- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ปลุกวิถีชีวิต ตลาดน้ำนครเนื่องเขต สร้างอาชีพชุมชน
ปลุกวิถีชีวิต ตลาดน้ำนครเนื่องเขต สร้างอาชีพชุมชน
ในภาวะแก่งแย่งแข่งขันของสังคมเมือง การพัฒนาของระบบเทคโนโลยี อุตสาหกรรม และหลักสูตรการศึกษาที่มุ่งสร้างบุคลากรสู่ฐานอาชีพในเมืองหลวง ลดทอนคุณค่าและความภาคภูมิใจในบ้านเกิดลงทุกวัน ในทางกลับกันเมืองหลวงไม่ได้สร้างอาชีพรองรับไว้มากมายนัก หรือหากมีก็ไม่พอที่จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้
แล้วจะทำอย่างไร เมื่อกลับบ้านเกิดไปก็ไม่มีอะไรทำ…?
มีชุมชนอยู่ที่หนึ่งลุกขึ้นมาจัดการอะไรบางอย่างกับบ้านเกิดของพวกเขา ที่นี่...ไม่โด่งดังเท่าใดนัก แต่ที่นี่มีอาชีพรองรับ มีคุณภาพชีวิตดีๆ ที่สร้างเม็ดเงิน และดึงลูกหลานของพวกเขากลับบ้านได้…
เมื่อ 2 ปีที่แล้ว พื้นที่ตลาดน้ำเก่า ตำบลนครเนื่องเขต อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ยังคงไร้ชีวิตชีวา เพราะมีร้านค้าเปิดขายอยู่ไม่กี่เจ้า แทบไม่มีเค้าของความเป็นตลาดน้ำที่เคยเฟื่องฟู เหลือแต่เพียงกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมเรือนเถาไม้โบราณ ลำคลองที่ยังใสสะอาด และการดำเนินชีวิตด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ยังคุกรุ่นอยู่จางๆ
จนเกิดเป็นคำถามว่า เสน่ห์ที่ยังเหลือเหล่านี้เอาไปทำอะไรได้บ้าง
นายมนัส ตั๊นงาม ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา หนึ่งในแกนนำพัฒนาตลาด ผู้ตั้งคำถามเล่าว่า นครเนื่องเขต เมื่อ 135 ปีที่แล้ว เป็นเส้นทางการค้าทางน้ำที่มีความสำคัญมาก เพราะมีลำคลองตัดแยกออกไป 4 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางไปคลองแสนแสบ ไป อ.บางน้ำเปรี้ยว ไป อ.องครักษ์ ปทุมธานี และเส้นทางไปตลาดคลองสวน 100 ปี แม้สถานที่และวัตถุสิ่งของจะเสื่อมโทรม สูญหายไปตามกาลเวลา หากแต่วิถีการดำเนินชีวิตริมสองฝั่งคลอง และวิถีชีวิตริมน้ำของผู้คนที่นี่ยังคงอยู่และสืบทอดกันได้อย่างไม่มีอะไรตกหล่น
“ใครๆ ก็ว่าตลาดน้ำที่นี่ตายไปแล้ว” แกนนำคนเดิมเล่าต่อ กระทั่งที่ชาวบ้านทั้ง 4 ชุมชนริมฝั่งนครเนื่องเขต ได้แก่ ชุมชนนครเนื่องเขต ชุมชนสวนสะม่วง ชุมชนโรงหมู และชุมชนคลองขวางบน เริ่มมีการรวมตัวพูดคุยกันร่วมกับสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว หอการค้าจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำประชามติร่วมกันว่าจะพลิกฟื้นให้ตลาดน้ำนครเนื่องเขตให้คืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
2 ปีให้หลัง เมื่อความคิดถูกผลักดันให้เป็นรูปธรรม
จากการประชุมร่วมกันของคนในพื้นที่ เกิดเป็นพลังร่วมกันของชุมชนเชิดชูความเป็นมา วัฒนธรรม วิถีชีวิตและภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้กลายเป็นจุดแข็ง มีการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ในชุมชนให้สะอาดตา ตกแต่งหน้าบ้าน อีกทั้งการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวของกับประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์ และข้อมูลประเภทอาหารท้องถิ่น ตลอดจนสถานที่สำคัญที่อยู่ในตำบล เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวประจำชุมชน
วันที่ 7 มิถุนายน 2552 ตลาดน้ำนครเนื่องเขต จึงเปิดตัวขึ้นอีกครั้งอย่างเป็นทางการ
ปลุกภูมิปัญญาให้คืนชีพ
“นิต” นางวรนิต กตญาณ ที่ปรึกษาตลาด และรองประธานหอการค้า จังหวัดฉะเชิงเทรา อีกหนึ่งในแกนนำผู้พัฒนาตลาด เล่าว่า ‘ภูมิปัญญาท้องถิ่น’ เป็นสิ่งที่ชาวบ้านมีกันอยู่แล้ว แต่การจัดการให้ภูมิปัญญาเหล่านั้นกลายเป็น ‘อาชีพ’ และสร้าง ‘มูลค่า’ สิ่งที่สำคัญประการแรก คือกระบวนการทำความเข้าใจกับชาวบ้าน และสร้างความภาคภูมิใจในท้องถิ่นเกิด เพื่อให้เข้าใจตรงกันว่า ภูมิปัญญาดีๆ เหล่านี้ไม่ควรจะสูญหายไปจากประเทศไทย
“ประโยคแรก ที่เข้าไปพูดกับชาวบ้าน คือ ไม่มีผู้ใดในโลกหล้า ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาบสูญ ไม่มีใครล้ำเลิศ น่าเทิดทูน ประชาชนจะสมบูรณ์ตลอดไป ให้ทุกคนเข้าใจว่าการจะสร้างตลาดให้สำเร็จได้ ต้องไม่ทำเพื่อใคร หรือเพราะนายกเทศมนตรี นักการเมืองท้องถิ่นคนใดร้องขอ แต่จะต้องทำเพื่อตัวเอง เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของท้องถิ่น และเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของลูกหลาน”
เมื่อความเข้าใจตรงกัน พลังก็เกิด จากตลาดที่ซบเซา และเริ่มต้นเปิดทำการขายสินค้าเพียง 17 ร้าน
ณ วันนี้ มีร้านค้ากว่า 200 ร้านแต่เดิมที่ชาวบ้านไม่มีรายได้ ก็เริ่มมีมากขึ้น ใครเคยค้าขายอะไรในอดีตก็ให้กลับมาค้าขายอีกครั้ง เช่น ขนมปลากริมไข่เต่า การจักสาน แกะสลัก ชาวบ้านสามารถสร้างสรรค์สินค้าของตัวเองขึ้นมา โดยพัฒนาต่อยอดจากที่เคยขายกันมาแล้ว ดึงเสน่ห์มาเป็นจุดแข็ง สร้างหลากหลายอาชีพและรายได้เข้าชุมชน เข้าครอบครัวได้หลายช่องทาง
“เคยมีคนบอกว่า ตลาดน้ำนครเนื่องเขตไม่มีอะไร สู้ตลาดที่อื่นไม่ได้ ใหญ่โตกว่า มีของขายมากกว่า”
หากต้องการเที่ยวแบบนั้น ‘ที่ปรึกษาตลาด’ บอกว่า คงไม่มีที่นครเนื่องเขต เพราะเสน่ห์ของที่นี่คือการเก็บเอาเศษซากและเสี้ยวของตำนานมาเชื่อมร้อย เป็นเสน่ห์แบบบ้านๆ ไม่มีการปรุงแต่งหรือโหยหาอะไรที่ไม่ใช่ของจริง
ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะเป็นวันเปิดทำการของตลาดน้ำโบราณนครเนื่องเขต ที่จะมีนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชม ซื้อบรรยากาศและวิถีชีวิตดั้งเดิม ที่ไม่ปรุงแต่ง หรือฉาบเคลือบความสะดวกสบาย เฟื่องฟูไว้มากนัก ทำให้ชุมชนแห่งนี้ มีเม็ดเงินหมุนเวียนอยู่ตลอด ผลพลอยได้จากการพูดคุย และร่วมมือกันมากขึ้นของทั้ง 4 ชุมชนเกิดเป็นความเข้มแข็งมากขึ้นในการร่วมกันพัฒนาท้องถิ่น
‘ห่วงโซ่’ เข้มแข็ง สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
การจะพัฒนาตลาดหรือการท้องเที่ยวให้เติบโตได้มากแค่ไหน สิ่งสำคัญที่จะต้องคำนึงถึง คือ ศักยภาพของคนในท้องถิ่นและสภาพท้องถิ่น อย่างที่ ‘นครเนื่องเขต’ มีบุคลิกและต้องการใช้ชีวิตแบบพื้นๆ ไม่ชอบการแข่งขัน
ฉะนั้น การพัฒนาตลาดจึงต้องมองถึงความยั่งยืนเป็นสำคัญ เมื่อตลาดสามารถคงความเป็นชุมชนไว้ได้ ก็มั่นใจได้ว่าชุมชนจะเข้มแข็งพอในการบริหารจัดการท้องถิ่น ไม่ให้นายทุนเข้ามากว้านซื้อที่ดิน เพื่อรักษาตลาดโบราณให้คงสภาพเดิมไว้มากที่สุด
ที่ปรึกษาตลาด เล่าต่อว่า จุดสำคัญคือต้องรู้ว่าจะพัฒนาได้ขนาดไหน จึงจะไม่เกินกำลังและเกินความต้องการของชุมชน ที่นี่จึงมุ่งพัฒนาให้เป็นกิจกรรมเสริมของชุมชนตามชีวิตและความเป็นอยู่ที่จะสร้างความยั่งยืนได้มากกว่าการมุ่งหาประโยชน์จากผลกำไร และที่ชาวบ้านเห็นตรงกัน คือ จะไม่พัฒนานครเนื่องเขตไปสู่ความหรูหรา ฟู่ฟ้าซึ่งไม่ตรงต่อบุคลิกของเรา
เมื่อตลาดเป็นที่รู้จัก นอกเหนือจากสร้างอาชีพแล้ว ยังสร้างความรัก ความหวงแหน ความภาคภูมิใจในท้องถิ่นให้เกิดกับลูกหลาน ที่จะนำความรู้คืนกลับสู่ชุมชนมากขึ้น ไม่กระจุกตัวอยู่แต่ในเมือง ฉะนั้น การรื้อฟื้นภูมิปัญญาชุมชนท้องถิ่น และถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ในชุมชนได้เรียนรู้ ทำให้ประชาชนและเยาวชนในตำบลได้สัมผัสและมีส่วนในการสืบทอดศิลปวัฒนธรรมอันเป็นกิจกรรมของตลาด
การพัฒนาชุมชน จึงเป็นการทำงานที่ต้องใช้เวลา และการเรียนรู้ร่วมกันสูง ต้องสร้างกระบวนการหลายๆ ขั้นตอนให้เป็นห่วงโซ่ร้อยคล้องกันไปเรื่อยๆ และต้องให้ทุกห่วงโซ่นั้นเข้มแข็ง จึงจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน
เมื่อหันกลับไปมองพื้นฐานของตัวเอง ในท้องถิ่นจังหวัดบ้านเกิด เราพบอะไรบ้างที่จะนำมาสร้างเสน่ห์ในแบบของตัวเองให้เป็นจุดแข็ง เพราะนั่น หมายถึง อาชีพ และรายได้ที่จะตามมา ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อสัมมาชีพในแต่ท้องถิ่นเข้มแข็ง ก็จะสามารถเทียบทันกับระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรมได้ ตลาดงานในประเทศไทยอาจกำลังต้องการขยายกว้างไปสู่ภาคส่วนอื่นบ้าง นอกเหนือจากภาคอุตสาหกรรมที่ยิ่งเร่งพัฒนา ยิ่งกัดกินความเป็นไทยไปทุกวี่วัน