็นผู้ผลิตสารเคมี สารพิษมากมาย แต่เขาไม่ได้นำมาใช้ในผลผลิตเกษตรเลย
บ้านเราต่างหากที่นิยมการใช้แบบนี้ หลงทางไปใช้สารเคมี ทำให้ดินและสิ่งแวดล้อมเสียหาย ซึ่งอาจเพราะประเทศอื่นมีระบบสหกรณ์ที่เข้มแข็ง ต่างจากบ้านเราที่ระบบสหกรณ์ล้มเหลว”ธาดา อธิบายต่อ บนฐานความคิด “ความรู้ใหม่เกิดจากการปฏิบัติจริง” ผ่านการถอดบทเรียน วิเคราะห์ มาแล้วอย่างดี
หลังจากการพูดคุยกับ ธาดา ซึ่งสวมหมวกอีกใบ สำหรับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนชาวนา เสร็จสิ้นลง จึงได้เรียนรู้ว่า นอกเหนือจากชาวอุทัยเก่าจะมีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นแล้ว การลุกขึ้นมาร่วมกันดำเนินชีวิตตามวิถีเกษตรอินทรีย์ เกิดผลพลอยทำให้ทุกหมู่บ้านไม่ต้องมีรั้วรอบขอบชิด เพราะที่นี่ไม่มีคดีลักเล็กขโมยน้อย และไม่มียาเสพติดเข้ามาทำลายชุมชน
‘อุทัยเก่า’ กับ วิถีชีวิตเดินย้อนทวนเข็มนาฬิกา ใช้ชีวิตแบบเก่า กิน อยู่แบบพอเพียง ตามรอยเท้าพ่อหลวง เกษตรของโรงเรียนชาวนา บอกให้รู้เราว่า “แค่เปลี่ยนวิถีการทำมาหากิน ก็เปลี่ยนชีวิตได้แล้ว”