- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- เก็บ"ภาษีทรัพย์สิน"อย่างไร...ไม่โง่ !
เก็บ"ภาษีทรัพย์สิน"อย่างไร...ไม่โง่ !
ภาษีที่ดินของกระทรวงการคลังยังไม่ใช่ฉบับที่ดีที่สุด เมื่อนักเศรษฐศาสตร์มองว่า เต็มไปด้วยจุดอ่อนในการจัดเก็บภายใต้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และนวัตกรรมทางการเงินที่สูงขึ้น
หลายคนตั้งความหวังว่า ร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.... ที่กระทรวงการคลังกำลังผลักดันจะเป็นหัวหอกสำคัญในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ เพราะจะทำให้ผู้มีที่ดินในมือจำนวนมาก หรือกลุ่มแลนด์ลอร์ด ต้องเสียภาษีสูงขึ้น เพื่อนำมาพัฒนาประเทศแก้ปัญหาความยากจน
แต่หลายอาจคนลืมไปว่า ร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯที่กำลังพูดกันอยู่นี้ เป็นโครงร่างเดิมที่มีความพยายามบังคับใช้กันมานานเกือบ 10 ปีแล้ว เนื้อหาบางส่วนอาจไม่ทันต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและนวัตกรรมทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยนายตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การเก็บภาษีที่ดินของไทยควรพัฒนาขึ้นไปสู่การเก็บภาษีทรัพย์สิน เพราะปัจจุบันเจ้าของที่ดินรายใหญ่ในประเทศไทย เก็บสะสมที่ดินในลักษณะของธุรกิจหรือแลนด์แบงก์ เป็นการถือในรูปบริษัท ไม่ได้ถือครองในนามบุคคล
ดังนั้น ร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดินเดิมของกระทรวงการคลัง อาจไม่ทันต่อเหตุการณ์ หากรัฐบาลออกมาเมื่อไหร่คนที่ลำบากคือคนที่มีที่ดินจำนวนน้อย แต่คนที่อยู่ในภาคธุรกิจจะสามารถดิ้นได้ แปลงไปในรูปทรัพย์สินหรือบริษัทได้ เนื่องจากปัจจุบันทรัพย์สินเปลี่ยนแปลงการถือครองได้ง่ายมาก ต่างจากยุคก่อนที่ทรัพย์สินเปลี่ยนแปลงรูปแบบยาก ไม่มีเครื่องมือทางการเงิน ไม่มีตลาดหุ้นเหมือนสมัยนี้
นายตีรณ ระบุว่า ในขณะนี้เศรษฐีสามารถเก็บทรัพย์สินทั้งที่เป็นเงินสด เป็นหุ้น เป็นที่ดิน ทำได้หมด หากเดินตามแนวทางเดิมจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้น้อยมาก หรือลดการเหลื่อมล้ำได้แค่บางจุด แต่โครงสร้างใหญ่ทั้งประเทศอาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย
“ถ้าเก็บภาษีที่ดินโดยไม่คำนึงถึงภาษีทรัพย์สินอื่นๆคงไม่ได้ กระทรวงการคลังต้องมองทั้งวงจร เช่นเก็บภาษีการถือครองตราสารทางการเงิน ตราสารหุ้น ซึ่งเป็นทรัพย์สินของคนรวยในปัจจุบันด้วย เพราะคนรวยมากๆเดี๋ยวนี้ไม่ได้ถือครองที่ดิน แต่ถือครองตราสารที่แปลงสภาพเป็นเงินได้ และใช้ตัวแทนหรือนอมินีในการถือครองแทนได้ด้วย ทำให้มีการหลบเลี่ยงภาษีได้ไม่ยาก หากกฎหมายตามไม่ทันก็จะขยายฐานภาษียาก” นายตีรณกล่าว
นอกจากนั้น ในอนาคตหากกระทรวงการคลังใช้วิธีเก็บภาษีที่ดินมากๆ คนส่วนใหญ่ที่เคยถือครองในชื่อตัวเองก็จะหันไปถือที่ดินในนามของบริษัท เพื่อหลบเลี่ยงภาษี โดยอ้างว่าไม่ใช่ที่ดินว่างเปล่า แต่เป็นที่ดินที่ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งอาจมีการปรุงปรุงที่ดินบางส่วนเท่านั้น แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ยังเก็บไว้ใช้เพื่อเก็งกำไร
ดังนั้น การเก็บภาษีเพื่อกระจายรายได้ของรัฐบาล จึงควรในรูปภาษีทรัพย์สินดีกว่า เพราะฐานจะกว้างขึ้น ไม่แคบเหมือนภาษีที่ดินในปัจจุบัน โดยเฉพาะภาษีโรงเรือนเดิมนั้นเป็นการเก็บที่ค่อนข้างแคบ มีช่องโหว่และข้อยกเว้นในการเก็บสูงมาก
คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุด้วยว่า การเก็บภาษีที่ดินและทรัพย์สิน ต้องคิดอัตราการเก็บที่ไม่ยาก ไม่ซับซ้อนเกินไป อาจมีอัตราเดียว เพื่อไม่ให้มีช่องโหว่ เพราะการมีหลายอัตราจะทำให้มีการโยก ซึ่งคนโยกก็คือคนรวยคนมีความรู้ คนจนไม่มีปัญญาทำได้ ไม่มีเครื่องมือการเงินที่จะโยก
“คนรวยมีบริษัทที่จะดำเนินการเรื่องที่ดินจำนวนมาก เรียกได้ว่ามีไม่รู้กี่หัวและอาจมีนิติกรรมอำพรางได้”นายตีรณระบุ
โดยหากเกิดช่องโหว่ในการเก็บภาษีมากๆ สุดท้ายพ.ร.บ.ภาษีที่ดินก็จะมีฐานรายได้ที่แคบและภาระตกอยู่กับคนจนและคนชั้นกลางต้องจ่ายมากที่สุด
ทั้งนี้ ตามร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ....ที่กระทรวงการคลังเสนอ กำหนดไว้ว่า จะเก็บภาษีอัตราไม่เกิน 0.5% ของฐานภาษี ซึ่งในที่นี้ ฐานภาษี หมายถึงราคาประเมินทรัพย์สินทั้งหมด
ส่วนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของตนเอง โดยไม่ประกอบเชิงพาณิชย์ เก็บ 0.1% ของฐานภาษี
ด้านอัตราภาษีสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ในการประกอบเกษตรกรรมเก็บไม่เกิน 0.5% ของฐานภาษี
แต่เบื้องต้นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีแนวคิดที่จะผ่อนปรนหรือยกเว้น การเก็บภาษีให้เกษตรกรที่มีรายได้น้อย เพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาการโจมตีทางการเมืองขึ้น
นายตีรณ กล่าว่า การจัดเก็บภาษีจริงๆต้องมีข้อยกเว้นให้น้อยที่สุด ควรเว้นเฉพาะที่อยู่อาศัยของรายเล็กรายน้อยเท่านั้น ขณะที่อาชีพเกษตรกรก็ควรต้องเสียด้วย เพราะจริงๆแล้วราคาที่ดินของเกษตรกรจะค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว มูลค่าภาษีที่เสียก็จะต่ำไปด้วย
แต่ถ้าเราไปยกเว้นให้เกษตรกร ก็จะมีบรรดานายทุน นักธุรกิจ หรือบริษัทหลีกเลี่ยงภาษีโดยอ้างเรื่องเกษตรกรอีก
สิ่งที่จะเป็นประเด็นปัญหาต่อไปในการเก็บภาษีที่ดินก็คือเรื่องของการประเมินราคาที่ดินทั่วประเทศ เพราะหากกระทรวงการคลังประเมินพื้นที่ใดสูงกว่าความจริงก็จะสร้างภาระให้ประชาชนในเขตพื้นที่นั้นมาก แต่หากพื้นที่ใดประเมินต่ำ ก็จะทำให้รายได้ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์
คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ภาษีที่ดินควรเก็บตามมูลค่าที่แท้จริง ซึ่งรัฐบาลต้องมีความพร้อมในการจัดเก็บที่ดี หลังที่ผ่านมากระทรวงการคลังมีแต่แนวคิด แต่ไม่มีความพร้อมในการจัดเก็บจริง โดยเฉพาะการประเมินราคาที่ดินให้ยุติธรรมตามราคาตลาด หรือใกล้เคียงตลาดให้มากที่สุด
“มองว่าอาจเป็นเรื่องยากที่กระทรวงการคลังจะเป็นผู้ประเมินราคาที่ดินเอง ควรมีระบบประเมินที่น่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นอีกโจทย์ใหญ่ที่ต้องคิด”นายตีรณระบุ
ร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของกระทรวงการคลังในขณะนี้ ถือว่ายัง “คิดไม่ครบ” มองไม่รอบด้าน แต่กระทรวงการคลังก็ยังมีเวลาในการปรับปรุง เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งใหม่ในเดือนมิ.ย.นี้ เชื่อว่ารัฐบาลที่เข้ามาก็จะผลักดันกฎหมายนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะถือเป็นกฎหมายที่สร้างประโยชน์ในการพัฒนาประเทศมากกว่าผลลบที่จะเกิดขึ้น
การแก้ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยจะลดลงได้มากน้อยแค่ไหน ผู้ที่อยู่ในกลไกอำนาจจะต้องทันต่อสถานการณ์ด้วย เพื่ออุดช่องโหว่ที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด!!!